Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบโครงสร้างและกล้ามเนื้อ และการพยาบาลผู้ป่วยจม…
การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบโครงสร้างและกล้ามเนื้อ
และการพยาบาลผู้ป่วยจมน้ำ
การพยาบาลผู้ป่วยบาดเจ็บกระดูกและข้อ
ลักษณะการบาดเจ็บ
มีปัญหากระดูก Pelvic fracture และ Open fracture
อาจเกิด Hypovolemic shock
กระดูกหักร่วมกับอาการบวม ปวดมาก
ระวัง Compartment syndrome
มีกระดกูหัก Multiple long bone fracture
มีโอกาสเกิดภาวะ Pulmonary embolism และเสียชีวิตได้
Primary survey และ Resuscitation
ในระหว่างการทำ Primary survey และ Resuscitation
ทำการ Immobilization ให้กระดูกอยู่ตำแหน่งที่ปกติ
โดยการ Splint กระดูกส่วนที่หัก
ใส่ Splint ให้ครอบคลุมข้อบนและข้อล่างของตำแหน่งที่กระดกูหัก
ภาวะ Hypovolemic หรือ Hemorrhage shock
การ Control bleeding
Direct pressure ด้วย Sterile pressure dressing
มีปัญหาการบาดเจ็บข้อกระดูก
ให้ทำการ Splint ให้ปวดน้อยที่สุด
ผู้ป่วยที่กระดูกผิดรูป หรือ fracture
ทำการ splint ให้เหมาะสม
พิจารณาให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ
ให้ออกซิเจน
Secondary survey
การซักประวัติ จากผู้ป่วย ผู้นำส่ง ผู้ประสบเหตุ
สาเหตุการเกิด เช่น MC ชน MC
ระยะเวลา
Open fracture > 8 ชั่วโมง บาดแผล Infected wound
สถานที่ เช่น อุบัติเหตุในน้ำสกปรก คูน้ำ
การรักษาเบื้องต้น
การใส่ Splint การใส่ traction การรับยาปฏิชีวนะ
การตรวจร่างกาย
การตรวจคร่าวๆเพื่อ Screening test
กระดูกแขนขา
ยกแขนขาทั้งสองข้าง ยกได้ (ปกติ)
กระดูกซี่โครง
นอนหงายออกแรงกดบริเวณ Sternum
บีบด้านข้างทรวงอกทั้งสองข้างเข้าหากัน
มีอาการเจ็บปวดแสดงว่าอาจเกิดการหักของกระดูกซี่โครง
กระดูกเชิงกราน
พร้อมกันในแนว Anterior-posterior
แล้วบีบด้านข้างเข้าหากัน และกดบริเวณ Pubic symphysis
ออกแรงกดบริเวณ anterior superior iliac spine ทั้งสองข้าง
กระดูกหักผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวด
กระดูกสันหลัง
ให้ผู้ป่วยยกคอหันศีรษะอย่างระมัดระวังในท่านอนหงาย
ใช้มือคลำตามแนวกระดูกสันหลังตลอดแนว
การตรวจและรักษา Life threatening และ Resuscitation
การตรวจอย่างละเอียด Secondary survey
กระดูกผิดรูป โก่งงอ หดสั้นหรือบิดหมุน
มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ
มีเสียงกระดูกขัดกัน (Crepitus)
การเอกซเรย์
ถ่ายเอกซเรย์ 2 ท่าในแนวตั้งฉากกัน คือ Anterior-posterior
ถ่ายเอกซเรย์ให้ครอบคลมุกระดูกส่วนที่หักรวมส่วนข้อปลายกระดูกทั้งสองด้าน
Definitive care
Recognition
การตรวจประเมินกระดกูหัก ข้อเคลื่อน และการบาดเจ็บ เพื่อรักษา
Reduction
การจัดกระดูกให้เข้าที่ให้ใกลเ้คียงกับภาวะปกติมากที่สุด
Retention
Immobilization
ประคองให้กระดูกมีการ เคลื่อนที่น้อยที่สุด เพื่อลดการบาดเจ็บเพิ่ม
Rehabilitation
การฟื้นฟสูมรรถภาพของส่วนที่บาดเจ็บ และจิตใจ
Reconstruction
แก้ไขซ่อมแซมส่วนที่เสียหายจากการบาดเจ็บ ให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ
Refer
ส่งต่อไปรักษาที่เหมาะสม
ภาวะกระดูกหักที่คุกคามชีวิต
Major Pelvic disruption with Hemorrhage
การตรวจร่างกาย
การดู
พบ Progressive flank
พบ Scrotum
พบ Perineum บวม
มีแผลฉีกขาดบริเวณ Perineum และ Pelvic
การคลำ
พบกระดูก Pelvic แตก PR examination
พบ high-riding prostate gland
มีเลือดออกบรเิวณ Urethral meatus
การเคลื่อนไหว
พบขาข้างที่ผิดปกติจะสั้น
การตรวจดู Sacral nerve root และ Plexus
ระบบไหลเวียนเลือด
พบความดันโลหิตต่ำ
เอกซเรย์
ส่ง film pelvic AP view
การช่วยเหลือเบื้องต้น
Control bleeding
ทำ Stabilization pelvic ring
จาก external counter pressure
และ Fluid resuscitation
consult แพทย์ศลัยกรรมเฉพาะทาง
ในกรณีที่ผู้ป่วยยังมี Hemodynamic abnormality
Major Arterial Hemorrhage
การฉีกขาดของหลอดเลือดดำ
อาจเป็นการบาดเจ็บแบบ Blunt trauma
หรือ Penetrating wound
มีการเสียเลือดมาก เกิด Hypovolemic shock
ลักษณะของการบาดเจ็บหลอดเลือดแดง
Hard signs
Pulsatile bleeding
บริเวณบาดแผล hematoma ใหญ่ขึ้น
คลำได้ thrill ฟังได้ bruit
ประเมินโดยใช้ Doppler ultrasound
ตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือด
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ทำ Direct pressure บริเวณบาดแผลเพื่อหยุดเลือด
Fluid resuscitation ในรายที่กระดูกผิดรูป
จัดกระดูกให้เข้าที่แล้วทำการ Splint
Crush Syndrome
มีการบาดเจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง
บริเวณ thigh และ calf muscle ทำให้กล้ามเนื้อขาดเลือด และตาย
เกิดภาวะ Rhabdomyolysis
Creatinin kinase สูง เกิด Renal failure
Disseminated intravascular coagulopathy (DIC) เสียชีวิตได้
อาการที่พบ
Dark urine
พบ Hemoglobin ได้ผลบวก
Rhabdomyolysis
Hypovolemia
Metabolic acidosis
Hyperkalemia
Hypocalcemia และ DIC
การช่วยเหลือเบื้องต้น
ให้ Fluid resuscitation ให้ Osmotic diuretic
ให้ Sodium bicarbonate
ประเมิน Urine output ให้ได้ 100 cc./ชั่วโมง
จนกว่าปัสสาวะจะใส (clear myoglobinuria)
พยาธิสภาพที่เกิดขึ้นภายหลังการจมน้ำ
สาเหตุ
จากอุบัติเหตุ (เช่น ตกน้ำ เรือคว่ำ เรือชน)
เมาเหล้าโรคลมชัก โรคหัวใจวาย หรืออื่นๆ
น้ำจืดจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าเลือด(พลาสมา)
มีน้ำในปอดมากจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด
ทำให้ปริมาตรของเลือดที่ไหลเวียนเพิ่ม
ทำให้ระดับเกลือแร่ (เช่น โซเดียม โพแทสเซียม) ในเลือดลดลง
ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจวาย
เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis)
น้ำทะเลที่สำลักอยู่ในปอดจะดูดซึมน้ำเลือด (พลาสมา)
ทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema)
ระบบไหลเวียนมีปริมาตรลดลง (hypovolemic)
ระดับเกลือแร่ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น
ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวายหรือเกิดภาวะช็อก
อาการ
มีอาการหมดสติ และหยุดหายใจ
ไม่หมดสติ
มีอาการปวดศีรษะ
เจ็บหน้าอก
อาเจียน
กระวนกระวาย
ไอมีฟองเลือด
อาจหัวใจอาจหยุดเต้น (คลำชีพจรไม่ได้)
ปัจจัยที่มีผลต่อพยาธิสภาพของผู้จมน้ำ
อุณหภูมิของร่างกายหลังจมน้ำ
ข้อดีคือการเผาผลาญลดลง brain anoxia ช้าลง
อุณหภูมิของร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว
ข้อเสียคือมีผลทำใหห้ัวใจเต้นผิดปกติ และตายได้
ช่วงเวลาที่จมอยู่ใต้น้ำ
การช่วยฟื้นคืนชีพได้เร็วและถูกต้อง
CPR ภายใน 10 นาที โอกาสรอด 90%
CPR ภายใน 5 นาที โอกาสรอด 96%
สภาพผู้ป่วยก่อนจมน้ำ
สุขภาพผู้จมน้ำ
การรับประทานอาหารที่ที่อิ่มใหม่ๆ
Diving reflexes
การมึนเมาจากสรุา
การสูดหายใจเข้าปอดเต็มที่ก่อนจมน้ำ
ความรู้ในการว่ายน้ำ
อายุ
การเปลี่ยนแปลงพยาธิสรรีภาพ
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินหายใจและปอด
Tonicity ของสารน้ำ
Hypotonic solution
การจมน้ำจืด Pulmonary edema
ทำให้ surface tension ลดลง
เกิดภาวะ Atelectasis
เกิดภาวะ hypoxia
Hypertonic solution
การจมน้ำทะเล Pulmonary edema
เกิดภาวะ hypoxia
เกิด pulmonary damage
เกิด lung compliance ลดลง และ pneumonitis
Toxicity
Particles และ micro-organism
การเปลี่ยนแปลงระบบประสาท
ทำให้เกิด cerebral hypoxia
เกิดภาวะสมองบวมตามมา
ภาวะ circuratory arrest
ทำให้ cerebral perfusion ลดลง
ทำให้สมองขาดเลือด Ischemic brain
การเปลี่ยนแปลงระบบไหลเวียนเลือดและหัวใจ
น้ำจืดจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าเลือด(พลาสมา)
ถ้ามีน้ำมากก็จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดทันที
ทำให้ปริมาตรของเลือดที่ไหลเวียนเพิ่มจากเดิม (hypervolemia)
มีผลทำให้ระดับเกลือแร่ในเลือดลดลง
เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก (hemolysis)
ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวาย
น้ำทะเลจะมีความเข้มข้นมากกว่าเลือด (พลาสม่า)
มีการดูดซึมน้ำเลือดจากกระแสเลอืดเข้าไปในปอด
เกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema)
ระบบไหลเวียนมีปริมาตรลดลง (hypovolemia)
ระดับเกลือแร่ในเลอืดเพิ่มสงูขึ้น
หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจวาย ช็อก
การเปลี่ยนแปลงของเกลือแร่และกรดด่างในเลือด
acidosis จาก เยื่อบุถุงลมอักเสบ ถุงลมขาด surfactant atelectasis pulmonary edema
PO2 metabolic acidosis
PCO2 respiratory acidosis
น้ำจืดเกิด hyponatremia, hypochloremia, hyperkalemia
น้ำเค็มเกิด hypernatremia, hyperchloremia, hypermagnesemia
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในร่างกาย
อุณหภูมิของร่างกายลดต่ำลงตามอุณหภูมิของน้ำ
T = 37 - 35 องศา หนาวสั่น ทรงตัวไม่อยู่
T = 35 - 32 องศา สับสน หัวใจเต้นเร็ว
T = 32 - 28 องศา เกร็ง หัวใจเต้นช้า หายใจช้า
T = 28 - 25 องศา หมดสติ หัวใจเต้นผิดปกติ
T = 25 - 21 องศา หยุดหายใจ หัวใจหยุดเต้น
การปฐมพยาบาลการจมน้ำ
กรณีที่คนจมน้ำรู้สึกตัวดี สำลักน้ำไม่มาก
กระตุ้นให้หายใจลึกๆ
ปลอบโยนให้คลายความตกใจ
ดูแลร่างกายให้อบอุ่น
แนะนำให้ไปพบแพทย์เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
ผู้ป่วยหยุดหายใจ
ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจทันที
จับผู้ป่วยนอนคว่ำแล้วใช้มือ 2 ข้าง วางอยู่
ใต้ท้องผู้ป่วย ยกท้องผู้ป่วยขึ้นจะช่วยไล่น้ำออกมาทางปาก
ถ้าคลำชีพจรไม่ได้ หรือหัวใจหยุดเต้น ให้ทำการนวดหัวใจทันที
ช่วยเหลือจนหายใจได้แล้ว
จับผู้ป่วยนอนตะแคงข้าง และศีรษะหงายไปข้างหลัง
ใช้ผ้าห่มคลุมผู้ป่วยเพื่อใหเ้กิดความอบอุ่น
อย่าใหผู้ป่วยกินอาหาร และดื่มน้ำทางปาก
ส่งผู้ป่วยที่จมน้ำ
ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล
กรณีหมดสติและหยุดหายใจ
ควรผายปอด ด้วยวิธีเป่าปากไปตลอดทาง