Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและการจำแนกผู้ประสบสาธารณภัย (Triage),…
บทที่ 3 การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและการจำแนกผู้ประสบสาธารณภัย (Triage)
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
Pulmonary embolism (PE)
ปัจจัยเสี่ยง
stasis, hypercoagulability ทั้งชนิด congenital และ
acquired และ vessel wall injury
อาการแสดงทางคลินิก
อาการ
บางรายมีอาการหน้ามืดเป็นลม หรือหมดสติ
พบไม่บ่อยที่ผู้ป่วยจะมีอาการไอเป็นเลือด ซึ่งเกิดจากการที่มีการตาย ของเนื้อปอด
ใจสั่น แน่นหน้าอก (pleuritic pain)
รหายใจหอบเหนื่อยมากอย่างกะทันหัน
ตรวจร่างกาย
hypoxemia
หัวใจเต้นเร็ว
หายใจเร็ว
มีหลอดเลือดดำที่คอโป่ง
ฟังปอดมักปกติหรืออาจฟังได้เสียงวี๊ด (wheezing) ในหลอดลม
เสียดสีของเยื่อหุ้มปอด (pleural rub)
รายที่มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ไปอุดในหลอดเลือดปอด (massive PE)
ตัวเย็น
มีความดันต่ำช็อก
ร่วมกับมีอาการเขียวคล้ำา (cyanosis)
ดูว่ามีขาหรือน่องบวม ปวด หรือไม่
พบdeep vein thrombosis
พยาธิสภาพ
มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดดำ และหลุดไปอุดที่หลอดเลือดที่ปอด
มากเกิดที่บริเวณหลอดเลือดดำที่ขา ส่วนน้อย บริเวณหลอดเลือดดำที่แขน
กลไกเกิดลิ่มเลือด
ไหลเวียน ของเลือดลดลงเกิดจากร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว เป็นเวลานาน
เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย (hypercoagulable states)
หลอดเลือดดำที่ผิดปกติเกิดจากมีlocal trauma หรือมีการอักเสบ
การรักษา
Thrombolytic therapy
ผู้ป่วยที่มีกรณีmassive pulmonary emboli ที่มีระบบหัวใจ
และปอดทำงานผิดปกติ
Caval filter
ใส่ตะแกรงกรอง embolism ใน inferior vena cava
Anticoagulation
ให้anticoagulation คล้าย ๆ กับการรักษา DVT
แนวทางการวินิจฉัยและการส่งตรวจห้องปฏิบัติการ
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiography)
การตรวจระดับก๊าซในเลือดแดง (arterial blood gas, ABG)
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12 leads-ECG)
ค่า biomarkers ต่างๆพบว่าสูงกว่าปกติ
การถายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray)
Troponin-I หรือ T และ Pro-Brain-type natriuretic peptide อาจสูงกว่าปกติ
การซักประวัติตรวจร่างกาย
wells scoring system 5 ถ้าคะแนนมากกว่า 6 ขึ้นไป โอกาสที่จะเป็นPE จะสูงมาก
Acute MI
Ischemicheart disease, IHD หรือ Coronary artery disease, CAD
เกิดจากไขมัน และเนื้อเยื่อสะสมอยู่ในผนังของหลอดเลือด
อาการ
อาการเจ็บเค้นอก
ใจสั่น เหงื่อออก
เหนื่อยขณะออกแรง
เป็นลม หมดสติหรือเสียชีวิตเฉียบพลัน
เกิดจากหลอดเลือดแดง ที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตัน
แบ่งกลุ่มอาการทางคลินิก
ภาวะเจ็บเค้นอกคงที่ (Stable angina)
อาการเจ็บเค้น อกเป็นๆ หายๆ อาการไม่รุนแรง
เกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง (chronic ischemic heart disease)
หายโดยการพักหรืออมยาขยายเส้นเลือดหัวใจเป็นมานาน กว่า 2 เดือน
ระยะเวลาครั้งละ 3-5 นาที
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome)
กลุ่มอาการโรคหัวใจขาดเลือดที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน
อาการที่สำคัญ
เจ็บเค้นอกรุนแรงเฉียบพลัน
เจ็บขณะพัก (Rest angina) นานกว่า 20 นาที
เจ็บเค้นอกซึ่งเกิดขึ้นใหม่ หรือรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
จำแนกเป็น 2 ชนิด
ST elevation acute coronary syndrome
คลื่นไฟฟ้าหัวใจมีลักษณะ ST segment ยกขึ้นอย่างน้อย 2 leads ที่ต่อเนื่องกัน
Non ST elevation acute coronary syndrome
คลื่น ไฟฟ้าหัวใจเป็น ST segment depression และ/หรือ T wave inversion ร่วมด้วย
มีอาการนานกว่า 30 นาทีอาจจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด non-ST elevation MI
อาการนำที่สำคัญ
ภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
เฉียบพลัน
หายใจหอบ
นอนราบไม่ได้แน่นอึดอัด
หายใจเข้าไม่เต็มปอดอาจมีอาการเจ็บเค้นอกร่วมด้วย
เรื้อรัง
ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นๆ หายๆ มาเป็นเวลานาน
อาการ
นอนราบไม่ได้ต้องตื่นขึ้นมากลางดึก
มีตับโต ขาบวม
ความดันโลหิตต่ำเฉียบพลัน
อาการ
หน้ามืด เวียนศีรษะเป็นลม ร่วมกับอาการแน่นหน้าอก
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
แบ่งออกได้2 กลุ่ม
ขณะออกกำลังที่เกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน 1–2สัปดาห์
โรคหัวใจที่มีผลให้การ
ทำงานของหัวใจลดลงอย่าง เฉียบพลัน
โรคที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน หรืออาจเกิดจากโรคปอด
โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน
โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
ขณะออกกำลังที่เกิดขึ้นเรื้อรังเกินกว่า3สัปดาห์ขึ้นไป
การทำงานของหัวใจค่อยๆ
ลดลงช้าๆอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะ เวลานาน
Ischemic cardiomyopathy
congenital heart disease
valvular heart disease
ควรวินิจฉัยแยกจากโรคปอดเรื้อรัง
chronic obstructive pulmonary disease
pulmonary hypertension
โรคลิ่มเลือดอุดตันในปอดเรื้อรัง หรือสาเหตุอื่นๆ
หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
การวินิจฉัย
ควรพิจารณาส่งผู้ป่วย เพื่อตรวจสืบค้นเพิ่มเติม
อาจคิดถึงโรคหัวใจขาดเลือด ในผู้ที่มีอาการหมดสติชั่วคราว (syncope)
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ชนิด 12 lead
ต้องรีบตรวจชีพจรและการเต้นของหัวใจรวมทั้งคลื่นไฟฟ้าหัวใจในสถาน
การรักษา
พิจาณาใส่สายกระตุ้นหัวใจชั่วคราว (temporary pacemaker) ในผู้ป่วยที่มีทางเดินไฟฟ้าหัวใจติดขัดระดับ 3 ร่วมความดันต่ำ
แก้ไขภาวะช็อก
กระตุกไฟฟ้าหัวใจด้วยพลังงานสูงสุดสลับกับการกู้ชีพเบื้องต้น
การช่วยหายใจ และนวดหัวใจจากภายนอก (cardiac massage)
กลุ่มอาการเจ็บเค้นอก
การวินิจฉัยโรค
การซักประวัติ
การวินิจฉัยแยกโรค
ควรนึกถึงภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome)
เจ็บเค้นอกรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 20 นาที
อมยาใต้ลิ้นแล้วไม่ได้ผล
อาการเจ็บเค้นอกเพิ่มขึ้นชวนให้สงสัยว่าเป็นโรคหัวใจ ขาดเลือดรุนแรง
รีบตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ตรวจ cardiac markers
ตรวจ ทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมที่จำเป็น
ให้การรักษาเบื้องต้นตามสภาพผู้ป่วยทันที
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ำ
ตรวจพิเศษทางระบบหัวใจ
การรักษา
ให้ Isosorbide dinitrate (Isordil) 5 mg อมใต้ลิ้น ถ้าความดันซิสโตลิก > 90 mmHg ให้ซ้ำได้ทุก 5นาที
ถ้าผู้ป่วยเคยได้รับยาอยู่แล้ว ให้ใช้ยาที่ได้รับจากแพทย์ตามความเหมาะสม
Aspirin gr V (325 mg) 1 เม็ด เคี้ยวแล้วกลืน ถ้าไม่มีประวัติแพ้ยา Aspirin
หากอาการแน่นหน้าอกไม่ดีขึ้น หลังได้ยาอมใต้ลิ้น พิจารณาให้ยาแก้ปวด Morphine 3-5 mg เจือจางทางหลอดเลือดดำ
เฝ้าระวังคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, O2 saturation, วัดสัญญาณชีพ
เตรียมพร้อมสำหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
นอนพักในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และให้ออกซิเจน
นำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
อาการเจ็บเค้นอก ของโรคหัวใจขาดเลือด
ร้าวไปบริเวณคอกราม ไหล่และ แขนทั้ง 2 ข้างโดยเฉพาะข้างซ้าย
เป็นมากขณะออกกำลัง
เจ็บหนักๆ เหมือนมีอะไรมาทับ
นานครั้งละ2-3 นาทีเมื่อ นั่งพักหรืออมยาnitroglycerin อาการจะทุเลาลง
อาการ
ปวดเมื่อย หัวไหล่หรือปวดกราม
จุกบริเวณลิ้นปี่
เจ็บแน่นหรืออึดอัดบริเวณหน้าอก
เป็นมากขณะออกกำลัง
บทบาทของพยาบาลฉุกเฉิน ในการดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติ
เฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของการเกิด cardiac arrest
การพยาบาลกรณี EKG show ST elevation หรือพบ LBBB ที่เกิดขึ้นใหม่
กำรตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและการแปลผล
พยาบาลต้องประสานงาน จัดหาเครื่องมือประเมินสภาพและดูแลรักษาผู้ป่วยให้เพียงพอ
ให้ออกซิเจน
เตรียมความพร้อมของระบบสนับสนุนการดูแลรักษา
ประสานงาน
ปรับปรุงระบบส่งต่อผู้ป่วยให้รวดเร็วและปลอดภัย
ประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
ระบบทางเดินอาหาร
ลักษณะและอาการแสดงบาดเจ็บบริเวณช่องท้อง
ท้องอืด
ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของลำไส้
การกดเจ็บเฉพาะที่หรือการเกร็งของกล้ามเนื้อท้อง
ภาวะช็อก ที่ไม่เห็นร่องรอยของการเสียเลือด
อาการปวด
การฉีกขาดอวัยวะภายในได้รับอันตราย
การฉีกขาดของผนังหน้าท้อง
ภาวะฉุกเฉินผู้ป่วย Blunt abdominal trauma
ภาวะเลือดออก
ทำให้ปริมาณสารเหลวในระบบไหลเวียนลดลง เเละเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อลดลง
สาเหตุภาวะเลือดออกในช่องท้อง Blunt abdominal trauma
เกิดการเสียเลือด ทำให้ปริมาณสารเหลวในระบบไหลเวียนลดลง ทำให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อลดลง
เนื้อเยื่อต่างๆ คือ ไตสมอง หัวใจ ลำไส้
ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
เกิดการบวมของเซลล์
เซลล์ขาดออกซิเจน
เนื้อเยื่อต่างๆ ขาดเลือด
ประมาณความรุนแรงของการเสียเลือด
ผู้ป่วยที่หนัก 60 กิโลกรัม โดยคิดเฉลี่ยปริมาณเลือดในร่างกาย - 70 ซีซี/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
ภาวะฉีกขาดทะลุ (Perforate) อวัยวะที่เป็นโพรงและเกิดการปนเปื้อนของสิ่งที่อยู่ในช่องท้อง
การบาดเจ็บหลอดอาหาร กระเพาะอาหาลำไส้เล็ก เเละ ลำไส้ใหญ่
ส่งผล
เกิดการอักเสบทั่วช่องท้อง
เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายระบบรวมทั้ง ต่อมไร้ท่อ ไหลเวียน
โลหิตและหัวใจ หายใจ ไต และการเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดขาว
การรั่วของอาหาร น้ำย่อยเข้าไปในช่องท้องเกิดภาวะการอักเสบติดเชื้อในช่องท้อง
อาการ
ปวดทั่วท้อง
กล้ามเนื้อทั่วท้องจะแข็งเกร็ง
ปวดรุนแรงมาก
ปวดมากเวลาเคลื่อนไหวหรือสะเทือน
จช็อกและเกิด organ failure ได้
ความรุนแรง
3.สัญญาณชีพปกติ ไม่มีอาการของการบาดเจ็บที่ช่องท้องชัดเจน โดยเฉพาะการให้ผู้ป่วยกลับบ้าน
2.มีสัญญาณชีพคงที่ แต่มีอาการบาดเจ็บช่องท้อง ได้แก่ กดเจ็บที่ท้อง
กล้ามเนื้อหน้าท้องหดเกร็ง ท้องอืด มีเวลาตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม สามารถรอการผ่าตัดได้
1.หนักมาก Shock ท้องอืด มีเลือดออกในช่องท้องจำนวนมาก ต้องได้รับการผ่าตัดทันที
สาเหตุ
Blunt injury
อวัยวะที่พบได้บ่อย
การบาดเจ็บของตับ ม้าม
วินิจฉัย
ยากกว่าชนิดที่มีบาดแผลทะลุ
อาการแสดงช้า การวินิจฉัยช้า ทำให้การรักษาผ่าตัดช้า
เกิดจาก
ตกจากที่สูง
บาดเจ็บหลายแห่งร่วมกัน (multiple injuries)
อุบัติเหตุรถชน
Penetrating trauma
Gun short wound
ต้องรับการผ่าตัดหากบาดแผลอยู่ใกล้ทรวงอก
บาดแผลบริเวณหลังอาจทำการวินิจฉัยก่อนผ่าตัด
Stab wound
พบวัตถุคาอยู่อย่าดึงออก
ลำไส้เล็กได้รับบาดเจ็บมากที่สุด รองลงมาคือตับและลำไส้ใหญ่
การพยาบาลเบื้องต้น
การประเมินผู้ป่วย
ควรแยกผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม
อาการแสดงยังไม่ชัดเจน
สามารถตรวจทางห้องปฏิบัติการ และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
hypotension เพื่อวินิจฉัยว่า
การบาดเจ็บช่องท้องหรือไม่ มีเวลาจำกัด
1) Primary survey
B. Breathing and ventilation
C. Circulation with hemorrhagic control
A. Airway maintenance with Cervical Spine control
D. Disability: Neurologic status
ประเมินด้วยความรวดเร็ว ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 นาที
E. Exposure/ Environment control
2) Resuscitation
แก้ไขภาวะ immediate life threatening conditions
3) Secondary survey
ตรวจอย่างละเอียด (head to toe)
4) Definitive care
ความสำคัญ
สิ่งสำคัญ
ช่องอุ้มเชิงกราน
ภาวะเลือดออกในช่องท้อง
ควรระมัดระวัง
Brain injury
Spinal cord injury
การบาดเจ็บ Ribs
การบาดเจ็บ Ribs, Spine, Pelvic
พบอาการ Hypovolemia ให้พิสูจน์ว่าไม่มีการบาดเจ็บช่อง
การพยาบาล
การดูแลระบบหัวใจและระบบไหลเวียน
การบรรเทาความเจ็บปวด
ใช้ยา
ไม่ใช่ยา
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
ให้การพยาบาลเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัว
การเฝ้าระวัง