Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด, นางสาวอมรรัตน์ สะพานแก้ว…
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด
ความผูกพัน
(Bonding)
หมายถึง กระบวนการผูกพันทางอารมณ์ที่พ่อแม่หรืดผู้เลี้ยงดู มีต่อทารกฝ่ายเดียว เกิดขึ้นตั้งแต่วางแผนตั้งครรภ์ ทราบว่าตั้งครรภ์หรือเกิดขึ้นชัดเจน เมื่อรับรู้ว่าลูกดิ้นและเพิ่มสูงสุดเมื่อทารกคลอดออกมา
สัมพนัธาภาพ(Attachment)
หมายถึง ความรู้สึกรักใคร่ผูกพันระหว่างทารกกับพ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดู เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นพิเศษและคงอยู่ถาวร จะเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยจากความใกล้ชิด ห่วงใย อาทร เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความผูกพันทางใจจะใช้เวลาในการพัฒนาดย่างต่อเนื่องยาวนาน
การพัฒนาสัมพันธาภาพ
ในระยะหลังคลอด
ในระยะแรกหลังคลอดทันที มารดาจะแสดงความรักความผูกพันกับลูกตั้งแต่นาทีแรกหลังคลอดจนกระทั่งถึง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เป็นช่วงเวลาที่มารดามี ความรู้สึกไวที่สุด (Sensitive period)
*
และทารกมีความตื่นตัว จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ก่อให้เกิดความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดาทารก
กระบวนการพัฒนาสัมพันธาภาพ
ระหว่างมารดากับทารก
ระยะก่อนการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 1การวางแผนการตั้งครรภ์
ระยะต้ั้งครรภ์
ขั้นที่ 2 การยืนยันการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 3 การยอมรับการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 4 การรับรู้การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
ขั้นที่ 5 การยอมรับว่าทารกในครรภ์เป็นบุคคลคนหนึ่ง
ระยะคลอดและระยะหลังคลอด
ขั้นที่ 6 การสนใจดูแลสุขภาพตนเองและทารกในครรภ์
และการแสวงหาการคลอดที่ปลอดภัย
ขั้นที่ 7 การมองดูทารก
ขั้นที่ 8 การสัมผัสทารก
ขั้นที่ 9 การดูแลทารกและให้ทารกดูดนม
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
มารดาและทารก ในระยะแรกเกิด มีดังนี้
1.การสัมผัส (Touch, Tactile sense) พฤติกรรมสำคัญที่จะผกูพันมารดาและบุตร คือ ความสนใจของมารดาในการสัมผัสบุตร โดยจะเริ่มสัมผัสบุตรด้วยการใช้นิ้วสัมผัสแขน ขา จากนั้นจะบีบนวดสัมผัสตามลำตัว ทารกจะมีการจับมือและดึงผมมารดาเป็นการตอบสนอง
2.การประสานสายตา (Eye to eye contact) เป็นสื่อที่สำคัญต่อการเริ่มต้นพัฒนาการด้าน ความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความสัมพันธ์กับบุคคลดื่น มารดาจะรู้สึกผกูพันใกลชิดมากขึ้นเมื่อทารกลืมตาและสบตาตนเอง มารดาส่วนใหญ่จึงพยายามมองอย่างเผชิญหน้า (Face to face position) เพื่อให้ประสานสายตากับทารกได้ดีขึ้น ระยะที่ทารกสามารถ มองเห็นมารดาไดชัดเจน คือ 8-12นิ้ว
การใช้เสียง (Voice) การตอบสนองเริ่มทันทีที่ทารกเกิด มารดาจะรอฟังเสียงทารกร้องครั้งแรก เพื่อยืนยันภาวะสุขภาพของทารก และทารกแรกเกิดจะตอบสนองต่อระดับเสียงสูง (High pitch voice) ได้ดีกว่าเสียงต่ำ (Deep loud voice)
การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะตามเสียงพูด (Entrainment) ทารกจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นจังหวะสัมพันธ์กับเสียงพูดสูงต่ำของมารดา เช่น ขยับแขน ขา ยิ้ม หัวเราะ เป็นต้น
จังหวะชีวภาพ (Biorhythmcity) หลังคลอดทารกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ภายนอกที่แตกต่างจากในครรภ์ของมารดา มารดาจะช่วยทารกให้สร้างจังหวะชีวภาพได้ โดยขณะที่ทารกร้องไห ้มารดาอุ้มทารกไว้แนบอก ทารกจะรับรู้เสียงการเต้นของหัวใจมารดา ซึ่งทารกจะคุ้นเคยตั้งแต่ในครรภ์ ทำให้ทารกมีความรู้สึกมั่นคงยิ่งขึ้น
การรับกลิ่น (Odor) มารดาจำกลิ่นกายของทารกได้ตั้งแต่แรกคลอด และแยกกลิ่นทารกออกจากทารกอื่นได้ภายใน 3-4 วันหลังคลอด ส่วนทารกสามารถแยกกลิ่นมารดา และหันเข้าหากลิ่นน้ำนมมารดาได้ภายในเวลา 6 –10วันหลังคลอด
การให้ความอบอุ่น (Body warmth หรือ Heat) มีการศึกษาพบว่า หลังทารกคลอด ทันทีได้รับการเช็ดตัวให้แห้ง ห่อตัวทารกและนำทารกให้มารดาโอบกอดทันที ทารกจะไม่เกิดการสูญเสียความร้อน และทารกจะเกิดความผ่อนคลายเมื่อได้รับความอบอุ่นจากมารดา
การให้ภูมิคุ้มกันทางน้ำนม (T and Blymphocyte) ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันในนมแม่ ได้แก่T lymphocyte, Blymphocyte และ Immunoglobulin A ช่วยป้องกันและทำลายเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร
การให้ภูมิคุ้มกันทางเดินหายใจ (Bacterianasal flora) ขณะที่มารดาอุ้ม โอบกอดทารก จะมีการถ่ายทอดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ (normal flora) ของมารดาสู่ทารก เกิดภูมิคุ้มกันช่วยป้องกันทารกติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
การประเมินสัมพันธาภาพ
ระหว่างมารดากับทารก
ความสนใจในการดูแลตนเองของมารดาและทารก
พฤติกรรมปฏิสัมพนัธ์ระหว่างมารดาและทารก
ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทการเป็นมารดา
ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของทารก
พฤติกรรมของมารดาและทารกที่แสดงถึงการขาดสัมพนัธภาพ
(Lack of attachment)
ไม่สนใจมองบุตร สีหน้าเมินเฉยหรือหันหน้าหนี
ไม่ตอบสนองต่อบุตร เช่น ไม่สัมผัส ไม่ยิ้ม ไม่อุ้มกอดทารก เป็นต้น
พดูถึงบุตรในทางลบ
แสดงท่าทางหรือคำพูดที่ไม่พึงพอใจขณะดูแลบุตร
ขาดความสนใจในการซักถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุตร
และการเลี้ยงดูบุตร
บทบาทของพยาบาลผดุงครรภ์ในการ
ส่งเสริมสัมพันธาภาพระหว่างมารดากับทารก
ระยะต้ั้งครรภ์
• ยอมรับการตั้งครรภ์
• ครอบครัวคอยให้กำลังใจ
• การปรับบทบาทการเป็น บิดา มารดา
• ยอมรับความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์
• การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
ระยะคลอด
• สร้างบรรยากาศให้เกิดความไวว้างใจ
• ลดความวิตกกังวลของผู้คลอด
• ให้ข้อมูลเป็นสื่อกลางระหว่างผู้คลอดและครอบครัว
• *ส่งเสริมให้การคลอดผ่านไปอย่างปลอดภัย
ระยะหลังคลอด
• ส่งเสริมให้มารกาสัมผัสโอบกอดทารก
ทันทีหลังคลอดในระยะsensitive period
• *Rooming in โดยเร็วที่สุด
• ใหคำแนะนำในการดูแลบุตร
• ตอบสนองความต้องการของมารดา
• กระตุ้นให้มีปฏิสัมพันธ์กับทารก
• เป็นตัวแบบในการสร้างสัมพันธภาพกับทารก
• ให้มารดา ทารก บิดา ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
นางสาวอมรรัตน์ สะพานแก้ว ชั้นปีที่2 รุ่นที่26 ห้องA เลขที่47