Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
3.4การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือด, 3.5 การพยาบาลผู้ป่วยฉุก…
3.4การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือด
Acute MI แบ่งกลุ่มอาการทางคลินิกได้2 กลุ่ม คือ
ภาวะเจ็บเค้นอกคงที่ (stable angina)
กลุ่มอาการที่เกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง (chronic ischemic heart disease)
โดยผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บเค้น
อกเป็นๆ หายๆ อาการไม่รุนแรง
ภาวะหัวใจขาดเลือด
เฉียบพลัน (Acute coronary syndrome)
เจ็บเค้นอกรุนแรงเฉียบพลัน หรือเจ็บขณะพัก (Rest
angina) นานกว่า 20 นาที
จําแนกเป็น 2 ชนิดดังนี้
ST elevation acute coronary syndrome
หมายถึง ภาวะหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลัน ที่พบความ
ผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีลักษณะ ST segment ยกขึ้นอย่างน้อย 2 leadsที่ต่อเนื่องกัน
Non ST elevation acute coronary syndrome
หมายถึง ภาวะหัวใจ ขาดเลือดเฉียบพลัน ชนิดที่
ไม่พบ ST segment elevation มักพบลักษณะของคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็น ST segment depression และ/หรือ T
wave inversion ร่วมด้วย
อาการนําที่สําคัญของโรคหัวใจขาดเลือดที่ทําให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์มีดังนี้
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
กลุ่มอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
กลุ่มอาการเจ็บเค้นอก
อาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ําเฉียบพลัน
อาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
กลุ่มอาการเจ็บเค้นอก
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติในผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บเค้นอกที่มีลักษณะเฉพาะ
2.การวินิจฉัยแยกโรค ในผู้ป่วยที่มีอาการต่างไปจากลักษณะเฉพาะ ของอาการเจ็บเค้นอก
ควรนึกถึงภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome) ในผู้ป่วยที่มีอาการ
เจ็บเค้นอกรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 20 นาทีหรือ อมยาใต้ลิ้นแล้วไม่ได้ผล
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ํา เพื่อช่วยในการวินิจฉัยและประเมินความ รุนแรงของโรค ในผู้ป่วยที่สงสัย
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันควรตรวจ troponin และ/หรือ cardiac enzyme
อาจสงสัยว่าอาการเจ็บเค้นอกนั้นมีสาเหตุมาจากโรคหัวใจขาดเลือดในผู้ป่วย ที่มีอาการเจ็บเค้นอก
และเคยได้รับการตรวจพิเศษทางระบบหัวใจที่มีความแม่นยําใน
การรักษา
นอนพักในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และให้ออกซิเจน
เฝ้าระวังคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, O2 saturation, วัดสัญญาณชีพ
ให้ Aspirin gr V (325 mg) 1 เม็ด เคี้ยวแล้วกลืน ถ้าไม่มีประวัติแพ้ยา Aspirin
ให้ Isosorbide dinitrate (Isordil) 5 mg อมใต้ลิ้น ถ้าความดันซิสโตลิก > 90 mmHg ให้ซ้ําได้ทุก 5
นาที (สูงสุด 3 เม็ด) หากอาการแน่นหน้าอกไม่ดีขึ้น
ถ้าผู้ป่วยเคยได้รับยาอยู่แล้ว ให้ใช้ยาที่ได้รับจากแพทย์ตามความเหมาะสม
หากอาการแน่นหน้าอกไม่ดีขึ้น หลังได้ยาอมใต้ลิ้น พิจารณาให้ยาแก้ปวด Morphine 3-5 mg เจือจาง
ทางหลอดเลือดดํา
เตรียมพร้อมสําหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ, ความดันโลหิตต่ํา และหัวใจ
หยุดเต้น
นําส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
ผู้ป่วยที่มีอาการเหนื่อยในขณะออกกําลังแบ่งออกได้2 กลุ่มตามระยะเวลาที่ปรากฏอาการต่อเนื่อง
ผู้ป่วยที่มีอาการ
เหนื่อยขณะออกกําลังที่เกิดขึ้นเรื้อรังเกินกว่า3สัปดาห์ขึ้นไปควรนึกถึงโรคในกลุ่มที่การทํางานของหัวใจค่อยๆ
ลดลงช้าๆอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ เวลานาน เช่น Ischemic cardiomyopathy, valvular heart disease,
อาการเหนื่อยขณะออกกําลังที่เกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน1–2สัปดาห์ผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรนึกถึงโรคหัวใจที่มีผลให้การ
ทํางานของหัวใจลดลงอย่างเฉียบพลัน
กลุ่มอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
3.1 กลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มาด้วยอาการเหนื่อยซึ่งเกิดขึ้นอย่าง
เฉียบพลัน หายใจหอบ นอนราบไม่ได้แน่นอึดอัดหายใจเข้าไม่เต็มปอดอาจมีอาการเจ็บเค้นอกร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
3.2 อาการที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง
ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นๆ หายๆ มาเป็นเวลานานส่วน
หนึ่งจะ เกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่มีพยาธิสภาพกระจายกว้าง หรือเคยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ ตายขนาดใหญ่
อาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ําเฉียบพลัน
เนื่องจากภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน อาจทําให้ประสิทธิภาพการบีบตัวของ หัวใจลดลงอย่างรวดเร็วเป็นผลให้ความดันโลหิตลดต่ําลงจนเกิดอาการ หน้ามืด เวียนศีรษะเป็นลม
อาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
ผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดอาจมาด้วยภาวะแทรกซ้อนที่ทําให้เกิดอาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน
จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตถ้าไม่ได้รับการกู้ชีพทันท่วงที
การวินิจฉัย
ต้องรีบตรวจชีพจรและการเต้นของหัวใจรวมทั้งคลื่นไฟฟ้าหัวใจในสถานเพื่อยืนยันและจําแนกชนิด
ของภาวะหัวใจหยุดทํางาน (cardiac arrest)
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ชนิด 12 lead หลังจากการกู้ชีพสําเร็จ ทันทีเพื่อช่วยวินิจฉัยภาวะหัวใจขาด
เลือดเฉียบพลัน
ควรพิจารณาส่งผู้ป่วย เพื่อตรวจสืบค้นเพิ่มเติม เช่น การตรวจหัวใจด้วย คลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง
การสวนหัวใจหากการกู้ชีพสามารถทําให้ระบบไหลเวียน ฟื้นกลับมาทํางานได้
อาจคิดถึงโรคหัวใจขาดเลือด ในผู้ที่มีอาการหมดสติชั่วคราว (syncope) แม้จะพบไม่บ่อยนักโดยควร
วินิจฉัยและวินิจฉัยแยกโรคจากการซักประวัติและตรวจ ร่างกายอย่างละเอียด
การรักษา
การช่วยหายใจ และนวดหัวใจจากภายนอก (cardiac massage)
ต้องทําการกระตุกไฟฟ้าหัวใจด้วยพลังงานสูงสุดสลับกับการกู้ชีพเบื้องต้น
ควรพิจาณาใส่สายกระตุ้นหัวใจชั่วคราว (temporary pacemaker)
4.ควรให้การรักษาเพื่อแก้ไขภาวะช็อกดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
5.ควรพิจารณาให้การรักษาภาวะหัวใจขาดเลือดดังที่กล่าวมาแล้ว หากสามารถ วินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะ
หัวใจขาดเลือดร่วมด้วยโดยคํานึงถึงประโยชน์ที่ผู้ป่วยได้รับและ สภาพผู้ป่วยในขณะนั้น
บทบาทของพยาบาลฉุกเฉิน ในการดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติ
การพยาบาลกรณี EKG show ST elevation หรือพบ LBBB ที่เกิดขึ้นใหม่
โดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาโดยทํา Primary PCI
เป็นอันดับแรกในกรณีสถานพยาบาลนั้นมีความพร้อม (PCI center) การทํา Primary PCI สามารถทําได้ถึง 48
ชั่วโมง
กํารตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและการแปลผล
ตัดสินใจตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที โดยทํา
พร้อมกับการ ซักประวัติ
เฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของการเกิด cardiac arrest
หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดัน
โลหิตต่าติดตามประเมิน สัญญาณชีพ และ EKG monitoring
ประสานงาน
ตามทีมผู้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน ให้การดูแลแบบช่องทางด่วนพิเศษACS fast track
ให้ออกซิเจน
เมื่อมีภาวะ hypoxemia (SaO2 < 90% or PaO2 < 60 mmHg) ซึ่งหากร่างกายมีภาวะ hyperoxia จะทําให้เกิด vasospasm และ myocardia injury มากขึ้น
ประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
Q: Quality ลักษณะของ อาการเจ็บอก เช่น มีอาการอย่างไร เจ็บแน่นเหมือนมีอะไรมาบีบ
R: Refer pain สำหรับอาการเจ็บร้าว อาจ ให้ผู้ป่วยชี้ด้วยนิ้วว่าเจ็บตรงไหน
P: Precipitate cause สาเหตุชักนําและการทุเลา เช่น อะไรทําให้อาการดีขึ้น
S: Severity ความรุนแรงของอาการเจ็บแน่นอก หรือ Pain score
O: Onset ระยะเวลาที่เกิดอาการ เช่น อาการเกิดขึ้นอย่างไร ขณะเกิดอาการ
T: Time ระยะเวลาที่เป็น หรือเวลาที่เกิดอาการที่ แน่นอน ปวดนานกี่นาที
พยาบาลต้องประสานงาน จัดหาเครื่องมือประเมินสภาพและดูแลรักษาผู้ป่วยให้เพียงพอ
เพื่อให้ปฏิบัติงานได้สะดวก รวดเร็วและสอดคล้องกับแนวทางการดูแลรักษาที่กำหนด
เตรียมความพร้อมของระบบสนับสนุนการดูแลรักษา
ระบบเวชระเบียน ระบบสื่อสาร การตรวจ
ทางห้องปฏิบัติการ ระบบสนับสนุนต้องรับรู้
ปรับปรุงระบบส่งต่อผู้ป่วยให้รวดเร็วและปลอดภัย
โดยกำหนดส่งต่อผู้ป่วยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาด
เลือดเป็นอันดับแรก
Pulmonary embolism (PE) เป็นภาวะที่เกิดจากการที่มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดํากลไกที่ทําให้เกิดลิ่มเลือดมี 3 ปัจจัย (Virchow’s triad) ได้แก่
(2) มีความผิดปกติของเลือด ที่ทําให้เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย (hypercoagulable states)
(3) มีผนังหลอดเลือดดําที่ผิดปกติเกิดจากมีlocal trauma หรือมีการอักเสบ
(1) การไหลเวียน ของเลือดลดลงเกิดจากร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว (immobilization) เป็นเวลานาน
ปัจจัยเสี่ยง
การผ่าตัดในระยะ12 สัปดาห์ที่ผ่านมา
มีโรคมะเร็ง
เคยเป็น deep vein thrombosis (DVT) หรือ PE มาก่อน
immobilization นานเกิน 3 วัน ใน 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ระยะหลังคลอด 3 สัปดาห์หรือการใช้estrogen
ประวัติครอบครัวเป็ น DVT หรือ PE
กระดูกหักบริเวณขาใน 12 สัปดาห์ที่ผ่านนมา
อาการแสดงทางคลินิก
ผู้ป่วยมักจะมีอาการหายใจหอบเหนื่อยมากอย่างกะทันหัน ใจสั่น แน่นหน้าอก (pleuritic pain)
ผู้ป่วยมักหายใจเร็ว มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ(hypoxemia)
หัวใจเต้นเร็ว และ มีหลอดเลือดดําที่คอโป่ง (elevated jugular venous pressure) ฟังปอดมักปกติหรืออาจฟังได้เสียงวี๊ด (wheezing)
แนวทางการวินิจฉัยและการส่งตรวจห้องปฏิบัติการ
การซักประวัติตรวจร่างกาย
โดยใช้ wells scoring system (ตารางที่ 1) 5 ถ้าคะแนนมากกว่า 6 ขึ้นไป โอกาสที่จะเป็น PE จะสูงมาก
การถายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray)
อาจพบว่ามีเนื้อปอด บางบริเวณที่
มีปริมาณหลอดเลือดลดลง (regional hypo-perfusion) หรือเห็นมี infiltration ที่บริเวณปอด
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12 leads-ECG)
ส่วนใหญ่พบว่าหัวใจเต้นเร็ว (sinus tachycardia) ลักษณะมี deep
S-wave ใน lead I และมี Q-wave และ T-inversion ใน lead III
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiography)
จะพบมีลักษณะของ right ventricular dysfunction
กล่าวคือ หัวใจห้องล่างขวามีขนาดโต
การตรวจระดับก๊าซในเลือดแดง (arterial blood gas, ABG)
พบว่า มีระดับออกซิเจนในเลือด ต่ํา(hypoxemia) ร่วมกับมีระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ํา (hypocapnia)และมีค่า alveolar-arterial
oxygen gradient กว้าง
ค่า biomarkers ต่างๆ ที่พบว่าสูงกว่าปกติ
D-dimer ซึ่งเกิดจากการที่ fibrin ถูกย่อยสลายโดย
plasmin บ่งบอกว่ามีกระบวนการสลาย ลิ่มเลือดเกิดขึ้นภายในร่างกาย
Troponin-I หรือ T และ Pro-Brain-type natriuretic peptide อาจสูงกว่าปกติได้
บ่งบอกว่า มีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างขวา (right ventricular infarction) และ RV overload
การรักษา
Thrombolytic therapy
มักจะเก็บไว้ในผู้ป่วยที่มีกรณีmassive pulmonary emboli ที่มีระบบหัวใจ
และปอดทํางานผิดปกติมีผลกับ haemodynamic อย่างรุนแรง
Caval filter
คือการใส่ตะแกรงกรอง embolism ใน inferior vena cava ตัวกรองเหล่านี้จะเป็นตัว เก็บก้อนเลือดซึ่งมาจากขาหรือ iliac vein
Anticoagulation
นั้นคือการให้heparin ในหลอดเลือดดําในช่วงแรกและการให้ยา Coumadin ต่ออีกเวลา
ประมาณ 3 เดือน
3.5 การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบทางเดินอาหาร
การบาดเจ็บช่องท้องสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด
Blunt injury
ของผู้ป่วยที่บาดเจ็บช่องท้อง เกิดจากอุบัติเหตุรถชน หรือตกจากที่สูง มักเกิดการบาดเจ็บหลายแห่งร่วมกัน (multiple injuries)
Penetrating trauma
แบ่งออกเป็น Gun short wound ส่วนใหญ่ต้องรับการผ่าตัดหากบาดแผลอยู่ใกล้ทรวงอกหรือบาดเจ็บ
ร่วมกับทรวงอก
ลักษณะและอาการแสดงของการได้รับบาดเจ็บบริเวณช่องท้อง
อาการปวด
ปวดจากการฉีกขาดของผนังหน้าท้อง
อวัยวะภายในได้รับอันตราย
การกดเจ็บเฉพาะที่หรือการเกร็งของกล้ามเนื้อท้อง
เป็นอาการแสดงให้ทราบถึงการตก
เลือด และมีอวัยวะภายในบาดเจ็บ จะต้องรีบผ่าตัดช่วยเหลือ
แต่อาการดังกล่าวประเมินค่อนข้างยาก
เพราะอาการเกร็งหน้าท้อง อาจเกิดการไม่ร่วมมือในการตรวจได้
อาการท้องอืด
เป็นอาการบ่งบอกถึงการได้รับบาดเจ็บของ ตับ ม้าม และเส้นเลือดใหญ่
ในท้อง
ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของลําไส้
ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะช็อก ที่ไม่เห็นร่องรอยของการเสียเลือด เมื่อการช่วยเหลือไม่ดีขึ้นให้คํานึงถึงการตกเลือดในอวัยวะภายในช่องท้อง
ภาวะฉุกเฉินผู้ป่วย Blunt abdominal trauma
ผู้ป่วยบาดเจ็บช่องท้อง แบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ คือ
ผู้ป่วยที่มีสัญญาณชีพคงที่ แต่มีอาการแสดงของการบาดเจ็บช่องท้อง ได้แก่ กดเจ็บที่ท้อง
กล้ามเนื้อหน้าท้องหดเกร็ง ท้องอืด มีเวลาตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม สามารถรอการผ่าตัดได้
ผู้ป่วยที่สัญญาณชีพปกติ ไม่มีอาการของการบาดเจ็บที่ช่องท้องชัดเจน มักจะมีปัญหาในการ
วินิจฉัยว่ามีการบาดเจ็บที่ช่องท้องหรือไม่
ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมาก Shock ท้องอืด มีเลือดออกในช่องท้องจํานวนมาก ต้องได้รับการผ่าตัดทันที
ภาวะเลือดออก
คือเกิดการเสียเลือดเป็นผลมาจากการฉีกขาดของอวัยวะภายใน ได้แก่ กระบังลม กระเพาะอาหาร ลําไส้เล็ก ลําไส้ใหญ่หลอดเลือดเกิดการเสียเลือด
ระดับความรุนแรง
Mild shock
เสียเลือดน้อยกว่า20% ของ blood volume
เลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะที่ไม่สําคัญลดลง
เช่น ผิวหนัง ไขมันกล้ามเนื้อและกระดูก
ซีด ผิวหนังเย็น หนาวปัสสาวะสีเข้ม ชีพจรเร็วขึ้นความดันโลหิตปกติ
Moderate shock
เสียเลือด 20-40 %ของ blood volume
เลือดไปเลี้ยงอวัยวะสําคัญลดลง เช่น ตับลําไส้และไต
ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย ชีพจรเบาเร็วความดันโลหิตอาจต่ําเล็กน้อย
Severe shock
เสียเลือดมากกว่า40% ของ blood volume
เลือดไปเลี้ยงหัวใจและสมองลดลง
ภาวะฉีกขาดทะลุ (Perforate) อวัยวะที่เป็นโพรงและเกิดการปนเปื้อนของสิ่งที่อยู่ในช่องท้อง
ในกลุ่มนี้ทําให้มีการรั่วของอาหาร น้ําย่อยเข้าไปในช่องท้องเกิดภาวะการอักเสบติดเชื้อในช่องท้อง ทำให้เกิดการอักเสบทั่วช่องท้อง
การพยาบาลเบื้องต้นในผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินจากบาดเจ็บบริเวณช่องท้อง
การประเมินผู้ป่วยควรแยกผู้ป่วย
1) Primary survey
A. Airway maintenance with Cervical Spine controlโดยต้องระวังการบาดเจ็บของ C-spine เสมอและให้ระลึกเสมอว่า ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บรุนแรงให้เสมือนว่ามีการบาดเจ็บของ C-spine ไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ได้ชัด
B. Breathing and ventilationการประเมินภาวะการหายใจของผู้ป่วยอย่างรวดเร็วในช่วงแรกที่มาถึงโรงพยาบาล โดยดูภาวะ Apnea ภาวะupper airway obstruction
C. Circulation with hemorrhagic control เป็นการประเมินการเสียเลือดหรือภาวะ
Hypovolemic shock อย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีโดยดูจากlevel of conscious, skin color
โดยดูจากภาวะ capillary filling time
D. Disability: Neurologic status คือการประเมิน neurological status
E. Exposure/ Environment control คือการถอดเสื้อผ้าของผู้ป่วยเพื่อตรวจหาร่องรอยบาดแผลที่ชัดเจน แต่ต้องระวังภาวะ Hypothermia ด้วย
2) Resuscitation
เป็นการแก้ไขภาวะ immediate life threatening conditions ที่พบในPrimary survey
3) Secondary survey
เป็นการตรวจอย่างละเอียด (head to toe) เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยว่า
ผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บที่อวัยวะใดบ้าง
4) Definitive care
เมื่อได้รับการวินิจฉัยแล้วก็เป็นการรักษาที่เหมาะสม อาจนําผู้ป่วยไปผ่าตัดหรือเพียงแค่ Medication แล้วแต่พยาธิสภาพ
การพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บช่องท้อง
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
1) ประเมินว่าผู้บาดเจ็บได้รับอากาศเพียงพอ ไม่มีการอุดตันของทางเดินหายใจ
2) ดูแลผู้บาดเจ็บให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะผู้บาดเจ็บ Blunt abdominal trauma ที่อาจเกิดภาวะช็อกได้
3) กําจัดสาเหตุที่ทําให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ
4) ส่งผู้ป่วยไปถ่ายภาพรังสีตามแผนการรักษา
การดูแลระบบหัวใจและระบบไหลเวียน
การบาดเจ็บช่องท้องมักเกิดกับอวัยวะหลายระบบร่วมกัน ทําให้เกิดการสูญเสียเลือดอย่างมาก
จึงต้องช่วยเหลือป้องกันภาวะช็อกอย่างเร่งด่วน
3.การบรรเทาความเจ็บปวด
การบรรเทาความเจ็บปวดโดยวิธีการใช้ยาตามแผนการรักษาและวิธีการไม่ใช้ยา
4.ให้การพยาบาลเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัว
การเฝ้าระวัง
การประเมินความรุนแรงเบื้องต้นเป็นขั้นตอนสําคัญที่สุดในการรักษาโดยต้องมีการประเมินทางคลินิกอย่างรวดเร็วและให้การรักษาพยาบาลไปพร้อมๆ กัน
บาดเจ็บระบบทางเดินปัสสาวะ
ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการกระแทกและมีอาการปัสสาวะเป็นเลือด
ซึ่งการบาดเจ็บระบบทางเดินปัสสาวะประกอบด้วย ไต หลอดไต กระเพาะปัสสาวะ และหลอดปัสสาวะ