Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ จิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด, นางสาวธนภรณ์…
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีระ จิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับตัวมารดาหลังคลอด
อายุ
ระดับการศึกษาและรายได้ครอบครัว
ด้านครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อม
ภาวะสุขภาพของมารดา
ภาวะสุขภาพของบุตร
สัมพันธภาพระหว่างคู่สมรส
อารมณ์เศร้าหลังคลอด (postpartum blues) เกิดระยะ แรกหลังคลอดและต่อเนื่องจนถึง 3-4 วันหลังคลอดการให้ คำจำกัดความของอารมณ์เศร้าหลังคลอดคือ อารมณ์ที่มี ระยะเวลาการเกิดอาการสั้นอาการไม่รุนแรงไม่ต้องรักษา ใดๆและอาการจะกลับคืนสู่สภาวะเดิม
ภาวะซึมเศร้าภายหลังคลอด (Postpartum Depression) ภาวะซึมเศร้าหลังคล้ายกับโรคซึมเศร้าทั่วไป จะแตกต่างจากอารมณ์เศร้าหลังคลอด (Postpartum blue) คือมีอาการรุนแรงมากรบกวนความเป็นอยู่อาการอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์
โรคจิตหลังคลอด (postpartum psychosis) เป็นอาการที่มีความรุนแรงมาก รูปแบบของโรคจิตหลังคลอดเป็น รูปแบบที่รุนแรงมาก และมีความผิดปกติ ของอารมณ์มากที่สุด อาการเริ่มต้นใน 48-72 ชั่วโมง ภายหลังคลอด และมี การพัฒนาอาการภายใน 2 สัปดาห์
การดำรงบทบาทการเป็นมารดา
ระยะคาดหวังบทบาท
ระยะการกระท าบทบาทตามรูปแบบ
ระยะการกระท าบทบาทของตนเองที่ไม่เป็นตามรูปแบบเฉพาะ
ระยะการกระท าบทบาทตามเอกลักษณ์ของตนเอง (1-4 เดือนหลังคลอด)
รูบิน (Rubin) แบ่งการปรับตัวมารดาหลังคลอดเป็น 3 ระยะ
ระยะกึ่งพึ่งพา
เป็นระยะที่เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเกิดขึ้นในช่วง 3-10 วันหลังคลอดมารดาเริ่มสนใจที่จะเรียนรู้และฝึกทักษะการดูแลบุตรการพยาบาลควรให้คำแนะนำในการดูแลบุตรกระตุ้นให้มารดาฝึกบทบาทในการดูแลบุตรเพื่อลดความกังวลและสร้างความมั่นใจ
ระยะพึ่งตนเอง
เป็นระยะที่มารดามีความเป็นตัวเองมากขึ้นเกิดขึ้นประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอดปรับตัวต่อบทบาทการเป็นมารดาและภรรยาควรส่งเสริมให้มารดามีการตอบสนองความต้องการของทารกที่เหมาะสม
ระยะพึ่งภา
เป็นระยะที่ต้องการพึ่งพาผู้อื่นทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เกิดใน 1-2 วันแรกหลังคลอดการพยาบาลควรส่งเสริมให้มารดาได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอดูแลให้มารดามีความสุขสบายเปิดโอกาสให้มารดาระบายความรู้สึก
พันธกิจในระยะหลังคลอด
การยอมรับบุตร
การปรับตัวในการดูแลบุตร
การตอบสนองของบุตรต่อการดูแล
ความคิดเห็นจากบุคคลใกล้ชิดและบุคลากรทางสุขภาพ
การก าหนดต าแหน่งสมาชิกในครอบครัวให้บุตรคนใหม่
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยาของมารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
ปรมาณเลือดที่ออกจากหัวใจ
2-3 ชั่วโมงแรก จะสูงขึ้นชั่วคราวเนื่องจากมดลูกมีขนาดเล็กลงและแรงกดที่บริเวณมดลูกลดลงและน้ำนอกหลอด เลือดกลับเข้าสู่หลอดเลือด
โดยปกติ Cardiac output จะสูง ประมาณ 48 ชั่วโมงหลังคลอด จะลดลงภายใน 2 สัปดาห์ ลดลงร้อยละ 30
6-12 สัปดาห์ จะกลับเข้าสู่สภาวะ ปกติ
Plasma volum
หลังคลอด Plasma volume ลดลงจากการที่ร่างกายขับ Plasma ออกทาง diaphoresis และ diuresis
ปริมาณเลือด
การสูญเสียเลือดในระยะคลอด ทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายลดลงประมาณ 1-2 สัปดาห์ ปริมาณเลือดจะใกล้เคียง เหมือนก่อนการตั้งครรภ์
สัญญาณชีพ
ชีพจร
ชีพจรเกิด bradycardia ประมาณ 50 -60/ min เนื่องจาก Cardiac output เพิ่มขึ้น และ stroke volume
8-10 สัปดาห์หลังคลอดจะกลับสู่ระดับปกติ PR จาก PPH, infection, pain, anxiety
การหายใจ
RR ลดลงจากการลดลงของมดลูกกระบังลมเคลื่อนต่ำลงมีผลต่อ cardiac axis เข้าสู่ระดับปกติในสัปดาห์ที่ 6-8 หลังคลอด
Systolic murmur ที่เกิดขึ้นในระยะตั้งครรภ์หายไปในวันที่ 8 หลังคลอดหรือคงอยู่นานถึง 4 เดือนหลังคลอด
อุณหภูมิร่างกาย
24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด อุณหภูมิอาจสูงขึ้นเล็กน้อย ภาวะนี้ เรียกว่า Reactionary fever เป็นผลจากการสูญเสียน้ำ เลือด และพลังงานจากการคลอด แต่หาก BT เกิน 38 องศาเซลเซียส เกิน 24 ชั่วโมง แสดงว่าอาจติดเชื้อเกิดขึ้น 2-3 วันแรกอาจมีไขต่ำๆ จากการคัดตึงเต้านม “milk fever” เกิดจาก vascular และ lymphatic engorgement ถือเป็นภาวะปกติ
ความดันโลหิต
ภายใน 48 ชั่วโมงหลังคลอด BP อาจสูงขึ้น หรือลดลงได้เล็กน้อย กลับคืนสู่ระดับปกติ ประมาณ วันที่ 4 หลังคลอด
ส่วนประกอบของเลือด
WBC
WBC สูงกว่าก่อนตั้งครรภ์ จากกระบวนการอักเสบ ป้องกันการติดเชื้อ ความปวด ความเครียด
ปัจจัยการแข็งตัวขอ เลือด (clotting factor I, II, VII, IX, X)
24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด clotting factor และ fibrinogen ยังมีระดับสูงอยู่ เหมือนในช่วงตั้งครรภ์
2-3 วันหลังคลอด ปัจจัยการแขง็ตyวของเลือด จะลดลงเท่ากับระยะก่อนตั้งครรภ์
ความเข้มข้นของเลือด
3 วันแรกหลังคลอด Hct และ Hb สูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากร่างการสญูเสีย plasma มากกว่า RBC
สัปดาห์ที่ 4 – 5 หลังคลอด ค่า Hct และ Hb จะลดลงเข้าสู่ระดบัปกติเหมือนก่อนการตงั้ครรภ์
การเปลี่ยนของระบบทางเดินปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ และรูเปิดของท่อปัสสาวะจะบวมจากการที่ศีรษะทารกกดผ่านช่องทางคลอด
หลังคลอดมารดาขับปัสสาวะมากเนื่องจาก estrogen, blood volume, adrenal aldosterone ลดลง
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ กระเพาะปัสสาวะลดลง
การเปลี่ยนแปลงระบบทางเดินอาหาร
ท้องผูก
พบได้บ่อย 2-3 วันหลังคลอด เนื่องจาก progesterone ทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวช้าลง
น้ำหนัก
ลดลงทันทีหลังคลอด ประมาณ 4.5 -5.5 กก. จากการคลอดทารกรกและการสูญเสียเลือด
สัปดาห์ที่ 6 – 8 มารดาที่มี BMI ปกติก่อนการตั้งครรภ์ และมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ที่ปกติ จะมีน้ำหนักลดลงใกล้เคียงกับระยะก่อนการตั้งครรภ์
สัปดาห์แรกหลังคลอด ลดลงอีก 2.3 -3.6 กก. จากการขับออกทางเหงื่อ ปัสสาวะ และกระบวนการ involution of uterus
ความอยากอาหาร
มีความอยากเพิ่มขึ้นจากการสูญเสียพลังงานในการคลอด, NPO , รับยา บรรเทาความปวด รวมทั้งการสูญเสียน้ำ เลือด ในระยะคลอด และหลัง คลอดออกทางปัสสาวะ เหงื่อ และน้ำคาวปลา
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อ
Estrogen
ลดลงร้อยละ 10ภายใน 3ชั่วโมงหลังคลอด เมื่อเปรียบเทียบกบัขณะตั้งครรภ์ และ ลดลงต่ำสุดในวันที่ 7หลังคลอด
Progesterone
วันที่ 3 หลังคลอด ใน plasma จะลดลงต่ำกว่าในระยะ luteal phase ซึ่งเป็น ระยะที่ corpus luteum พัฒนาเยื่อบุโพรงมดลูกให้รองรับไข่ต่อไป
Haman chorionic gonadotropin (HCG)
มีระดับต่ำลงอย่างรวดเร็ว และจะมีระดับต่ำลงจนกระทั่งมีการตกไข่ (ovulation) หรือ อยู่นานประมาณ 3-4 เดือน
Prolactin
มีระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ในขณะตั้งครรภ์จนกระทั่งหลังคลอด
Hamanplacental lactogen (HPL)
มีระดับลดลงและตรวจไม่พบในระยะหลงัคลอด24 ชั่วโมง
Luteinizing hormone (LH)
มารดาที่ไม่ได้ BF จะกลับมามีประเดือนอีกครั้ง ภายใน 7-9 สัปดาห์ พบว่าร้อยละ 50 ของประจำเดือนครั้งแรกจะไม่มีการตกไข่ เนื่องจาก corpus luteum ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ มีระดับ LH และ Progesterone ในเลือดต่ำ
Follicle-stimulating hormone (FSH)
มารดาหลังคลอดจะไม่มีการตกไข่และการมีประจำเดือนอยู่ช่วงระยะหนึ่ง เนื่องจากระดับ Estrogenและ Progesterone ในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ร่วมกับระดับ Prolactin เพิ่มขึ้นกดการทำของรังไข่ (Inhibit follicular development) ทำให้กดการหลั่ง FSH & LH ซึ่งทำให้ไม่มีการกดไข่และไม่มีประจำเดือน
การเปลี่ยนแปลงของระบบผิวหนัง
Linea nigra, Facial chloasma สีผิวที่เข้มขึ้นบริเวณ ลานนมจะจางลง และหายไป
Striae gravidarum บริเวณหน้าท้อง เต้านม และต้นขา จะค่อยๆจางเป็นสีเงิน และจะไปหายสมบูรณ์
การเปลี่ยนแปลงระบบสืบพันธุ์
ปากมดลูก
ไม่เคยผ่านการคลอด
ภายหลังคลอดปากมดลูก บวม บาง ช้ำ มีรอยถลอกหรือรอบฉีกขาดเล็กน้อยและขยายกว้าง
เคยผ่านการคลอด
ลักษณะคล้ายปากปลา บริเวณ external os ฉีกขาดไปทางด้านข้างอย่างถาวร มีรูปร่างเป็นวงรี มีรอยฉีกขาด ด้านข้าง ขนาดกว้างกว่าปากมดลูกของสตรีที่ไม่เคยผ่านการคลอด
ช่องคลอด และฝีเย็บ
ช่องคลอด
หลังคลอดช่องคลอดบางตัวลง Rugae หายไป
Hymen ขาดกะรุ่งกะริ่ง เป็นติ่งเนื้อเล็กๆ เรียกว่า carunculae myriformes เป็นการเปลี่ยนแปลงถาวร
ฝีเย็บ (Perineum)
กรณีตัดฝีเย็บหรือมีการฉีก ขาดแผลฝีเย็บจะเริ่มหาย ภายใน 2 – 3 สัปดาห์
หลังคลอด บริเวณ ฝีเย็บจะ ร้อนแดง erythematous เกิดจากการคั่งและบวมช้ า
มดลูก
myometrial cells มีขนาดลดลง แต่จำนวนเซลล์ไม่ ลดลง เท่ากับก่อนการตั้งครรภ์
สตรีที่ผ่านการคลอดจึงมีมดลูกใหญ่ มากกว่าสตรีที่ยังไม่เคยผ่านการคลอดบุตรเล็กน้อย
การเปลี่ยนแปลงหัวนม และเต้านม
หลังคลอดฮอร์โมน estrogen และ progesterone ลดลงอย่างรวดเร็วมีการไหลเวียนเพิ่มที่เต้านม
ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมน prolactin เพิ่มขึ้นทำให้มีการสร้างน้ำนม
ระยะนี้เกิดกลไกการผลิตน้ำนม (production of milk) หลั่งน้ำนม (let – down reflex)
การเปลี่ยนแปลงของระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้าง
กล้ามเนื้อและข้อต่อ
1 – 2 วันหลังคลอดมารดามักมีอาการล้าและปวดเมื่อย กล้ามเนื้อเป็นผลมาจากการเบ่งคลอดการลดลงของระดับ relaxin ช้าๆประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังคลอดข้อต่อจะกลับคืนสู่สภาพ เหมือนเดิมก่อนตั้งครรภ์
กล้ามเนื้อหน้าท้อง
ผนังกล้ามเนื้อมีการยืดขยายจากการคลอดความตึงตัว ของกล้ามเนื้อลดลงโดยเฉพาะสตรีที่ผ่านการคลอดหลายครั้งพบ diastasis recti เกิดจาก rectus abdomenis ออกเป็น 2 ส่วน ทำให้ไม่มีกล้ามเนื้อตรงกลางหน้าท้อง
แหล่งข้อมูล : ชีทประกอบการเรียน บทที่ 5 การเปลี่ยนแปลงในระยะหลังคลอด
อาจารย์ทัศน์วรรณ สุนันต๊ะ
นางสาวธนภรณ์ ไตรทิพย์ เลขที่ 51 ห้อง A
รหัสนักศึกษา 613020110607