Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่8 การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลมารดาที่มีปัญหาสุขภาพในระยะหลังคลอด -…
บทที่8 การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลมารดาที่มีปัญหาสุขภาพในระยะหลังคลอด
การพยาบาลมารดาที่มีการติดเชื้อหลังคลอด
ประเภทของการติดเชื้อ
1.การติดเชื้อเฉพาะที่
2.การติดเชื้อแพร่กระจาย ลุกลามไปนอกมดลูก
อาการ
-มีไข้หลังคลอด
-อุณหภูมิจะสูง 38 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่าติดต่อกัน2วัน
ในช่วง 10 วันแรกไม่นับ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
การติดเชื้อของระบบสืบพันธุ๋สตรี ในระยะ6สัปดาห์แรกหลังคลอด หรือภายใน28วันหลังแท้ง
แหล่งที่มาของเชื้อ
-แบคทีเรียที่พบปกติที่ช่องคลอดส่วนล่าง ไม่ก่อให้เกิดพยาธิสภาพ เว้นเมื่อร่างกายอ่อนแอ เนื้อเยื่อได้รับการชอกช้ำมาก
-แบคทีเรียจากทางเดินหายใจ มือของเจ้าหน้าที่ ฝุ่นละออง เทคนิคการทำคลอดและเครื่องมือไม่สะอาด
การพยาบาล
1.ขั้นประเมินข้อมูล
1.1ปัจจัยส่เสริมให้เกิดการติดเชื้อหลังคลอด ได้แก่
1.1.1ภาวะทุพโภชนาการ ทุพโภชนาการ
1.1.2การได้รับการตรวจทางช่องคลอดบ่อยๆ
1.1.3เนื้อเยื่อช่องคลอดได้รับการกระทบกระเทือน
1.1.4มีการบวมเลือด
1.1.5มีการตกเลือดมากกว่า1000มล.
1.1.6มีรกค้าง
1.2ประเมินบริเวณที่มีการติดเชื้อ
1.2.1ฝีเย็บ
1.2.2การอักเสบของปากมดลูก
1.2.3เยื่อบุมดลูกอักเสบ
1.2.4ผนังมดลูกอักเสบ
1.2.5การติดเชื้อกระจายออกนอกมดลูก
การอักเสบเป็นหนองในอุ้งเชิงกราน
เชื้อเข้าทางช่องคลอดผ่านปากมดลูก เข้ามดลูก ปีกมดลูก กระจายเข้าเยื่อบุช่องท้อง(Peritonitis) ติดเชื้อจากหลอดเลือดดำลามเข้าอุ้งเชิงกราน
อาการ
-มีไข้สูงลอย หรือขึ้นๆลงๆ อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 38.9-39.4 องศาเซลเซียส
-เบื่ออาหาร อาเจียน บางครั้งอุจจาระเหลว
-หนาวสั่น ชีพจรเบาเร็ว
-ซีด
-กดหน้าท้องไม่เจ็บถ้ามดลูกเข้าอู่แล้ว น้ำคาวปลาอาจไม่มาก อาจคลำได้ก้อนที่หน้าท้อง ทวารหนัก หรือในช่องคลอด อาจเจ็บที่หน้าท้องข้างเดียวหรือสองข้าง
-อาจมี Endotoxic shock
-อาจพบสัญญาณอันตราย เรียกว่า Cross of death คือ
การมีอุณหภูมิต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส
ชีพจรเร็วมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที แสดงว่าผู้ป่วยอยู่ในภาวะวิกฤต
กรณีถ้ามีการติดเชื้อของเยื่อบุช่องท้อง จะพบอาการปวดท้องรุนแรง ไข้สูง 40.5 องศาเซลเซียส ชีพจรเร็ว 140 ครั้งต่อนาที หนาวสั่น อ่อนเพลีย หายใจเร็ว อาเจียนบ่อย ลักษณะอาเจียนพุ่งถ้าอาการเลวลงจะมีการถ่ายเหลวร่วมด้วย หน้าท้องตึงแข็ง กดเจ็บทั่วไป กระสับกระส่าย ตัวเย็น เหงือออก ปัสสาวะน้อย ถ้ารักษาไม่ทันอาจช็อค
การวินิจฉัยการพยาบาล
-ขาดความรู้การดูแลตนเอง
-มีความวิตกกัวลเกี่ยวกับอาการป่วย
-มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง
-มีภาวะเสี่ยงต่อการหมดสติจากพยาธิสภาพของโรค
-ไม่สามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้
การวางแผนการพยาบาล
-มารดาคลายความกังวลสามารถนอนหลับได้ สามารถอธิบายกิจกรรมและเหตุผลในการรักษาพยาบาลได้
-มารดาสามารถปฎิบัติตนเพื่อลดความเจ็บปวดได้
-ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถเผชิญปัญหาและปรับตัวต่อภาวะการเจ็บป่วยได้
-มารดามารถเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาได้
กิจกรรมการพยาบาล
-การพยาบาลเพื่อป้องกันเชื้อหลังคลอด
การให้คำแนะนำในการรักษาสุขภาพ สุขวิทยาส่วนบุคคล
การทำคลอดที่ถูกวิธีและเทคนิค
-การพยาบาลเมื่อมีอาการ
จัดผู้ป่วยให้อยู่ในที่พักผ่อนได้และไม่แพร่เชื้อ
ทำแผลระบายหนอง รายที่มีแผลอักเสบ ให้ยาปฎิชีวนะอย่างถูกต้องตามแผนการรักษา
ช่วยให้ได้รับการพักผ่อน อำนวยความสะดวก ความสุขสบายและความปลอดภัย
ดูแลแก้ไขอาการไม่สบายต่างๆ เช่นอาการปวด
จัดหาอาหารที่เหมาะสมและมีคุณค่า
ให้คำแนะนำในการดูแลตนเอง การดูแลเมื่อมีอาการนมคัด การเตรียมเต้านมหัวนม การส่งเสริมสัมพันธภาพมรดา ทารก
-การพยาบาลขณะมีอาการรุนแรง
จัดสถานที่ให้เหมาะสมกับการพยาบาล ไม่แพร่เชื้อ
ดูแลให้สารน้ำและอาหารทางหลอดเลือดดำ
เตรียมอุปกรณ์กู้ชีวิต
แก้อาการท้องอืดโดยใส่ NG tube
ให้การพยาบาลตามอาการ ส่งเสริมให้กำลังใจ
แนะนำการปฏิบัติตัว การดูแลตนเอง
เต้านมอักเสบ (Mastitis)
สาเหตุ
-หัวนมแตก ถลอก
-การบีบนวดเต้านมนานๆ
-เต้านมคัดมาก ท่อน้ำนมอุดตัน
-การดูดนมของทารกที่มีเชื้อในจมูก และคอ
อาการ
-ไข้สูง 38.5-40 องศาเซลเซียส ชีพจรเร็ว หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย
-เจ็บปวดเต้านม รู้สึกเต้านมหนักๆ
-ผิวหนังบริเวณเต้านมแดง แข็ง ตึง เจ็บปวด หรือนุ่มเป็นมัน มีหนองไหลหรืไม่มี ขึ้นอยู่กับความรุนแรง
-ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้โตและเจ็บ
การวินิจฉัย
-จากอาการ อาการแสดง
-ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการจากการเพาะเชื้อจากน้ำนม
แนวทางการรักษา
-การใช้ยาปฏิชีวนะ
-ผ่าระบายหนองออก และอัดแผลด้วยก็อซ หลังจากนั้นทำแผลทุกวัน
-ให้ยาแก้ปวด
การป้องกันเต้านมอักเสบ
1.รักษาความสะอาดของเต้านม มือ เสื้อผ้า ทำความะอาดเต้านมก่อนและหลังให้นมทารก ถ้ามีหัวนมแตกต้องรีบแก้ไข
2.ล้างมือก่อนและหลังให้นม
3.ดูแลให้เต้านมว่าง กระตุ้นให้ทารกดูดนมบ่อยๆ หรือบีบน้ำนมออกทุก 2-3 ชั่วโมง ถ้าบีบแล้วเจ็บอาจใช้เครื่องปั๊ม นวดเต้านมเพื่อการไหลเวียนที่ดี
4.ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อย3 ลิตรต่อวัน
5.สวมเสื้อยกทรงที่พอดีกับเต้า
การพยาบาลเมื่อเกิดการอักเสบของเต้านม
1.ตรวจลักษณะการอักเสบ แผล สิ่งคัดหลั่ง ถ้าอักเสบมีหนองต้องผ่าระบายหนองออก ใส่gauze drain และทำแผลทุกวัน
2.งดให้ทารกดูโนมข้างที่อักเสบ
3.ดูแลให้ยาปฏิชีวนะและยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
4.ดูแลให้มารดาได้รับน้ำและอาหารอย่างเพียงพอ
5.ประคบร้อนก่อนให้บุตรดูดนม หลังบุตรดูดนมประคบด้วยน้ำแข็ง
6.ใส่ยกทรงพยุงเต้านมไว้
การบวมเลือดหรือก้อนเลือดคั่ง(Hematoma)
สาเหตุ
-จากการบาดเจ็บจากการคลอดในรายที่คลอดเองหรือทำสูติศาสตร์หัตถการ
-การเย็บซ่อมแซมแผลฝีเย็บหรือแผลฉีกขาดที่ฝีเย็บ
-การบีบคลึงมดลูกรุนแรง
อาการและอาการแสดง ถ้ามีการบวมเลือดบริเวณช่องคลอด มารดาจะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณฝีเย็บหรือทวารหนักมากหลังคลอด แต่ถ้าเกิดการบวมเลือดบริเวณอื่นๆมารดาก็มีการปวดบริเวณนั้นตามแรงกดของก้อนเลือด หากก้อนเลือดมีขนาดใหญ่จะทำให้เกิดการตกเลือดตามมา
การพยาบาล
1.ป้องกันการบวมเลือดในรายที่มีความเสี่ยง
โดยวางกระเป๋าน้ำแข็งที่ฝีเย็บในชั่วโมงแรกหลังคลอด
2.ถ้าเกิดก้อนเลือดบวม บริเวณที่เกิดจะเป็นก้อนแข็ง กดเจ็บ
พยาบาลต้องประเมินขนาดของก้อนเลือดต้งแต่แรกเพื่อใช้เปรียบเทียบอาการ
3.ก้อนเลือดขนาดเล็ก ให้ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและติดตามประเมินขนาดของก้อนเลือด
แต่ถ้าก้อนเลือดขนาดใหญ่จำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อระบายเลือดและผูกหลอดเลือด หรือบางรายอาจใส่ท่อระบายไว้
4.ให้การดูแลตามอาการ เช่น บรรเทาอาการปวดด้วยการให้ยาแก้ปวด ประคบเย็น
หากมีอาการช็อคต้องดูแลรักษาอาการและส่งผ่าตัดเพือหยุดเลือดโดยเร็ว
ภาวะมดลูกไม่เข้าอู่ (Subinvolution)
สาเหตุ
-ภาวะที่ทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี ได้แก่ มีเศษรกค้าง มีก้อนเนื้องอกในมดลูก
-การผ่าตัดคลอด
-ทารกไม่ได้ดูดนมมารดา
-มีการติดเชื้อภายในมดลูก
-มดลูกคว่ำหน้าหรือคว่ำหลังมาก
อาการและอาการแสดง
-น้ำคาวปลาออกมากกว่าปกติ มีสีแดงตลอด กลิ่นเหม็น
-มดลูกนุ่มและใหญ่กว่าปกติ ระดับยอดมดลูกไม่ลดลง กดเจ็บหรือมีอาการปวดมดลูก
-มีไข้
-อาจเกิดการตกเลือดระยะหลัง
การป้องกันภาวะมดลูกไม่เข้าอู่
-ตรวจรกว่ารกคลอดครบหรือไม่ ถ้าสงสัยว่ารกคลอดไม่ครบต้องรายงานแพทย์
เพื่อวินิจฉัยและอาจต้องขูดมดลูกหากพบว่ามีรกค้างจริง
-ส่งเสริมให้น้ำคาวปลาไหลได้สะดวก เช่น กระตุ้นให้ลุกจากเตียงโดยเร็ว
นอนคว่ำ หลีกเลี่ยงกระเพาะปัสสาวะเต็ม หลีกเลี่ยงภาวะท้องผูก
-ส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
การพยาบาลเมื่อเกิดภาวะมดลูกไม่เข้าอู่
1.มารดาหลังคลอดต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อให้ยาปฏิชีวนะ หากพบว่ามีการติดเชื้อร่วมด้วย แนะนำการดูแลรักษาและการปฏิบัติตัว
2.ถ้าไม่มีกรติดเชื้อร่วมด้วยแพทย์อาจให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก จึงต้องประเมินระดับยอดมดลูกทุกวัน
3.ในกรณีที่เกิดจากการมีรกค้าง แพทย์จะทำการขูดมดลูกเพื่อเอาเศษรกออก พยาบาลจึงต้องเตรีมมารดาสำหรับการขูดมดลูก
4.แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยขน์ การส่งเสริมให้น้ำคาวปลาไหลสะดวก การรักษาความสะอาดของอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก
การพยาบาลมรดาที่มีจิตแปรปรวนหลังคลอด
การพยาบาลมารดาที่มีจิตแปรปรวนหลังคลอด
อาการและอาการแสดง
-ร้องไห้ง่ายไม่มีเหตุผล
-ว้าเหว่
-สับสน
-อ่อนเพลีย
สาเหตุ
-จากการคลอด
-ความเครียดทางกาย
-การเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยา
-การเปลี่นแปลงระดับฮอร์โมน
-ความเครียดทางจิตใจ
-ความเครียดทางสังคม/สิ่งแวดล้อม
การวินิจฉัย
-อารมณ์หงุดหงิด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
-รู้สึกตนเองไร้ค่า วิตกกังวล
-อารมณ์รุนแรง
-ร้องไห้ง่าย
-เหนื่อยล้า
-สับสนฟุ้งซ่าน
ลักษณะของสตรีหลังคลอดที่มีแนวโน้มในการเกิดภาวะอารมณ์เศร้าหลัง คลอด ได้แก่
1.สตรีที่มีความระมัดระวังมาก
2.สตรีที่มีความวิตกกังวลสูง
3.สตรีที่มีวุฒิภาวะไม่เหมาะสม
การพยาบาล
-การประคับประคองทางจตใจ การให้คำอธิบาย การช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัว
ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
อาการ
-ท้อแท้ สิ้นหวัง มองโลกในแง่ร้าย
-ท่าทางเหนื่อยอ่อน หมดแรง คิดช้า พูดช้า
-รู้สึกตนเองไร้ค่า ไม่มีความหมาย
-จิตใจหดหู่ ไม่มีความสุข
-จุกแน่นในอก และลำคอ
-นอนไม่หลับ หรือนอนทั้งวัน ฝันร้าย
-เบื่ออาหาร น้ำหนักเพิ่มหรือลด
-ย้ำคิด กังวล กลัวถูกทำร้าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
-หลงลืม ไม่สนใจตนเอง ไม่มีความรู้สึกทางเพศ
แบ่งได้เป็น3 ระดับ
-ระยะที่1 เกิดในระยะแรกคลอด วันที่3-10 มีอาการซึมเศร้า ฝันร้าย รู้สึกเสียใจ สูญเสีย เกิดจากความตื่นเต้นในการคลอด
-ระยะที่2 ช่าวง1-3 เดือนหลังคลอด จากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย บทบาทหน้าที่ที่เพิ่มขึ้น
-ระยะที่3 ระยะ1ปีหลังคลอด จากการพยายามอย่างที่สุดในการปรับตัว ทำให้เกิดอารมณ์แปรปรวนไม่มั่นคง
สาเหตุ
-ความเครียดทางกาย:การเปลี่ยนแปลสรีระ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ประสบการณ์การคลอดยาก
-ความเครียดทางจิตใจ:ปัญหาชีวิต การตั้งครรภ์ที่ไม่ปรารถนา ขาดคนช่วยเหลือพึ่งพา วิตกกังวล กลัวทำหน้าที่มรดาได้ไม่ดี มีความเจ็บป่วยทางจิต
-ความตึงเครียดทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ประเภทของสตรีที่มีแนวโน้มการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
-มารดาที่เคยมีภาวะซึมเศร้าในระยะตั้งครรภ์
-มารดาที่มีประสบการณ์สูญเสียในช่วง2 ปีก่อนคลอด
-มีประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกี่ยวกับการสูญเสีย
การพยาบาล
1.การประเมินข้อมูล
2.การกำหนดการวินิจฉัยกาพยาบาล
2.1เสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดเนื่องจากไม่ได้รับความสุขสบาย
2.2เสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด เนื่องจากขาดการดูแลเอาใจใส่จากสามี/ญาติ
2.3เสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดรุนแรง เนื่องจากไม่สามารถปรับตัวในการเป็นมารดาได้
3.การวางแผนการพยาบาล
3.1ให้มารดาได้รับความสุขสบายทางกาย
3.2ส่งเสริมให้มารดาได้รับการดูแลประคับประคอง ดูแลเอาใจใส่
3.3ส่งเสริมให้กำลังใจ
3.4อำนวยความสะดวกให้มารดา
4.แนวทางในการกำหนดกิจกรรมการพยาบาล
4.1ดูแลให้มารดาได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
4.2ให้มารดาได้รับความสุขสบายด้านร่างกาย
4.3ให้ความสนใจ สร้างสัมพันธภาพที่ดี
4.4ให้คำแนะนำการปฏิบัติตัว การเลี้ยงดูบุตร
4.5ให้กำลังมารดาด้วยการให้กำลังใจ
4.6ให้การช่วยเหลือมารดาในการดูแลทารก
4.7สังเกต ดูแลอย่างใกล้ชิด
4.8ให้มารดาเข้ากลุ่มทำกิจกรรมร่วมกับมารดารายอื่น
โรคจิตหลังคลอด
(postpartum psychosis)
สาเหตุ
-คล้ายกับการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
-ลักษณะเฉพาะของตัวมารดา
อาการ
-นอนไม่หลับ
-กระสับกระส่าย
-หงุดหงิดง่าย
-อารมณ์ไม่แน่นอน
-วิตกกังวลอย่างมาก
-สับสน จำเวลา สถานที่ บุคคลไม่ได้
-ความจำเสื่อม เสียสมาธิ พูดเพ้อเจ้อ
-มีท่าทางแปลกๆ ร้องไห้คร่ำครวญ หลงผิด หวาดระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน
การรักษา
-การรักษาทางกาย:การใช้ยา การช็อตไฟฟ้า
-การรักษาทางจิตโดยใช้จิตบำบัด
-การรักษาโยการแก้ไขสิ่งแวดล้อม
การพยาบาล
1.การประเมินข้อมูล
2.การวินิจฉัยกาพยาบาล ขึ้นอยู่กับข้อมูลปัญหาที่ประเมินได้
3.การวางแผนการพยาบาล
3.1ให้มารดาได้รับความสุขสบายและมีสุขอนามัยที่ดี
3.2ให้มารดา สามี ญาติเข้าใจการวินิจฉัยและแผนการรักษา
3.3ให้มารดาได้รับการรักษาที่เหมาะสม
3.4ส่งเสริมความสามารถในการดำรงบทบาทการเป็นมารดา
-ดูแลสุขอนามัย ความสะอาด
-วางแผนการพยาบาลที่เหมาะสม
-สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
-จัดอาหารให้เหมาะสม
-ดูแลให้รับยาถูกต้อง ครบตามจำนวน
-อธิบายให้สามีเข้าใจการรักษา
-ให้เวลามารดา สามี ญาติ ในการพูดคุย
-ชักนำ ส่งเสริมการเข้ากลุ่มจิตบำบัด
-ให้ความใกล้ชิดเป็นกันเอง เป็นที่พึ่ง
-ให้ความสนใจสามี ญาติที่ดูแลมารดา
-แนะนำการคุมกำเนิด
-ส่งต่อผู้ป่วยให้หน่วยบริการอนามัยชุมชน
-แนะนำการตรวจสุขภาพตามนัด
-จัดชั้นเรียนสอนเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา
4.การประเมินผล ประเมินตามเป้าหมายการพยาบาลที่ตั้งไว้