Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและการจำแนกผู้ประสบสาธารณภัย (Triag) - Coggle…
การพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและการจำแนกผู้ประสบสาธารณภัย (Triag)
ระบบหายใจ
Tension pneumothorax
Pneumothorax เกิดจากการมีลมรั่วจากปอดข้างที่ได้รับบาดเจ็บ ลมรั่วจากอากาศภายนอกเข้าไปในโพรงเยื่อหุ้มปอด แล้วลมนั้นไม่สามารถออกมาสู่ภายนอกได้เรียกว่า one way valve หากไม่ได้รับการแก้ไขความดันในโพรงเยื่อหุ้มปอดสูงขึ้นจะมีผลทําให้ปอดแฟบได้ เกิด mediastinum shift ไปฝั่งตรงข้าม กดเบียดปอดด้านตรงข้าม venous return ลดลง เกิดHypotension ได้
Massive hemothorax
เกิดเลือดออกในโพรงเยื่อหุ้มปอด อย่างเฉียบพลันมากกว่า 1,500ml. หรือมากกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณเลือดทั้งหมดของร่างกาย หรือภายหลังใส่ท่อระบาย ICD แล้วมีเลือดออกมากกกว่า 200 ml. /hr. นาน 2-4 ชั่วโมง
Flail chest
หากพบว่ากระดูกซี่โครงหักอย่างน้อย 2 แห่ง ทําให้ผนังทรวงอกบริเวณกระดูกซี่โครงที่หักขยับเขยื้อน ขณะผู้ป่วยหายใจเข้าจะทําให้บริเวณที่หักยุบและขณะหายใจออกบริเวณที่หักจะยกสูงกว่าส่วนอื่น เรียกว่า Flail Chest มีผลทําให้การหายใจมีปริมาณออกซิเจน ลดลง และการระบาย CO2 ลดลง
Fractures ribs
อาจหักเพียง 1 หรือหลายซี่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณที่หัก และหายใจลําบาก จาการตรวจร่างกายจะพบอาการกดเจ็บบริเวณที่หัก อาจใช้มือวางบริเวณด้านหน้าและด้านหลังของทรวงอกแล้วบิดหมุนมือเข้าหากันเบาๆ หากผู้ป่วยไม่มีอาการปวดแสดงว่ากระดูกซี่โครงไม่หัก
ต้องทําการตรวจประเมินเพื่อวินิจฉัยภาวะ internal injury และภาวะ Shock เสมอ เพราะอาจทําให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้
ภาวะฉุกเฉินที่เกิดจากการบาดเจ็บทรวงอก
Hypercapnia
ส่วนใหญ่เกิดจากการ Ventilation ไม่เพียงพอ จากการเปลี่ยนแปลงความดัน
ในช่องอก ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดภาวะสมองพร่องออกซิเจนและระดับความรู้สึกตัวลดลง
Metabolic acidosis
จากการเพิ่ม Lactic acid ในร่างกายที่มาจาก Tissue
hypoperfusion จากภาวะ Shock
Tissue hypoxia
เกิดภายหลังการบาดเจ็บทรวงอกจนทําให้เกิดการเสียเลือด เช่น Lung
contusion, hematoma, alveolar collapse
การพยาบาลเบื้องต้นในผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินจากการบาดเจ็บทรวงอก
Breathing
โดยการประเมินจากการ ดู คลํา เคาะ ฟัง เพื่อหาความผิดปกติของการหายใจรวมถึงการโป่งพองของเส้นเลือดดําที่คอ
อาการสําคัญที่จะพบในการหายใจผิดปกติได้แก่ การหายใจเร็ว ลักษณะการหายใจเปลี่ยนไปการหายใจตื้น
Circulation
โดยคลําชีพจร ประเมินอัตรา ความแรง จังหวะความสม่ําเสมอ ผู้ป่วยHypovolemia อาจคลําชีพจรที่ Radial และ Dorsalis pedis ไม่ได้ นอกจากชีพจรแล้วจะตรวจความดันโลหิต สี อุณหภูมิผิวหนังบริเวณปลายมือปลายเท้า และประเมินความโป่งพองของเส้นเลือดดําที่คอ (Neck vein) อาจพบ Neck vein แฟบในภาวะ Hypovolemia แต่ Neck vein โป่งได้จาก Cardiactemponade, Tension pneumothorax, Traumatic diaphragmatic injury
Airway
เริ่มจากการฟังเสียงหายใจและค้นหาสิ่งแปลกปลอมที่ทําให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ในการตรวจประเมินทางเดินหายใจส่วนบนหากเกิดการบาดเจ็บของกล่องสียง (Laryngeal injury)จะฟังพบเสียงหายใจที่ผิดปกติ เช่น Stridor
ระบบประสาท
Spinal cord injuly
Cord concussion ไขสันหลังได้รับการกระทบกระเทือนและหยุดการทำงานชั่วคราว น้อยกว่ำ 24 ชั่วโมง
Cord contusion ไขสันหลังเกิดการชอกช้ำกด เบียด ด้วยกระดูกสันหลังที่แตกหัก
Ischemia condition ไขสันหลังขาดเลือดจากการกดเบียดหลอดเลือดที่มาเลี้ยงไขสันหลัง
Cord transectionไขสันหลังฉีกขาดทุกชั้น Dura, Arachnoid, Pia ซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่รุนแรงที่สุด
Spinal shock
• ส่วนที่ต่ำกว่ารอยโรคจะหยุดทำงานชั่วคราว
• ไม่พบการทำงานหรือ reflex พบได้บาดเจ็บไม่รุนแรง
การประเมิน
จะหายภายในระยะเวลาเป็นวันหรือไม่กี่สัปดาห์
ประเมิน reflex อย่างใดอย่างหนึ่ง
deep tendon reflex
bulbocarvenosus
กล้ามเนื้อเกร็งกระตุก
anal reflex
การประเมินสภาพของผู้ป่วย
การประเมินการหายใจ
ตรวจและบันทึกสัญญาณชีพ
การพลิกตัวและการเคลื่อนย้าย
การให้ยา
ในรายที่ท้องอืดดูแลให้งดน้ำและอาหาร ทางปาก
ใส่สายสวนคาปัสสาวะไว้
ติดตามเฝ้าระวังการตกเลือด ความรู้สติ สัญญาณชีพ การเต้นของหัวใจ
เตรียมส่งผู้ป่วย
Complete cord injuly
เดิมหมายถึงภาวะที่ไม่มีการทำงานของประสาทสั่งงานหรือประสำทรับความรู้สึกของไขสันหลังส่วนที่ต่ำกว่ารอยโรค
ปัจจุบันใช้sacral sparing เป็นตัวบ่งชี้ว่า Complete cord injury ไม่มีการทำงานของ motor /sensory บริเวณทวารหนักและรอบทวารหนักเลย
การพยาบาลผู้ป่วยที่บาดเจ็บกระดูกสันหลัง
การพยาบาล ณ จุดเกิดเหตุ
การดูแลเรื่องหายใจ และการไหลเวียนของโลหิต รวมทั้งการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างถูกต้อง ให้สงสัยว่ามีการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง หรือไขสันหลัง
ก่อนเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ต้องจัดท่ากระดูกสันหลังให้นิ่งก่อน โดยให้ผู้บาดเจ็บนอนบนกระดาน และใช้อุปกรณ์ประคองกระดูกคอ หรือวางถุงทรายประกบซ้าย ขวา แล้วเคลื่อนย้ายด้วยความระมัดระวังและรวดเร็ว
เป้าหมายแรกในการดูแลผู้ป่วยบาดเจ็บที่ไขสันหลัง
การรักษาชีวิต และป้องกันการทำลายสันหลังเพิ่มเติม
ระยะแรกเน้นการตรวจประเมินเพื่อทราบความรุนแรงของการบาดเจ็บ ผลกระทบและการเคลื่อนย้ายที่ถูกต้อง
Acute stroke
โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด (Ischemic Stroke)
เกิดจากการอุตันของหลอดเลือดจนทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ มักเกิดร่วมกับภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง มีสาเหตุมาจากไขมันที่เกาะตามผนังหลอดเลือดจนทำให้เกิดเส้นเลือดตีบแข็ง
Trombotic Stroke
Atherosclerosis
Emolic Stroke
โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke)
โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง (Aneurysm)เกิดจากความอ่อนแอของหลอดเลือด
โรคหลอดเลือดสมองปิดปกติ (Arteriovenous Malformation) ที่เกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดสมองตั้งแต่กำเนิด
เกิดจากภาวะหลอดเลือดสมองแตกหรือฉีกขาด ทำให้เลือดรั่วไหลเข้าไปในเยื่อสมอง
ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
เพศ ชายมีความเสี่ยงมากกว่าเพศหญิง
ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เนื่องจากอายุมากขึ้นหลอดเลือดแดงจะแข็งตัวมากขึ้นและมีไขมัน เกาะหนาตัวทำให้เลือดไหลผ่านได้ลำบากขึ้น
ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงได้
ไขมันในเลือดสูง
การสูบบุหรี่
เบาหวาน
โรคหัวใจ ทั้งโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือโรคลิ้นหัวใจต่างๆ
ความดันโลหิตสูง
แนวทางปฎิบัติในการดูแลผู้ป่วยเส้นเลือดสมอง
Door to door จนถึง drug
ER Triage Nurse
ER Nurse
Laboratory
Stroke Unit
Resident/Stroke Attending
Head injuly
concussion, cerebral contusion, hemorrhage
ผู้ป่วยที่มี Glasgow Coma Score 13-15
Mild brain injuly
•มักจะไม่มีอาการผิดปกติทางระบบประสาท
•มีแผลฉีกขาดลึกเพียงแค่หนังศีรษะ
•มีอาการมึนศีรษะเล็กน้อย
•ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีภาวะ Amnesia ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนมาโรงพยาบาล
•อาจมีประวัติหมดสติชั่วขณะในที่เกิดเหตุ
•อาจมีความยากในการประเมินอาการดังกล่าวโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอาการเมาสุรา
•พบร้อยละ 3 ที่มีอาการเลวลงในเวลาต่อมาจนเสียชีวิตได้ เกิดภาวะ Talk and die
ผู้ป่วยที่มี Glasgow Coma Score 9-12
Moderate brain injuly
• มักมีอาการอารมณ์เปลี่ยนแปลง
• ปวดหัวมาก ชัก อาเจียน
• มีการบาดเจ็บบริเวณใบหน้า
• พบว่าร้อยละ 10 -20 จะเกิดอาการ Comaตามมา
• ดังนั้นผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้อง
• ให้การประเมินสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
• แพทย์จะส่งผู้ป่วยทำ CT Brain และ Admit ทุกรายเพื่อสังเกตอาการ Neurological sings อย่างใกล้ชิด
• และแพทย์จะทำ CT Brain ซ้ำในช่วง 12 -24 ชั่วโมงแรก
ผู้ป่วยที่มี Glasgow Coma Score 3-8
Severe brain injuly
มักมีอาการระดับความรู้สึกตัวลดลง
• มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
• โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีภาวะ Hypotension โอกาสเสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่ำ
• ผู้ป่วยที่มีทั้ง Hypotension และ Hypoxia มีโอกำสเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 75
• แพทย์จึงรีบทำกำรวินิจฉัยและส่งผู้ป่วยจะทำ CT Brain ทันที
Primary Survey
B.Breathing
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักเกิดการหยุดหายใจในระยะสั้นๆ (Transient respiratory arrest) และ Hypoxia
• จึงเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Secondary brain injury มาก
• หากไม่ได้รับการช่วยเหลือผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้
แพทย์จะรักษา
• ใส่ท่อช่วยหายใจ
• แล้วใช้เครื่องช่วยหายใจด้วยออกซิเจน 100 เปอร์เซ็นต์
• แล้วรักษาระดับSpO SpO2 มำกกว่ำร้อยละ 98
C.Circulation
ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาการทางระบบประสาทจะเชื่อถือไม่ได้ จากระดับความรู้สึกตัวลดลง
เมื่อแก้ไขภาวะ Shock แล้ว อาการทางประสาทอาจเป็นปกติได้
ควรหลีกเลี่ยงสารละลาย
Hypotonic solution
จะทำให้เกิด hyponatremia ทำให้สมองบวม
สารละลายที่มีกลูโคส เนื่องจาก hyperglycemia
จะทำให้เลือดหนืด ทำให้ CBF ลดลง
มีการสะสม Lactic acid มากขึ้น จาก anaerobic glycolysis
A.Airway with Cervical spine control
ในการประเมินทางเดินหายใจผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะนั้นต้องได้รับความรวดเร็วและแม่นยำ เมื่อพบปัญหาหรือสงสัยให้รีบแก้ไขทันที ขณะเดียวกันต้องป้องกันกระดูกสันหลังส่วนคอไม่ให้มีการเคลื่อนไหวด้วย
ในผู้ป่วยหมดสติที่สวมหมวกกันน๊อค (Helmet) และมีความจำเป็นต้องประเมินทางเดินหำยใจ
• ขณะถอดหมวกกันน๊อคออก
*
คอต้องอยู่ในท่า Neutral position เสมอ
• โดยใช้คน 2 คนตามวิธีการอย่างถูกต้อง
Secondary survey
ตรวจเท่าที่จำเป็น อย่างรวดเร็ว
เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ
การตรวจร่างกายอย่างละเอียด
การตรวจทางระบบประสาท จะทำเมื่อผู้ป่วยมีอาการคงที่แล้ว