Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพโรคเขตร้อน โรคติดต่อ และโรคอุบัติใหม่(ต่อ),…
การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพโรคเขตร้อน
โรคติดต่อ และโรคอุบัติใหม่(ต่อ)
Hepatitis
พยาธิสภาพ
ของ Viral Hepatitisตามมา ซึ่งระยะในการอักเสบ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
2. Icteric Stage
: ระยะตา ตัวเหลือง นาน 1 – 4 สัปดาห์ อาการต่างๆ ในระยะแรกจะหายไป แต่มีอาการตัว ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อาจพบม้ามและต่อมน้ำเหลืองโต
3. Recovery Period
: ระยะพักฟื้น ใช้เวลา 3 – 4 เดือน โดยทั่วไปผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น และหายเป็นปกติ ใช้เวลา 6 สัปดาห์ ถ้าไม่ดีขึ้นอาจมีภาวะแทรกซ้อน
1. Prodomal Stage
: 3 – 7 วัน ก่อนตาเหลือง อาการสำคัญคือเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดตัว อ่อนเพลีย มีไข้ต่ำๆ อาจมีปวดท้องใต้ชายโครงขวา หรือกดเจ็บ ในระยะท้ายๆ มีปัสสาวะสีโคล่า เนื่องจากมี birirubin สูง และอุจจาระซีด ใน HAV มีอาการรุนแรงน้อยกว่า HBV
สาเหตุ
เกิดจากการเสียหน้าที่ของตับจากภาวะตับอักเสบ การบาดเจ็บที่ตับ ตับแข็ง ตับวาย และมะเร็งตับ
ชนิด
Hepatitis A Virus (HAV)
ลักษณะและอาการที่สำคัญของ HAV
สามารถตรวจพบเชื้อในอุจจาระได้ 2 สัปดาห์ ก่อนแสดงอาการ และหลังจากตา ตัวเหลือง 1 สัปดาห์
ส่วนใหญ่ไม่ทำให้ผู้ป่วยเป็น Chronic hepatitis หรือ cirrhosis หรือ C.A liver แต่สามารถตรวจพบ antibody ทำให้มีภูมิต้านทานตลอดไป ไม่เป็น carrier
เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด RNA. ติดต่อได้ทาง feacal – oral transmission (การกินอาหารหรือดื่มน้ำไม่สะอาด) ไม่ค่อยติดต่อทางเลือด (อาจพบได้บ้าง)
ใช้เวลาฟักตัว 15 – 50 วัน ติดต่อได้ในช่วงครึ่งหลังของการมีในระยะฟักตัว จนถึง 2 – 3 วัน หลังจากตัวเหลือง
Hepatitis B Virus (HBV)
ลักษณะอาการของ HBV.
ติดต่อได้ทางเลือด หรือ serum เช่น การฉีดยา การถ่ายเลือด การสัมผัสกับ secretion หรือ สิ่งคัดหลั่งต่างๆ (น้ำมูก น้ำลาย) เพศสัมพันธ์ (อสุจิ)
ไม่พบเชื้อนี้ใน gastric content, bile, faces เพราะเชื้อถูกทำลายได้ด้วย intestinal mucosal enzyme
เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด DNA. ฟักตัว 6 สัปดาห์ - 6 เดือน
อาการจะรุนแรงกว่าชนิดอื่นๆ และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น Chronic hepatitis, Cirrhosis, C.A liver ถ้าเป็นนานกว่า 6 เดือน
Hepatitis Non A Non B (nAnB): Hepatitis C Virus (HCV)
เชื้อที่เป็นสาเหตุไม่ทราบแน่ชัด ไม่มีอาการ
ตรวจ serum ไม่พบ Anti HAV และ HBs Ag
มีโอกาสเกิด Chronic Hepatitis และ cirrhosis
ติดต่อได้ทั้งการรับประทานอาหารทางเลือด และ serum
การพยาบาล
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนเต็มที่ งดการทำกิจกรรมใดๆ
ดูแลการได้รับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง หลีกเลี่ยงไขมันทุกชนิด
สังเกตอาการไข้ อาการตา ตัวเหลือง อาการที่แสดงภาวะตับวาย เช่น ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงไป
บรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน โดยจัดสิ่งแวดล้อมและอาหารที่ไม่กระตุ้นความรู้สึกอยากอาเจียน ถ้ามีอาการรุนแรงมาก ดูแลการได้รับยาแก้อาเจียนตามแผนการรักษา
ปัญหาที่สำคัญได้แก่ การได้รับสารอาหารและน้ำไม่เพียงพอ อ่อนเพลีย และถ้ารุนแรงมากจะทำให้เกิดภาวะตับวายได้
การดูแลให้ผู้ป่วยได้รับสารน้ำและอิเลคโตรไลท์ทางหลอดเลือดตามแผนการรักษา
ติดตามผลการระมัดระวังการแพร่กระจายเชื้อโดยเฉพาะทางเลือด และสิ่งคัดหลั่งต่างๆ
การให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยและครอบครัวเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อ เช่น การฉีดวัคซีนตับอักเสบ การระมัดระวังเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและการร่วมเพศ และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
โรคไวรัสอีโบร่า (Ebola virus disease)
เป็นเชื้อประจำถิ่นแถบประเทศ Africa โรคไวรัสอีโบลาจัดอยู่ในสกุล Ebolavirus
การแพร่กระจายเชื้อ
การสัมผัสกับเลือดหรือสารน้ำร่างกายจากผู้ติดเชื้อโดยตรง
การสัมผัสกับเวชภัณฑ์ที่ปนเปื้อน
อาการ
มีไข้
อ่อนแรง
ปวดศีรษะ
ท้องเสีย
เจ็บหน้าอก
ปวดท้อง
อาเจียน
ผิวหนังมีผื่น มีเลือดออก
พยาธิวิทยา
หลังติดเชื้อ จะมีการสร้างไกลโคโปรตีนที่หลั่งออกมา (secreted glycoprotein, sGP) ชื่อ อีโบลาไวรัสไกลโคโปรตีน (Ebola virus glycoprotein, GP) ก่อเป็นกลุ่มรวมไตรเมอร์ (trimeric complex) ซึ่งยึดไวรัสกับเซลล์เนื้อเยื่อบุโพรงตามผิวด้านล่างของหลอดเลือด sGP ก่อโปรตีนไดเมอร์ (dimer) รบกวน neutrophil ไวรัสแพร่กระจายปุ่มน้ำเหลือง ตับ ปอดและม้าม
เกิดการปล่อยไซโทไคน์ (กล่าวโดยเจาะจง คือ TNF-α, IL-6, IL-8 ฯลฯ) ทำให้ความแข็งแรงของหลอดเลือด (vascular integrity) เสียไป การเสียความแข็งแรงของหลอดเลือดนี้ยังส่งเสริมด้วยการสังเคราะห์ GP ซึ่งลดอินทีกริน (integrin) นำไปสู่ลิ่มเลือดผิดปกติ[
การวินิจฉัย
การตรวจหาอาร์เอ็นเอไวรัสโดยปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส(PCR)
การตรวจหาโปรตีนโดยวิธีอีไลซา (ELISA)
ภาวะแทรกซ้อน
หลายอวัยวะล้มเหลว
เลือดออกรุนแรง
ดีซ่าน
สับสน
ชัก
โคม่าหมดสติ
ช็อค
การรักษา
รักษาสมดุลของเหลวและอิเล็กโทรไลต์เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
การให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม
การป้องกัน
กำจัดไวรัสอีโบลาได้ด้วยความร้อน (ให้ความร้อน 60 °C เป็นเวลา 30 ถึง 60 นาที หรือต้มเป็นเวลา 5 นาที
แยกผู้ป่วย และการสวมเสื้อผ้าป้องกัน ได้แก่ หน้ากาก ถุงมือ กาวน์และแว่นตา
ไม่สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ
โรคไข้หวัดใหญ่ (Human influensa)
สาเหตุ
ติดเชื้อ Influensa virus มี RNA 3 ชนิด ชนิด A,B,C
ระยะฟักตัวของโรค 1- 4 วัน หลังรับเชื้อโรคไข้หวัดใหญ่
A แหล่งเชื้อโรค คือ นกน้ำตามธรรมชาติ
Signs and Symptoms of Flu
Fever* or feeling feverish/chills
Cough
Sore throat
Runny or stuffy nose
Muscle or body aches
Headaches
Fatigue (very tired)
คำจำกัดความ
Avian influensa, Bird Flu, Avian Flu ติดจากสัตว์ปีกสู่คน
อาการ
มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้ออ่อนเพลียมีน้ำมูกไอและเจ็บคอบางครั้งพบว่ามีอาการตาแดง
อาการแทรกซ้อน
จะมีอาการรุนแรงถึงปอดบวมและเกิดระบบหายใจล้มเหลว (Acute espiratory Distress Syndrome)
ระยะฟักตัวในคนสั้น ประมาณ 1 ถึง 3 วัน
การวินิจฉัยไข้หวัดนก
มีไข้มากกว่า 38 องศา
มีอาการทางเดินระบบหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ หายใจหอบ และ
ประวัติสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นโรค หรือสัมผัสกับคนป่วยภายใน 10 วันก่อนเกิดอาการ
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเพาะเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่ง เช่นเสมหะ น้ำมูก
การตรวจสารคัดหลั่งด้วยวิธี PCR influenza type A ให้ผลบวก
ยาที่ใช้รักษา
Oseltamivir [tamiflu]
Zannamivir[Relenza]
วิธีป้องกันการระบาด
ต้องกำจัดแหล่งแพร่เชื้ออย่างรีบด่วน
ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เพื่อไม่ให้เชื้อกลายพันธุ์
คนที่สัมผัสไก่ที่เป็นโรคและมีไข้ต้องกินยาต้านไวรัส
ผู้ที่ทำลายไก่ต้องสวมชุดเพื่อป้องกันการรับเชื้อ
ต้องมีระบบคัดกรองผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นไข้หวัดนก ออกจากผู้ป่วยอื่นทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน
ผู้ป่วยที่มีอาการไอหรือจาม ต้องใช้ Tissue ปิดปากและจมูก
จัดให้มี Alcohol สำหรับเช็ดมือ
แยกผู้ป่วยที่มีอาการไอออกจากผู้อื่นอย่างน้อย 3 ฟุต
การป้องกันการติดเชื้อในโรงพยาบาล
ให้ผู้ป่วยนอนห้องแยก
หากต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกห้องต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
ห้ามแพทย์หรือญาติที่เป็นหวัด เยี่ยมผู้ป่วย
หากจะเข้าใกล้ผู้ป่วยน้อยกว่า 3 ฟุตต้องสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
ผู้ที่จะเข้าไปดูแลผู้ป่วยต้องสวมถุงมือ เสื้อคลุมทุกครั้ง และถอดออกเมื่อออกนอกห้อง
ล้างมือก่อนและหลังสัมผัสผู้ป่วยทุกครั้ง
Pandemic influensa
Seasonal influensa เกิดขึ้นประจำทุกปี ติดจากคนสู่คน
การแพร่กระจายเชื้อโรค
การกระจายสู่คนทางละอองฝอย
สัมผัสโดยตรงกับสิ่งคัดหลั่งต่าง ๆ ที่ปนเปื้อน เช่นน้ำมูกและน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย
ภาวะแทรกซ้อน
ระบบทางเดินหายใจ
Ottitis media
Pneumonia
ระบบหัวใจ
Myocarditis
Pericarditis
ระบบประสาท
Encephalitis
Guillain Barre Syndrom
การวินิจฉัย
ตรวจสารคัดหลั่งภายใน 72 ชั่วโมง
การตรวจหา RNA ของ Virus ด้วย RT-PCR (Reverse transcriptase –polymerase chain reaction)
การตรวจน้ำเหลืองหา Antibody โดยเจาะห่าง 2 สัปดาห์ Antibody จะเพิ่มขึ้น 4 เท่า
ตรวจหาแอนติเจน
DIA (direct immunofluorescent antibody)
IFA (direct immunofluorescent antibody)
การรักษา
ยาต้านมี 2 กลุ่ม
กลุ่ม 1 amantadine และ Rimantadin ยับยั้งการแบ่งตัวของ cellชนิด A อาการไม่พึงประสงค์ อาการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทและทางเดินอาหาร
กลุ่ม 2 Neuraminidase inhibitor
Oseltamivia (Tamiflu) ผลข้างเคียง คลื่นไส้อาเจียน
Zanamivia (Relenza) พ่นทางปาก ผลข้างเคียง หลอดลมตีบ
ให้ยาต้าน Antiviral teatment
ให้ภายใน 48 ชั่วโมงแรกของอาการป่วย
ให้ในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงได้แก่ โรคหัวใจ ปอด หอบหืด ตั้งครรภ์ไตรมาส 2,3 HIV เด็กอายุครบน้อยกว่า 2 ปี เมตาบอลิกเรื้อรัง ได้รับการรักษาด้วย Aspirin
การพยาบาล
พักผ่อนมากๆ และอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
ลดไข้ผู้ป่วย
การล้างมือ
กินอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย ควรดื่มน้ำมากๆ
ควรพบแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
ควรหยุดพักงานหรือการเรียนชั่วคราว จนกว่าจะหายเป็นปกติ เพื่อป้องกันการแพร่ของเชื้อโรค
ควรจัดให้ผู้ป่วยอยู่ห้องแยก
ปิดจมูก ปาก เวลาไอหรือจาม และบ้วนน้ำลายลงในภาชนะที่ใส่ยาฆ่าเชื้อโรค
โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง( Severe Acute Respiratory Syndrome :SARS)
อาการ
ไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส
ปวดเมื่อยตามร่างกาย
อาการเจ็บคอ ไอแห้ง ๆ
ปอดบวมอักเสบ
อาการหายใจลำบาก
ปวดศีรษะ
หนาวสั่น
การติดต่อ
สัมผัสกับผู้ป่วย โดยเฉพาะของเหลว เช่น น้ำลาย น้ำมูก
สาเหตุ
เกิดจาก เชื้อไวรัสโคโรนา coronavirus (SARS-CoV)
ระยะฟักตัวของโรค
จะใช้เวลาประมาณ 2 ถึง 7 วัน โดยทั่วไปมักไม่เกิน 10 วัน
MERS-CoV หรือ Middle East Respiratory Syndrome-Corona Virus
อาการแสดงของ Mers-CoV
ไข้สูง อาการไอ หายใจหอบมากกว่า 28 ครั้ง Oxygen saturation น้อยกว่า 90 และอาจเกิดภาวะปอดอักเสบ ไตวายทางเดินหายใจล้มเหลวเฉียบพลันอย่างรุนแรง (Severe Acute Respiratory Distress Syndrome :ARDS) จนทำให้เสียชีวิตในที่สุด
บางรายอาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย เช่นคลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเหลว
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ผลเอกซเรย์ ปอด (Chest imaging (e.g. X-ray or CT scan): ลักษณะปอดอักเสบอาจพบภาพฉายรังสีไม่แตกต่างจากภาวะปอดอักเสบจากโรคอื่น
ในการตรวจหาเชื้อ MERS-CoV พบว่าการตรวจจากเสมหะให้ความไวในการตรวจพบเชื้อสูงกว่าการเก็บตัวอย่างจาก Nasopharyngeal Aspiration
reverse-transcriptase polymerase chain reaction (RT-PCR)
มีระยะฟักตัวตั้งแต่ 2 – 14 วัน ดังนั้นหากผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้สูงมากกว่า 38 องศาเซลเซียส ไอ หอบ หายใจเร็ว และภายใน 14 วันก่อนหน้ามีประวัติเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาดของโรค
การรักษา/การดูแล
2.การให้ยาปฏิชีวนะ กรณีมีปอดอักเสบ
3.การรักษาตามอาการ ให้ supplemental oxygen therapyโดยเฉพาะผู้ป่วยที่ SpO2 < ร้อยละ 90 เริ่มโดย การจากให้อ็อกซิเจน 5 ลิตรต่อนาที และปรับขนาดตามอาการของผู้ป่วย จนระดับ SpO2 ≥ ร้อยละ 90 ในคนทั่วไป และ SpO2 ≥ ร้อยละ 92-95 ในหญิงตั้งครรภ์
1.การให้ยาต้านไวรัส
Infection Control
Airborne precaution โดยให้ผู้ป่วยอยู่ใน Airborne infection isolation room (AIIR)หรือห้องเดี่ยวที่มีพัดลมดูดอากาศสู่ภายนอกและนอกอาคารบริเวณที่เหมาะสม (ปิดประตูตลอดเวลา)
ผู้ป่วยสวม Surgical Mask
MERS-CoV เป็น droplet nuclei or tiny droplet ถ้าไอในระยะ 1 เมตร สามารถแพร่กระจายเชื้อได้
ส่วนบุคลากรทางการแพทย ให้ใช้ Surgical Mask หากทำหัตถการที่จะก่อให้เกิดฝอยละอองขนาดเล็ก (aerosol) ให้สวมหน้ากากระดับ N95 หรือเทียบเท่าในการดูแลผู้ป่วย สวม Goggle หรือ Face Shield และเสื้อคลุมแขนยาว (Gown) ชนิดกันน้าได้
Standard precautions รวมถึง Hand hygiene, Respiratory hygiene and coughetiquette, Safe injection practices และข้อปฏิบัติอื่นๆ
ไม่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกนอกห้องหากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ เนื่องจากไม่ทราบระยะเวลาการแพร่เชื้อ ที่แน่นอน
การป้องกัน
หลีกเลี่ยง การเข้าไปในพื้นที่ แออัด หรือที่ สาธารณะที่มีคนอยู่จำนวนมาก เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
แนะนำให้ผู้ป่วยใส่หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกเวลาไอหรือจาม
ควรล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่ โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่งจากผู้ป่วย หรือสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย รวมทั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังขับถ่าย
ปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี ได้แก่ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการ ไอ จาม หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เฉียบพลัน
Covid-19
การติดต่อ
คนสู่คน
เชื้อขับออกทางอุจจาระประมาณ 9-14 วัน
การขยี้ตา
Droplet
ระยะฟักตัว
2-14 วัน
อาการและอาการแสดง
ไอ
น้ำมูก
ไข้
เจ็บคอ
ไม่ได้กลิ่น
เม็ดเลือดขาวต่ำลง
อุจจาระร่วง
ไตวาย
ปอดบวมหรือน้ำท่วมปอด
ติดเชื้อ SARS-CoV-2จากค้างคาวมงกุฏเทาแดง
ไม่มีอาการก็สามารถติดเชื้อได้
อายุของเชื้อ
อุณหภูมิ
4 องศา ประมาณ 28 วัน,มากกว่า30องศาอายุจะสั้นลง
พื้นผิว
โลหะ แก้ว ไม้ พลาสติกได้นาน 4-5 วัน ณ อุณหภูมิห้อง
ความชื้น
มากกว่า 50% จะมีชีวิตอยู่ได้ดรกว่าที่ 30%
นิยาม
นิยามที่ 2
กรณีที่ 2 การเฝ้าระวังที่สถานพยาบาล
2.1 อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป
หรือให้ประวัติว่า มีไข้ในการป่วยครั้งนี้ ร่วมกับมีอาการของระบบทางเดินหายใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หรือ หายใจลำบาก
2.2 ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ
1) มีประวัติเดินทางไปยัง หรือ มาจาก หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2) มีผู้ที่อยู่อาศัยร่วมบ้านเดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019
3) เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
4) มีประวัติใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเข้าข่ายหรือยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
5) เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข ที่สัมผัสกับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นิยามกรณีที่ 3
การเฝ้าระวังที่สถานพยาบาล
1) ใกล้ชิดผู้สงสัยติดเชื้อ SARS-CoV-2 ในช่วงเวลา 14 วันก่อนวันเริ่มป่วย
2) เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข 3) รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น
3) หาสาเหตุไม่ได้
4) มีอาการรุนแรง หรือ เสียชีวิตโดยหาสาเหตุไม่ได้
ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ
นิยามที่ 1
กรณีที่ 1 การเฝ้าระวังที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
ผู้ป่วยมีอาการ และอาการแสดง
ดังนี้
อุณหภูมิร่างกายตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ร่วมกับ มีอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หายใจเหนื่อย หรือ หายใจลำบาก
มีประวัติในช่วงเวลา 14 วันก่อนวันเริ่มป่วย อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
1) มีประวัติเดินทางไปยัง หรือ มาจาก หรืออยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
2) มีผู้ที่อยู่อาศัยร่วมบ้านเดินทางกลับมาจากพื้นที่ที่มีรายงานการระบาดต่อเนื่องของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019
3) เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
4) มีประวัติใกล้ชิดหรือสัมผัสกับผู้ป่วยเข้าข่ายหรือยืนยันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
5) เป็นบุคลากรทางการแพทย์หรือสาธารณสุข ที่สัมผัสกับผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
นิยาม กรณีที่ 4
การป่วยเป็นกลุ่มก้อน กลุ่มก้อน (cluster) ของผู้มีอาการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ (Acute respiratory tract infection) ที่ตรวจ rapid test หรือ PCR ต่อเชื้อ ไวรัสไข้หวัดใหญ่แล้วให้ผลลบทุกราย
กรณีเป็นบุคลากรทางการแพทย์ ตั้งแต่ 3 รายขึ้นไป ในแผนก เดียวกัน ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน (หากสถานพยาบาลขนาดเล็ก เช่น คลินิก ใช้เกณฑ์ 3 รายขึ้นไปในสถานพยาบาลนั้น ๆ)
กรณีในสถานที่แห่งเดียวกัน (ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์) ตั้งแต่ 5 รายขึ้นไป ในช่วงสัปดาห์เดียวกัน
การรักษา/การดูแล
Confirmed case with mild symptoms and no risk factor
แนะนำให้นอนโรงพยาบาล 2-7 วัน ดูแลรักษาตามอาการ
ให้ยา 2 ชนิดนาน 5 วัน
Chloroquine
Darunavir+Ritonavir หรือ Lopinavir/ritonavir หรือAzithromycin
Confirmed case with mild factor symptoms and risk factor
NCDs
ให้ยา 2 ชนิดนาน 5 วัน
Chloroquine/ Hydroxyhloroquineร่วมกับ
Darunavir+Ritonavir หรือ Lopinavir/ritonavir หรือAzithromycin
Confirmed case ไม่มีอาการ (asymptomatic)
นอนโรงพยาบาล 2-7 วัน เมื่อไม่มีภาวะแทรกซ้อน
พิจารณาให้พักต่อหอผู้ป่วยเฉพาะกิจอย่างน้อย 14 วัน
พักฟื้นโดยสวมหน้ากากอนามัย ระมัดระวังสุขภาพอนามัย จนครบ 1 เดือน นับจากวันที่ป่วย
Confirmed case with Pneumonia หรือ ถ้าเอ็กซเรย์ปอดปกติ แต่มีอาการหรือมีอาการแสดง เข้าได้กับ Pneumonia และ SpO2 ที่ room air < 95%
การจำหน่ายผู้ป่วย
กรณี Mild case
1.พักในโรงพยาบาล 2-7 วัน หรือ นานกว่าขึ้นกับอาการและความรุนแรงของโรค
2.เกณฑ์พิจารณาการจำหน่ายผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นและถ่ายภาพรังสีปอดไม่แย่ลง
อุณหภูมิไม่เกิน 37.8 องศาเซลเซียส ต่อเนื่อง 48 ชั่วโมง
Respiratory rate ไม่เกิน 20 ครั้ง/นาที
O2 saturation room air 95% ขึ้นไป
3.ย้ายไปหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ Covid-19 หรือโรงพยาบาลที่รัฐจัดให้
4.ออกจากโรงพยาบาลได้ โดยไม่ต้องทำ swab ซ้ำก่อนจำหน่าย
การจำหน่ายจาก Hospitel
2.หลังจากนั้นให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านจนครบ 1 เดือน
3.แนะนำให้สวมหน้ากากอนามัย และระมัดระวังสุขอนามัย
1.ผู้ป่วยพักใน Hospitel จนครบ อย่างน้อย 14 วัน นับจากวันที่เริ่มป่วย
4.ออกจาก Hospitel ได้ โดยไม่ต้องทำ swabก่อนจำหน่าย
นางสาววณิชญา เคลือบคนโท รหัสนักศึกษา 612501067