Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ตับ ทางเดินน้ำดีและตับอ่อน - Coggle…
การเปลี่ยนแปลงในระบบทางเดินอาหาร ตับ ทางเดินน้ำดีและตับอ่อน
ความผิดปกติของหลอดอาหาร
ความผิดปกติแต่กําเนิด
ภาวะนี้พบได้ไม่บ่อย
อาการเกิดข้ึนไม่นานหลังจากคลอด
การตีบตันของอาหารอย่างสมบูรณ์ จะมีผลต่อการกลืน
ชนิดที่พบบ่อยคือ ชนิดที่มีการตีบตันของหลอดอาหารส่วนบน
การยืนหรือโป่งเป็นถุงของผนังหลอดอาหาร (Esophageal diverticulum)
เกิดจาก ความอ่อนแอของผนังกล้ามเน้ือหลอดอาหาร
มีการยื่นหรือโป่งของผนังหลอดอาหารทั้งหมดหรือ บางส่วนออกไป
อาการและอาการแสดง
มีความรู้สึกว่าอาหารติดค้างอยู่ท่ีหลอดอาหารก่อนท่ีจะ เคลื่อนตัวลงสู่กระเพาะ
มีอาการสําลัก ไอ และเรอมีกลิ่น เหม็นเน่าจากอาหารที่ติดค้างอยู่
เศษอาหารที่ตกค้างในหลอดอาหารน้ีอาจทําให้เกิดหลอด อาหารอักเสบและแผลในหลอดอาหาร
การวินิจฉัย
การตรวจด้วยเอกซเรย์ การเอกซเรย์แบบกลืนแป้งแบเรียม
การส่องกล้องผ่านหลอดอาหาร วิธีนี้ไม่ค่อยนิยมใช้เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อผนังของหลอดอาหาร
หลอดอาหารอักเสบ
การฉีกขาดเป็นแผลยาวที่หลอดอาหาร
มักเกิดจากมีอาเจียนที่รุนแรงโดยเฉพาะใน alcoholic intoxication
หลอดอาหารอักเสบเป็นแผล อาจจะทะลุเข้าอวัยวะคั่นระหว่างปอด (mediastinum) หรือเยื่อบุช่องท้อง (peritoneum) จนทำให้มีการอักเสบของอวัยวะโดยรอบ
หลอดอาหารอักเสบจากการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นมาที่หลอดอาหารหรือภาวะกรดไหลย้อน
สาเหตุ
ความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหาร LES คลายตัวLES มีแรงดันน้อยกว่าปกติ
อาหารเคลื่อนออกจากกระเพาะอาหารช้าลงกระเพาะอาหารมีปริมาตรมากขึ้นแรงดันในกระเพาะอาหารสูงขึ้น
LES มีการคลายตัว เกิด reflux
LES อ่อนแอ Esophageal diverticulum
อาหารค้างในหลอดอาหารนาน (Esophagitis) ทำให้เลือดมาเลี้ยงผนังหลอดอาหารมากขึ้น การซึมผ่านของน้ำมากขึ้น ผนังหลอดอาหารบวม ฉีกขาด พังผืด ผนังหลอดอาหารหนาตัว จึงทำให้หลอดอาหารตีบแคบ
-LES tone ลดลง
-นาน
-Hiatal hernia
-การอาเจียน ไอ ยกของหนัก ท่าทางที่เกิด แรงดันช่องท้องสูง
Reflux esophagitisผนังหลอดอาหารอักเสบเป็นเวลานานจึงเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ส่งผลให้กระเพาะอาหารส่วนต้น Pylorus บวม ตีบแคบ
Reflux esophagitis (ผนังหลอดอาหารอักเสบ)
ความรุนแรงขึ้นอยู่กับปริมาณ
ระยะเวลาที่กรดสัมผัสกับเยื่อบุหลอดอาหาร
เศษอาหาร (chyme) ที่มีความเป็นกรดสูง มีเกลือน้ำดี pancreatic enzymes ปน
ปริมาณ gastric content
การอักเสบรุนแรง ---> ภาวะแทรกซ้อน
การอักเสบเรื้อรังของหลอดอาหาร (Barrett's esophagus, BE)
กรดไหลย้อนไปถึงกล่องเสียงหรือหลอดลม : Laryngopharyngeal reflux (LPR)
การตีบของหลอดอาหาร (Esophageal stricture)
อาการและอาการแสดง GERD
Esophageal syndrome
เสียงแหบเรื้อรัง หรือแหบเฉพาะตอนเช้า
ไอเรื้อรัง ไอหรือรู้สึกสำลักน้ำลาย
หายใจไม่ออกเวลากลางคืนจนต้องตื่นกลางดึก
เจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ (Non-cardiac chest pain)
ปอดอักเสบ หรือหอบหืด
Esophageal syndrome
รู้สึกคล้ายมีก้อนในคอ กลืนลำบาก
เรอเปรี้ยว หรือรู้สึกถึงรสขมของน้ำดี
จุกแน่นในคอหรือหน้าอกคล้ายอาหารไม่ย่อย (Dyspepsia)
Heart burn 30-60 นาทีหลังอาหาร
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติจากอาการและอาการแสดง
การตรวจพิเศษ
การตรวจวัดกรดในหลอดอาหารตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
ตรวจการเคลื่อนไหวของหลอดอาหาร (esophageal manometry)
ภาวะการอักเสบเรื้อรังของหลอดอาหาร (Barrett esophagus; BE)
ภาวะแทรกซ้อนของโรคกรดไหลย้อน
เยื่อบุเซลล์ squamous mucosa ถูกแทนที่ด้วยเยื่อบุเซลล์columnar epithelium
เป็นแผล (Ulceration
การตีบจากพังผืด (Stricture)
มะเร็งหลอดอาหาร (Esophageal Cancer)
การวินิจฉัยโรค
การตรวจพิเศษ
การส่องกล้องตรวจในทางเดินอาหารส่วนต้น โดยจะพบ Columnar epithelium อยู่ที่หลอดอาหารส่วนปลาย
การตรวจทางพยาธิวิทยาของชิ้นเนื้อจะพบ Columnar epithelium มี Specialized intestinal metaplasia
หลอดเลือดดําบริเวณหลอดอาหารส่วนปลายโป่งพอง
อาการและอาการแสดง
มีเลือดออกในทางเดินอาหาร
อาเจียนเป็นเลือดสด
ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ํา ใจสั่น หายใจเร็ว และหมดสติ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ โดยเฉพาะประวัติเป็นโรคตับแข็ง การดื่มสุราเป็นเวลานาน
การตรวจร่างกายจะพบอาการแสดงของโรคตับ ร่วมกับอาการของเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนบน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจการทํางานของตับ (Liver function test)
การประเมินหน้าที่ของตับในการสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (Coagulogram)
การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดแดง (Complete blood count; CBC)
การตรวจพิเศษ
การส่องกล้องตรวจหลอดอาหาร (esophagoscopy)
การส่องกล้องตรวจในทางเดินอาหารส่วนต้น
การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (endoscopy)
สาเหตุ
มีการขยายของหลอดเลือดในเยื่อบุกระเพาะอาหารและหลอดอาหารเกิดเป็นภาวะเส้นเลือดขอดหรือเส้นเลือดโป่งพอง
การตีบตันของหลอดอาหาร (Esophageal obstruction): อคาเลเซีย (achalasia)
เป็นความผิดปกติของการบีบและคลายตัวของกล้ามเนื้อหลอดอาหาร
การคลายตัวที่ไม่สมบูรณ์ของกล้ามเนื้อหูรูดตอนล่าง
การตึงตัวของกล้ามเนื้อ LES (LES tone) เพิ่มขึ้น
ไม่มีการบีบตัวของกล้ามเนื้อหลอดอาหารเป็นคลื่นๆ(Aperistalsis)
พยาธิกําเนิด
จํานวนของเซลล์ประสาทส่ังการ (Motor neuron) ท่ีผนังหลอดอาหารลดลง
ไม่มี Motor neuron
Achalasia ท่ีเกิดจากการติดเชื้อ Trypanosoma cruzi จะมีการทําลาย Motor neuron ที่ผนังหลอดอาหาร เรียกว่า โรคซากาส (Chagas disease)
พยาธิสภาพอื่นท่ีทําให้หลอด อาหารตีบแคบ
Esophageal stenosis (หรือ Esophageal stricture) เกิดจากการหนาตัวขึ้น ของผนังหลอดอาหาร
esophageal web คือการมีพังผืดในหลอดอาหาร
Esophageal rings หรือ Schatzki rings ลักษณะคล้ายกับ Webs แต่เป็นการยื่นของผนังหลอดอาหารส่วน เยื่อเมือก
เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ (Muscular tissue) เข้ามาในหลอดอาหาร
อาการและอาการแสดง
ขึ้นอยู่กับตําแหน่งที่อุดตัน
การขยายตัวและหดเกร็งของหลอด อาหาร ทําให้ปวดบริเวณที่อุดตัน
รู้สึกอึดอัดไม่สบายหลังกลืนอาหาร 2-4 วินาที แสดงว่าการอุดตัน อยู่ส่วนบนของหลอดอาหาร
รู้สึกอึดอัดหลังกลืนอาหาร 10-15 วินาที แสดงว่ามีการอุดตัน ส่วนล่างของหลอดอาหาร
อาการกลืนลําบาก
ขย้อนอาหาร อาเจียน น้ําหนักลด อาจสําลักอาหารจนปอดอักเสบ
การวินิจฉัย
การซักประวัติ
การตรวจร่างกาย
การตรวจพิเศษ
การส่องกล้องตรวจในทางเดินอาหารส่วนต้น
การเอกซเรย์แบบ barium esophagogram)
หลอดอาหารตีบแคบ
Esophageal stenosis : การหนาตัวของหลอดอาหาร
Esophageal web : ผังผืดในหลอดอาหาร
Esophageal rings : คล้าย wed แต่เป็นการยื่นของผนังหลอดอาหารส่วนเยื่อเมือก หรือเนื้เยื่อกล้ามเนื้อ
ความผิดปกติของตับ ทางเดินน้ำดี และตับอ่อน
ความผิดปกติของตับ (Liver)
ตับแข็ง (cirrhosis)
เป็นภาวะที่ตับเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างและหน้าที่
สาเหตุการเกิด
การดื่มแอลกอฮอร์
การอักเสบของตับจากภาวะไขมันแทรกในตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอร์
ยา
สารเสพติด
การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและตับอักเสบซีเรื้อรัง
โรควิลสัน
โรคภูมิต้านทานตัวเองต่อตับ
ภาวะหัวใจล้มแหลวเรื้อรัง
ท่อน้ำดีอุดตัน
อาการและอาการแสดง
ระยะเริ่มต้น
ไม่พบอาการ
ในบางรายอาจพบอาการ
เบื่ออาหาร
เหนื่อยง่าย
คลื่นไส้
น้ำหนักลด
อ่อนเพลีย
ระยะที่มีอาการเพิ่มขึ้น
ขาบวม
ท้องโต
ภาวะดีซ่าน
คันตามตัว
อาการทางสมอง
เสือดออกง่าย
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะท้องมานน้ำ (Ascites)
หลอดเลือดดำในหลอดอาหารโป่งพอง (Esophageal varice)
ภาวะความดันเลือดในตับสูง (Portal hypertension)
โรคสมองจาดโรคตับ (Hepatic encephalopathy)
การวินิจฉัย
ตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ตรวจเลือดดูค่าการทำงานของตับ
การซักประวัติอาการ
การตรวจพิเศษ
อัลตราซาวนด์
การตรวจตับและม้ามด้วยรังสี (radioisotope scan)
การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan)
การเจาะผ่านผิวหนัง (biopsy) เพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา
ตับอักเสบ (Hepatitis)
เป็นภาวะที่มีการอักเสบเกิดขึ้นนเนื้อตับ
สาเหตุการเกิด
ยา
แอลกอฮอล์
แบคทีเรียหรือสารพิษ
โรคของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เช่น SLE
เชื้อไวรัส
โรคระบบเลือด เช่น มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง
ตับอักเสบจากเชื้อไวรัส (Viral hepatitis)
ตับอักเสบชนิดบี (Hepatitis B )
สามารถตรวจพบเชื้อในเลือดและสิ่งขับหลั่งทุกชนิดของร่างกาย
การติดต่อ
เลือด
เข็มฉีดยาหรือของมีคม
เพศสัมพันธ์
การฉีกขาดของเยื่อบุช่องคลอด
การตืดเชื้อจากมารดาที่เป็นพาหะเรื้อรัง
ลักษณะการติดเชื้อ
การติดเชื้อเฉียบพลัน (พบบ่อย)
ระยะอาการก่อนเหลือง (Predromal or pre-icteric phase) มีระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์และมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่
ระยะเหลือง (Icteric phase) ใช้เวลา 2-6 สัปดาห์ มีอาการ ตัวเหลือง
ตาเหลือง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม อุจจาระสีคล้ายดิน คันตามผิวหนัง
ระยะฟักตัว (Incubation period) ใช้เวลา 50-150 วัน
ระยะหลังการหลือง (Posticteric phase) ระยะนี้เริ่มตั้งแต่ตาเหลือง ตัวเหลืองลดลง อ่อนเพลีย ขนาดตับลดลง แต่ยังกดลงไปเจ็บ อยากรับประทานอาหารมากขึ้น ระยะนี้อาจมีอาการกลับมาเป็นซ้ำได้ แต่ไม่รุนแรง ผู้ป่วยจะหายเป็นปกติภายใน 6 เดือน
การติดเชื้อเรื้อรัง
เป็นพาหะของโรค(HBsAg)
การวินิจฉัย
การตรวจห้องปฏิบัติการ
การตรวจการค่าเคมีในเลือด (Blood chemistry)
บิลิรูบินและเอนไซม์ของตับสูง โปรตีนในเลือดต่ำ และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis A)
พบบ่อย
เป็นชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดตับอักเสบเรื้อรังหรือมะเร็งตับ
ลักษณะอาการแสดง
เฉียบพลันกว่าไวรัสตับอักเสบบี
ไข้สูง
ปวดศีรษะมาก
ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อทั่วๆไป
ตาเหลือง
ตัวเหลือง
ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E virus)
ติดต่อทางการรับประทานอาหาร
ระยะฝักตัว 35-40 วัน
ส่วนมากเป็นในวัยรุ่น-วัยผู้ใหญ่
อันตรายสูงในหญิงตั้งครรภ์
ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitic C virus)
พบการติดเชื้อหลังจากได้รับเลือด
ระยะฟักตัวประมาณ 6-12 สัปดาห์
ไม่มีอาการ
พบระดีบอะลามีน แอลมิโนทรานสเฟอเรสเพิ่มขึ้น
การอักเสบเป็นแบบเรื้อรัง
ตับอักเสบเรื้อรัง
ตับแข็ง
ความผิดปกติของทางเดินน้ำดี (Biliary tract)
นิ่วในถุงน้ำดี
สาเหตุการเกิด
เกิดจากภาวะไม่สมดุลของสารประกอบในน้ำดี
ประกอบด้วยคอลเลสเตอรอล
หินปูนแคลเซียม
สารสีน้ำดี
พบในคนอายุ40ปีเพศหญิง
อ้วนและมีบุตรแล้ว
รับประทานยาคุมกำเนิดฮอร์โมนชนิดเอสโตรเจน
อาการและอาการแสดง
ท้องอืด แน่นท้อง หลังรับประทานอาหาร
ปวดท้องใต้ชายโครงขวา
ปวดท้องรุนแรง ปวดร้าวไปถึงสะบักด้านขวา
มีไข้สูงเฉียบพลัน
ตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะเข้ม
การวินิจฉัยโรค
ซักประวัติ
ตรวจร่างกาย การคลำถุงน้ำดี
การตรวจพิเศษ การทำอัลตราซาว์ ตรวจด้วยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า เอ็มอาร์ไอ
ถุงน้ำดีอักเสบ
สาเหตุการเกิด
มีนิ่วในท่อถุงน้ำดี
การอักเสบของถุงน้ำดี บวม อุดกั้น
น้ำดีไหลย้อนกลับเข้าตับอ่อน ทำให้เกิดดีซ่าน ปวดท้อง ตับอ่อนอักเสบตามมา
อาการและอาการแสดง
ปวดท้องที่ใต้ชายโครงขวาอย่างรุนแรงหลังรับประทานอาหาร
ประมาณ1-3ชั่วโมง อาการปวดจะอยู่เป็นชั่วโมง
ปวดลิ้นปี่ มีไข้ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
การตรวจห้องปฎิบัติการ
ตรวจเลือดเพื่อดูการทำงานของตับอ่อน
ตรวจหาการติดเชื้อ)
ตรวจการทำงานของตับ
ตรวจร่างกายตรวจท้องส่วนบนและส่วนล่าง
การตรวจพิเศษ
การตรวจด้วยภาพสแกน
การเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีทัสแกน
ความผิดปกติของตับอ่อน (Pancreas)
ตับอ่อนอักเสบ
ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน
สาเหตุการเกิด
ท่อตับอ่อนเข้าสู่ลำไส้เล็กอุดตัน
ตับอ่อนถูกทำลายหลอดเลือดทั้งภายในรอบๆตับอ่อน
ตับอ่อนไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน
อาการ
ปวดท้องอย่างรุนแรง
ปวดร้าวไปที่หลัง
อาการเป็นอยู่2-3วัน
คลื่นไส้ อาเจียน มีไข้
การวินิจฉัยโรค
ตรวจร่างกาย
ตรวจพิเศษคือ การเจาะเลือดตรวจระดับเอนไซม์
ซักประวัติอาการ
ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง
สาเหตุการเกิดโรค
การอักเสบของตับอ่อน เป็นๆหายๆ
เนื้อเยื่อตับอ่อนถูกทำลาย
อาการและอาการแสดง
ปวดท้องแบบเป็นๆหายๆ
ปวดตลอดเวลา ปวดครั้งคราว
อุจจาระเป็นสีเทาหรือซีดๆ มีไขมันปนออกมากับอุจจาระ
น้ำหนักตัวลด
ตับอ่อนถูกทำลายมากจะเป็นโรคเบาหวาน
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติอาการ
ตรวจพิเศษ เช่น การเจาะเลือดตรวจระดับเอนไซม์
ตรวจร่างกาย
ความผิดปกติของกระเพาะอาหาร
ความผิดปกติแต่กำเนิด
กระเพาะส่วนปลายตีบ (pyloric stenosis)
เป็นการหนาตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะอาหารส่วน pylorusซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการอุดตันGut obstruction
อาการและอาการแสดง
อาเจียนพุ่ง เป็นนมไม่มีน้ำดีปน
มีลิ่มเลือดเล็ก ๆ สีน้ำตาลคล้ำ (coffee ground) ปน
ดูดนมต่อได้แล้วอาเจียนออกมาหมด
มักเริ่มมีอาการเมื่ออายุ 3 Wks
การวินิจฉัย
การซักประวัติ จากประวัติอาเจียน
การตรวจร่างกาย ร่วมกับการคลําก้อนในท้องได้
การตรวจด้วยเอกซเรย์ช่องท้องธรรมดา
กระเพาะอาหารเลื่อนหรือไส้เลื่อนกระบังลมส่วนต้นของกระเพาะอาหารถูกดันขึ้นมายังส่วนล่างของช่องทรวงอก
สาเหตุ
ปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดแรงดันในช่องท้องเพิ่มมากขึ้น เช่น ท้องแฝด โรคอ้วน
ผู้สูงอายุ : ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อลดลง
ความอ่อนแอของกระบังลมโดยกำเนิด
Sliding hiatus hernia
ส่วนต่อระหว่างหลอดอาหารและกระเพาะอาหารเคลื่อนผ่านรูบริเวณกระบังลม
พบมากที่สุด
อาการและอาการแสดง
แสบร้อนกลางอก
มีอาการของ GERD จากการเคลื่อนที่ของ LES ขึ้นไปในช่องหน้าอก
แรงดันบริเวณ LES น้อยลง
จุกแน่นยอดอก
คลื่นไส้
เรอบ่อย มีรสเปรี้ยวของกรดในคอ
Paraesophageal hiatus hernia
บางส่วนของกระเพาะอาหารเคลื่อนผ่านรูบริเวณกระบังลม
อาการและอาการแสดง
เกิดภาวะไส้เลื่อนชนิดติดคาและไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด
อาการไม่รุนแรง แต่อาจเกิดภาวะไส้เลื่อนขาดเลือด ซึ่งทำให้ไม่มีเลือดไปเลี้ยงกระเพาะอาหาร
ไม่มีอาการของ GERD
กระเพาะอาหารอักเสบ
การอักเสบของเยื่อเมือกบุกระเพาะอาหาร (gastric mucosa)
ในภาวะปกติ
กระเพาะอาหารจะหลั่งกรด HCl และ intrinsic factor เพื่อช่วยย่อยอาหาร
Prostaglandin E2 เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารสร้างสารเมือกปกคลุมเยื่อบุกระเพาะอาหารเพื่อป้องกันการระคายเคืองจากกรด
กระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน(acute gastritis)
พยาธิสภาพ Acute gastritis
สารระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ คาแฟอีน อาหารรสจัด
สารพิษที่หลั่งจากแบคทีเรีย (bacterial endotoxins) : Staphylococci , E.coli , Salmonella
รังสีรักษา (radiotherapy) เคมีบำบัด (chemotherapy)
ติดเชื้อ Helicobacter pylori
ยากลุ่ม NSAIDs (aspirin , indomethacin)
การหลั่ง prostaglandin E2 ลดลง การสร้างสารเมือกลดลง กรดทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร
เยื่อบุกระเพาะอาหารชั้น epithelium เป็นแผลขนาดจุดถึง 1 เซนติเมตรเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารบวม
มีเลือดออกชั้นใต้เยื่อบุกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบของกระเพาะอาหาร
อาการและอาการแสดง
ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ไม่สบายท้อง อึดอัดแน่นท้องและอาเจียน ถ้าอาการรุนแรงมากอาจมีอาเจียนเป็นเลือด (hematemesis) ถ่ายดำ (melena) และช็อกได้
สารพิษที่หลั่งจากแบคทีเรีย ถ่ายเหลวภายใน 5 ชม. หลังจากรับประทานอาหารที่มีสารพิษจากแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่
ยา aspirin อาการปวดแสบท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่
โรคแทรกซ้อนตามมา : Peptic Ulcer Disease (PUD)
กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง(chronic gastritis)
พยาธิสภาพ
แผลของเยื่อบุกระเพาะอาหารเรื้อรังส่งผลให้ต่อมเยื่อบุกระเพาะอาหารฝ่อ และผนังเยื่อบุกระเพาะอาหารบางลง
เปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งได้
Autoimmune gastritis
มี Antibody ที่ parietal cell และ intrinsic factor
ไม่สามารถสร้างกรดได้พอเพียง (hypochlohydria) หรือ
ไม่สามารถสร้างกรดได้เลย (achlohydria) และขาด intrinsic factor
การดูดซึมวิตามิน B12 ลดลง
ภาวะเลือดจางจากการขาดวิตามิน B12
(Pernicious anemia)
อ่อนเพลีย อาหารไม่ย่อย ซีดและชาตามปลายมือปลายเท้า
Helicobactor pyroli gastritis
เกิดจากเชื้อ H. pyroli
สามารถเจริญเติบโตได้ดีในเซลล์ที่สร้างเมือก (mucous-secreting epithelial cells) ของกระเพาะอาหาร
เคลื่อนไหวได้ดีในเมือกที่สร้างจากเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร
หลั่งเอนไซม์ urease เปลี่ยนยูเรียให้กลายเป็นแอมโมเนีย และ CO2
สร้าง protease ทำลาย glycoprotein ของเมือก
สร้าง toxin ทำลาย เยื่อบุกระเพาะอาหาร
เกิดการอักเสบเรื้อรัง ผนังเยื่อบุกระเพาะอาหารบางลงสร้าง toxin ทำลาย เยื่อบุกระเพาะอาหาร
เกิด gastric adenocarcinoma
อาการและอาการแสดง
มีความผิดปกติในการย่อยอาหาร
รู้สึกตึงแน่นบริเวณลิ้นปี่หลังรับประทานอาหาร
อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน
การวินืจฉัย
การซักประวัติ อาการและอาการแสดง
การตรวจร่างกาย พบท้องอืด แน่นท้อง และกดเจ็บบริเวณลิ้นปี่
การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
การตรวจ CBC พบเม็ดเลือดขาวสูงขึ้น
การตรวจหาเชื้อ H. pylori โดยการตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ หรือตรวจทางลม หายใจ
การตรวจด้วยเอกซเรย์
การถ่ายภาพรังสีหลังการกลืนแป้ง (GI series)
การตรวจพิเศษ
การใช้กล้องส่องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน (Upper GI endoscopy) การ ตรวจด้วยวิธีนี้ถือว่าเป็นการตรวจวินิจฉัยที่ดีที่สุด
แผลในทางเดินอาหารหรือแผลเป็บติค
Duodenal ulcer : วัยผู้ใหญ่ตอนต้นและตอนกลาง
Gastric ulcer : วัยสูงอายุ
แผลในระบบทางเดินอาหารส่วนบน : กระเพาะอาหาร (Gastric ulcer) และลำไส้เล็กส่วนดูโอดินัม (Duodenal ulcer )
สาเหตุ
Aspirin, NSAIDs
การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยส่งเสริมร่วมที่ทำให้เกิด PUD
Chronic H. pyroli infection
พยาธิสภาพ
การสร้างเมือกลดลง
การไหลย้อนกลับของเกลือน้ำดีหรือน้ำย่อยจากตับอ่อนเข้าสู่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
Mucosal barrier ทำงานลดลงเกิดแผล
มีการไหลเวียนเลือดลดลง
H.pyroli
หลั่งสารที่ทำลาย mucous gel
กระตุ้นการสร้างกรดในกระเพาะ
ทำให้เกิดการอักเสบของกระเพาะ
Aspirin NSAIDs
จะยับยั้งการสร้าง prostaglandins และ mucous gel
การสูบบุหรี่ สารนิโคตินกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร และยับยั้งการหลั่งไบคาร์บอเนต
อาการและอาการแสดงทั่วไป
Gastric ulcer อาหารมักจะปวดหลังอาหาร ประมาณ1-1½ ชม.
Duodenal ulcer มักจะปวดหลังรับประทานอาหาร ประมาณ 2-4 ชม. และตอนดึกประมาณ 24.00- 3.00 น.
ปวดบิดเป็นพักๆ หรือในช่วงเวลากระเพาะอาหารว่างอาการปวดจะทุเลาหลังการรับประทานอาหารหรือยาลดกรด antacid
ปวดบริเวณใต้ลิ้นปี่ และร้าวไปใต้ชายโครงหลังหรืออาจร้าวไปที่ไหล่ขวา ลักษณะของอาการปวดคือ ปวดแสบปวดร้อน
การวินิจฉัย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจ CBC เพื่อหาภาวะเลือดจาง
การตรวจหาเลือดปนในอุจจาระ (Stool for occult blood)
การตรวจพิเศษ
การส่องกล้องตรวจดูหลอดอาหาร กระเพาะอาหารและลําไส้
การส่งชิ้นเนื้อตรวจเซลล์มะเร็งและเชื้อ H. pylori
การตรวจหาเชื้อ H. pylori ทางลมหายใจ (Urea breath test)
การซักประวัติ อาการและอาการแสดง
ภาวะแทรกซ้อน
Perforation
การแตกทะลุของผนังกระเพาะอาหารหรือดูโอดินั่ม
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ และติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสเลือด
ปวดท้องอย่างรุนแรง และทันทีทันใด ท้องแข็ง ฟังเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้ไม่ได้ และมีอาการของภาวะช็อก หรือมีไข้
Obstruction
จากแผลทำให้เกิดการอุดตันได้ โดยเฉพาะตำแหน่ง pyloric sphincter
ปวดแน่นท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ เนื่องจากอาหารไม่ไหลลงสู่ลำไส้เล็กและคลื่นไส้ อาเจียนอาหารที่ยังไม่ได้ย่อยออกมา
Hemorrhage
จากการฉีกขาดของหลอดเลือด : DU และ GU
หลอดเลือดเล็กฉีกขาด เลือดออกทีละน้อยภาวะซีดจากการขาดเหล็ก อ่อนเพลีย เวียนศีรษะ orthostatic hypotension
หลอดเลือดใหญ่ฉีกขาด เลือดออกมากและเรื้อรัง อาเจียนเป็นเลือด (hematemesis) ถ่ายอุจจาระมีสีดำ (melena) ถ่ายเป็นเลือดสด (bleeding per rectum) มีภาวะช็อก และอาจเสียชีวิต
ความผิดปกติของลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่
ความผิดปกติแต่กําเนิด (Congenital anomalies)
ถุงยื่นแบบเม็คเคล (Meckel’s diverticulum)
ความผิดปกติแต่กําเนิดของระบบทางเดินอาหารที่พบบ่อยที่สุด
เกิดจากการคงอยู่ของท่อ วิเทลลีน (Vitelline duct)
มีลักษณะเป็นถุงยื่นแท้(True diverticulum) ของลําไส้เล็กบริเวณเหนือรอยต่อไอลีโอซีกัล
โรคลําไส้ใหญ่โป่งพอง (Aganglionic megacolon) หรือโรคเฮิชสพรุง (Hirschsprung’s disease)
เป็นโรคลำไส้อุดตันที่พบบ่อยในทารกแรกเกิด
พบว่าภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังคลอด เด็กทารกไม่สามารถถ่ายขี้เทา (Meconium) ได้
ท้องโต
ลำไส้อักเสบและติดเชื้อรุนแรง
สาเหตุ
ความผิดปกติแต่กําเนิด
เกิดจากเซลล์ท่ีจะเจริญเป็นปมประสาท (Neural crest cells) หยุดเคลื่อนไปที่ผนังลําไส้
ชั้นกล้ามเนื้อของลําไส้บางส่วนไม่มีเซลล์ปมประสาท (Ganglion cells) ซึ่งทําหน้าที่ควบคุม การเคลื่อนไหวของลําไส้ใหญ่ส่วนปลาย
กิดการคั่งสะสม ของอุจจาระและลมเป็นจํานวนมากในบริเวณลําไส้ใหญ่ที่อยู่เหนือบริเวณที่ผิดปกติ
ทําให้ลําไส้ใหญ่ พองโต (Megacolon)
ความผิดปกติของการอุดตันในลําไส้
ภาวะลําไส้อุดตัน (Intestinal obstruction)
ภาวะที่มีสิ่งอุดตันหรือมีการ รบกวนการบีบตัวของลําไส้
อาหารหรือของเหลวต่าง ๆ ไม่สามารถเคลื่อนไปตามลําไส้ได้ตามปกติ
สาเหตุ
Mechanical obstruction
เกิดจากการมีส่ิงอุดกั้นทั้งโดยพยาธิสภาพ ภายนอกหรือจากตัวลําไส้
ส่วนใหญ่เกิดจาก External hernia (inguinal, femoral or umbilical hernia)
เกิดจากภาวะแทรกซ๊อนลําไส้ติดกันหลังผ่าตัด (Postoperative adhesion)
Paralytic adynamic obstruction
ภาวะลําไส้อุดตันจากการที่ลําไส้หยุดการ เคลื่อนไหว
ความผิดปกติของระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ใช้ในการบีบตัวของลําไส้
ภาวะลําไส้เป็นอัมพาตชั่วคราว (Paralytic ileus)
อาการและอาการแสดง
ปวดท้อง
คลื่นไส้อาเจียน มักเกิดร่วมกับการปวดบิด
ท้องอืด รู้สึกมีลมในช่องท้อง
การถ่ายผิดปกติ
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย
การดู จะเห็นลําไส้เคลื่อนไหวท่ีผนังหน้าท้อง
การฟังเสียงการเคลื่อนไหวท่ีลําไส้
การเคาะและคลําท้องอืด เคาะโปร่ง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจ CBC
การตรวจปัสสาวะ ค่า Urine specific gravity สูงกว่าปกติ
การตรวจด้วยเอกซเรย์
ไส้เลื่อน (Hernia)
ภาวะที่ลําไส้เคลื่อนตัวออกมาจากตําแหน่งเดิม
เกิดจากความอ่อนแอ ของผนังช่องท้องที่มีมาแต่กำเนิด หรือเกิดภายหลัง
เห็นลักษณะคล้ายก้อนตุง
อาการและอาการแสดง
เจ็บ โดยเฉพาะเวลาที่ก้มตัว ไอ หรือยกสิ่งของ
อาจมีความผิดปกติที่ช่องท้อง รู้สึกแน่นท้อง ปวดแสบปวดร้อน
ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือ รู้สึกมีก้อนลักษณะตุง
ไส้เลื่อนกระบังลม ---> กรดไหลย้อน เจ็บหน้าอก มีปัญหาในการกลืน
เจ็บบริเวณที่เป็นไส้เลื่อนอย่างเฉียบพลัน หรือไส้เลื่อนเดิมเป็นหนักขึ้น
อาเจียน ท้องผูก มีแก๊สในกระเพาะอาหาร บริเวณไส้เลื่อนตุงออกมาที่ผนังหน้าท้องมีลักษณะแข็ง ไม่สามารถใช้มือกดบริเวณที่เป็นก้อนลงไปได้
สัญญาณเตือนว่าเลือดไม่สามารถไปเลี้ยงลำไส้ ---> อาการบวม และเสี่ยงต่อภาวะลำไส้ตาย
รีบพบแพทย์
การตรวจวินิจฉัย
การประเมินด้วยตัวเอง โดยการสังเกตความผิดปกติภายนอกของร่างกาย
การตรวจร่างกาย
การตรวจลักษณะภายนอก เป็นการตรวจอันดับแรก โดยให้ผู้ป่วยลุกขึ้นยืน และลองไอออกมา เพื่อให้เห็นอาการของไส้เลื่อนได้ชัดเจนมากขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถเห็นลักษณะ ภายนอกได้ชัด อาจต้องตรวจเพิ่มเติม
การตรวจพิเศษ
การอัลตราซาวด์ (Ultrasonogram)
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
การส่องกล้องผ่านทางลําคอลงไปยังหลอดอาหารและช่องท้อง ในกรณีที่ สงสัยว่าเป็นไส้เลื่อนที่ช่องอก
ความผิดปกติของการอักเสบของลําไส้
ลำไส้อักเสบเรื้อรัง(Inflammatory Bowel Disease : IBD)
Crohn’s disease
การอักเสบของลำไส้เฉพาะส่วน
เนื้อเยื่อผนังลำไส้อักเสบเป็นแผลได้ทุกชั้น
เกิดการเชื่อมทะลุระหว่างลำไส้หรืออวัยวะอื่นในช่องท้อง fistula
มักพบที่ ileum
แผลเป็น ---> ลำไส้ตีบแคบลงและอุดตันผนังลำไส้หนาตัวการเคลื่อนไหวลดลงบีบตัวในลักษณะ “rubber hose”การดูดซึมอาหารลดลงพวกวิตามินบี 12 และเกลือน้ำดี
อุจจาระเหลวแต่ไม่มีเลือดปน
ปวดท้องกดเจ็บ
อุจจาระมีไขมันสูง (steatorrhea)
อาจคลำพบก้อนบริเวณช่องท้องด้านขวาล่าง
อาการท้องเดิน
Ulcerative colitis
การอักเสบและเกิดแผลในชั้นเยื่อบุหรือชั้นใต้เยื่อบุของลำไส้ใหญ่
เยื่อบุหรือชั้นใต้เยื่อบุของลำไส้ใหญ่และไส้ตรงอักเสบและเป็นแผล
ท้องเดิน 20 – 30 ครั้งต่อวัน
สูญเสียน้ำได้ถึง 500 - 1,700 มล. ใน 24 ชั่วโมง
อุจจาระมีมูกและเลือดปน
ถ้าอาการรุนแรงจะมีคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร มี ไข้ น้ำหนักลด
ระดับโปตัสเซียมและโปรตีนในเลือดลดลง เกิดภาวะเลือดจาง
การเกิดมะเร็งของลำไส้ใหญ่
ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)
ไส้ติ่งเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ใกล้ส่วนต่อระหว่างลำไส้เล็กกับลำไส้ใหญ่
เกิดได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบน้อยในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบหรือวัยสูงอายุ
พบบ่อยในวัย 5-30 ปี
พยาธิสภาพ
ไส้ติ่งบวม
ไส้ติ่งบวม
เศษอุจจาระแข็งอุดตันในไส้ติ่ง มีการบิดหมุนของไส้ติ่ง
อักเสบ บวม และติดเชื้อ
2-12 ชม.การอักเสบทะลุชั้น serosa ของไส้ติ่ง และ peritoneum
24-36 ชม.เกิดเนื้อตายและ
ไส้ติ่งแตกทะลุได้
การยืดของไส้ติ่งที่อักเสบ
ปวดร้าวรอบสะดือ
คลื่นไส้อาเจียน
อาการและอาการแสดง
ปวดจะรุนแรงขึ้นและร้าวลง McBurney’s point
เกิดอาการRebound tenderness
ไข้
WBC > 10,000 / mm³
การวินิจฉัย
การซักประวัติ ส่วนใหญ่ประเมินจากลักษณะทางคลินิก
การตรวจร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญที่สุดในการวินิจฉัยโรค
การตรวจทางห้องปฎิบัติการ
การตรวจปัสสาวะ
การตรวจ CBC จะพบเม็ดเลือดขาวในเลือดเพิ่มขึ้น > 15,000 cells/mm3
Diverticulum
การเลื่อนของชั้นเยื่อเมือกเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อของลำไส้ใหญ่
เนื้อเยื่อประสานของชั้นเยื่อเมือกและชั้นใต้เยื่อเมือกผิดปกติไม่สามารถทนแรงดันภายในลำไส้ได้+ท้องผูกเป็นประจำ
แรงดันในลำไส้สูง
เนื้อเยื่อเมือกและชั้นใต้เยื่อเมือกถูกดันเข้าไปในชั้นกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้ใหญ่ (descending, sigmoid colon)
บางส่วนที่ถูกดันมีลักษณะเป็นถุงตัน (diverticulum)
บางครั้งเกิดการอักเสบ แตก
กลุ่มความผิดปกติของลำไส้ตรงและทวารหนัก
ฝีบริเวณทวารหนัก (anorectal abscess)
การติดเชื้อที่ต่อมผลิตเมือกของทวารหนัก (anal gland)
อักเสบ
พัฒนาไปเป็นฝีหนอง
ปวดและมีหนอง
แก้มก้นด้านในบวม เจ็บและมีไข้ร่วม
ปวดในทวารหนักตลอดเวลา ปวดมากตอนเบ่งถ่าย และมีไข้
ขอบทวารหนักบวมและเจ็บ
เซาะไปตามชั้นของกล้ามเนื้อของทวารหนัก ชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง และชั้นผิวหนังที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ทวารหนัก
หนองเพิ่มมากขึ้น
แตกทะลุออกสู่ภายนอก
ทางเชื่อมต่อระหว่างรูของทวารหนักกับผิวหนังรอบทวารหนัก “ทางทะลุ (fistula)”
การวินิจฉัย
การตรวจร่างกาย จะมองเห็นขอบทวารบวมแดง และกดเจ็บ
การตรวจพิเศษ ได้แก่ การตรวจด้วยกล้องขนาดสั้น ๆ ที่เรียกว่ากล้อง Proctoscop จะใช้ในกรณีที่สงสัยฝีที่เกิดจากสาเหตุอื่น เช่น มะเร็ง
ฝีคัณฑสูตร (anal fistula or fistula in ano)
เกิดทางทะลุ (fistula) เชื่อมต่อจากรูเปิดที่เยื่อบุในทวารหนักมายังรูเปิดที่ผิวหนังบริเวณรอบปากทวารหนัก
คันและปวดเจ็บรอบปากทวารหนัก
อาจมีเลือดปน หรือเป็นหนอง
มีหนองหรือน้ำเหลืองไหลซึมเรื้อรัง
เป็นได้ 4ชนิด
Transphincteric fistula เป็นชนิดที่พบได้รองลงมา
Suprasphincteric fistula เป็นชนิดที่พบได้น้อย
Intersphincteric fistula เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด
Extrasphincteric fistula เป็นชนิดที่พบได้น้อยมาก
การวนิจฉัย
การซักประวิติ สามารถประเมินได้จากอาการ อาการแสดง
การตรวจร่างกาย
การสังเกต โดยสังเกตรอยบุ๋มหรือตุ่มนูนเล็ก ๆ บริเวณใกล้ ๆ กับรูทวาร
การตรวจทวารหนักด้วยนิ้วมือเพื่อหารูเปิดภายในของทวารหนัก
การตรวจพิเศษ
การฉีดสีเข้าในรูและถ่ายเอกซเรย์ในท่าต่าง ๆ
การใช้หัวเครื่องตรวจอัลตราซาวน์สอดเข้าไปในรูทวารและตรวจดู
ตรวจโดยการใช้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI
ริดสีดวงทวาร (hemorrhoids)
การมีหลอดเลือดขอดโป่งพองที่ผนังเยื่อบุทวารหนัก
ริดสีดวงภายใน (Internal hemorrhoids)
ริดสีดวงภายนอก (External hemorrhoids)
ระยะของริดสีดวงตามความรุนแรง
Grade2
โผล่ออกมานอกขอบทวารเวลาเบ่งถ่ายอุจจาระ
Grade3
โผล่ออกนอกขอบทวารขณะถ่ายและหลังถ่ายอุจจาระ
Grade1
อยู่เหนือ dentate line และไม่ยื่นออกมานอกขอบทวาร
Grade4
โผล่ออกมาภายนอก และไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้
ริดสีดวงทวารหนักแบบภายนอก
พบก้อนที่ทวารหนักตั้งแต่ระยะแรก และเจ็บปวดที่ก้อนริดสีดวง
ริดสีดวงทวารหนักแบบภายใน
เลือดแดงสดหยดลงในโถส้วมขณะเบ่งถ่าย/หลังถ่าย(ไม่มาก)
เลือดติดกระดาษชำระ หรือเคลือบอุจจาระออกมา
มีก้อนเนื้อโผล่จากภายในขณะเบ่งถ่ายอุจจาระและยุบกลับเมื่อหยุดเบ่ง และไม่ปวดหรือแสบขอบทวาร
เป็นมาก ๆ จะต้องดันกลับเข้าไป และสุดท้ายอาจย้อยอยู่ภายนอกตลอดเวลา
การวินิจฉัยโรค
ประวัติและอาการแสดงของโรค
ตรวจทางทวารหนัก : ตรวจดูขอบทวารหนัก การส่องดูพื้นผิวภายในของทวารหนักโดยใช้หลอดสั้น (anoscope)
ความผิดปกติในการทำหน้าที่ของระบบทางเดินอาหาร
ท้องผูก (Constipation)
ภาวะที่อุจจาระแห้งแข็งอัดเป็นก้อน ทำให้ขับถ่ายออกมาได้ยาก
การขับถ่ายตั้งแต่ 3 ครั้งต่อวัน จนถึง 3 ครั้งต่อสัปดาห์
ลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome; IBS)
กลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของทางเดินอาหาร
สาเหตุไม่ทราบแน่ชัด GI dysmotility Visceral hypersensitivity Gut inflammation Brain-gut interaction
ปวดท้อง แน่นท้อง ไม่สบายท้อง ท้องผูกสลับกับท้องเสีย หรืออั้นอุจจาระไม่อยู่
การวินิจฉัย
การซักประวัติ อาการและอาการแสดง
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจ stool examination และตรวจหาพยาธิ
ความผิดปกติของช่องท้อง (peritoneal cavity)
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis)
กระเพาะอาหารและลำไส้ทะลุทำให้กรดและเป็บซินออกมาอยู่ในช่องท้อง
การติดเชื้อแบคทีเรีย
สารคัดหลั่งหรือสารเคมีต่างๆ
การได้รับบาดเจ็บของช่องท้องจากการถูกยิง แทง
การระคายเคืองและการอักเสบในช่องท้อง
น้ำซึมผ่านออกมาอยู่ในช่องท้อง การเคลื่อนไหวของลำไส้ลดลง ---> เกิด paralytic ileus
อาการและอาการแสดงขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
อาการและอาการแสดง
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคและการติดเชื้อ
Abdominal
Boardlike rigidity or guarding of abdomen muscles
Diminished or absent bowel sounds เบื่ออาหาร
Tenderness with rebound กดเจ็บ ท้องแข็ง
Anorexia, nausea and vomiting คลื่นไส้ อาเจียน
Localized pain , usually severe
Systemic
Tachycardia, tachynea
Restlessness, confusion
Fever, malaise ไข้ อ่อนเพลีย
Oliguria