Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
3.4 การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือด และ …
3.4 การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือด และ 3.5 การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบทางเดินอาหาร
3.4 การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือด และ
Acute MI
โรคหัวใจขาดเลือด (Ischemicheart disease,IHD)
ทำให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในตําแหน่งนั้นหนาตัวขึ้น
อาการสําคัญ
อาการเจ็บเค้นอก
เหนื่อยขณะออกแรง
หมดสติหรือเสียชีวิตเฉียบพลัน
เกิดจากหลอดเลือดแดง ที่เลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจตีบหรือตันจากไขมัและเนื้อเยื่อสะสมอยู่ในผนังของหลอดเลือด
แบ่งกลุ่มอาการทางคลินิกได้ 2 กลุ่ม
ภาวะเจ็บเค้นอกคงที่ (stable angina)
กลุ่มอาการที่เกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเรื้อรัง (chronic ischemic heart disease)
เจ็บเค้นอกเป็นๆ หายๆ 3-5 นาที
หายโดยการพักหรืออมยาขยายเส้นเลือดหัวใจ
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome, ACS)
จำแนกเป็น 2 ชนิด
ST elevation acute coronary syndrome
ที่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจมีลักษณะ ST segment ยกขึ้นอย่างน้อย 2 leads ที่ต่อเนื่องกัน
หรือเกิด LBBB ขึ้นมาใหม่เกิดจากการ อุดตันของหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน
หากผู้ป่วยไม่ได้รับการเปิดเส้นเลือดที่อุดตัน ในเวลาอันรวดเร็วจะทําให้เกิด Acute ST elevation myocardial infarction
Non ST elevation acute coronary syndrome
มักพบลักษณะของคลื่น ไฟฟ้าหัวใจเป็น ST segment depression และ/หรือ Twave inversion ร่วมด้วย
มีอาการนานกว่า 30 นาทีอาจจะเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิด non-STelevation MI
หรือถ้าอาการไม่รุนแรงอาจเกิดเพียง ภาวะเจ็บเค้นอกไม่คงที่(Unstable angina)
อาการสำคัญ
เจ็บเค้นอกรุนแรงเฉียบพลัน
หรือเจ็บขณะพัก (Restangina) นานกว่า 20 นาที
การวินิจฉัยโรค
ควรนึกถึงภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (acute coronary syndrome)
มีอาการเจ็บเค้นอกรุนแรงติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 20 นาที
อมยาใต้ลิ้นแล้วไม่ได้ผล หรือมีอาการเจ็บเค้นอกเพิ่มขึ้น
ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจซ้ํา
ควรตรวจ troponin และ/หรือ cardiac enzyme
การซักประวัติ
ส่งตรวจเพิ่มเติม
การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกําลังกาย (exercise stress test)
การตรวจ cardiac imaging ชนิดต่าง ๆ
การวินิจฉัยแยกโรค
ผู้ป่วยที่มีอาการต่างไปจากลักษณะเฉพาะ
โรคที่มีอาการคล้ายคลึงกัน
ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม
การพยาบาล
เฝ้าระวังคลื่น่ไฟฟ้าหัวใจ, O2 saturation, วัดสัญญาณชีพ
Aspirin gr V (325 mg)
ให้ออกซิเจน
ให้ Isosorbide dinitrate (Isordil) 5 mg อมใต้ลิ้น
นอนพักในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก
อาการไม่ดีขึ้นพิจารณาให้ยาแก้ปวด Morphine 3-5 mg
เตรียมพร้อมสําหรับภาวะแทรกซ้อน
นําส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
บทบาทของพยาบาลฉุกเฉินในการดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติ
ประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
ตามหลัก OPQRST
O: Onset ระยะเวลาที่เกิดอาการ
P: Precipitate cause
Q: Quality ลักษณะของ อาการเจ็บอก
R: Refer pain ร้าวไปตำแหน่งใด
S: Severity ความรุนแรงของอาการเจ็บแน่นอก
T: Time ระยะเวลาที่เป็น กี่นาที
ประสานงาน
ตามทีมผู้ดูแล ให้การดูแลแบบช่องทางด่วนพิเศษ ACS fast track
ดูแลกับครอบครัวและญาติของผู้ป่วยที่มีความกังวล
ให้ออกซิเจน
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและการแปลผล
เฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของการเกิด cardiac arrest
การพยาบาลกรณี EKG show ST elevation หรือพบ LBBB ที่เกิดขึ้นใหม่
กรณีสถานพยาบาลไม่มี PCI center พิจารณา refer ส่งไปทํา Primary PCI สถานพยาบาลอื่นที่พร้อม
เตรียมความพร้อมของระบบสนับสนุนการดูแลรักษา
Pulmonary embolism
มีความผิดปกติของเลือด
เกิดลิ่มเลือดได้ง่าย (hypercoagulable states)
มีผนังหลอดเลือดดําที่ผิดปกติเกิดจากมีlocal trauma หรือมีการอักเสบ
เลือดดําไม่สามารถไปแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเกิดภาวะออกซิเจนพร่อง (hypoxia)
ก้อนลิ่มเลือดมีขนาดใหญ่ ทําให้ความดันในหัวใจห้องขวาสูงขึ้น และมีการเคลื่อน (shift)ของผนังกั้นหัวใจ
cardiac output ลดลง ความดันลดต่ำลง ช็อก และเสียชีวิต
การไหลเวียนของเลือดลดลง
จากการร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
อาการแสดง
ใจสั่น แน่นหน้าอก (pleuritic pain)
หน้ามืดเป็นลม หรือหมดสติ
หายใจเหนื่อยหอบกระทันหัน
ไอเป็นเลือดในบางราย
หายใจเร็ว
Hypoxemia
มีหลอดเลือดดําที่คอโป่ง (elevated jugular venous pressure)
ฟังปอดได้เสียงวี๊ด (wheezing) ในหลอดลม
ได้ยินเสียงการเสียดสีของเยื่อหุ้มปอด (pleural rub)
ผู้ที่มีลิ่มเลือดขนาดใหญ่ไปอุดในหลอดเลือดปอด (massive PE)จะตัวเย็น มีความดันต่ำช็อก ร่วมกับ (cyanosis)
มีลีกษณะของ deep vein thrombosis จะสนับสนุนการวินิจฉัยว่าเป็น PE
แนวทางการวินิจฉัยและการส่งตรวจห้องปฏิบัติการ
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก (chest X-ray)
เนื้อปอดบางบริเวณที่มีปริมาณหลอดเลือดลดลง (regional hypo-perfusion)
มี infiltration ที่บริเวณปอด
คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (12 leads-ECG)
ส่วนใหญ่พบว่าหัวใจเต้นเร็ว (sinus tachycardia)
การซักประวัติตรวจร่างกาย
wells scoring system
คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (echocardiography)
right ventricular dysfunction
มีลิ้นหัวใจไตรคัสปิดรั่ว (tricuspid regurgitation)
การตรวจระดับก๊าซในเลือดแดง (arterial blood gas, ABG)
hypoxemia
hypocapnia
ค่า biomarkers ต่างๆ ที่พบว่าสูงกว่าปกติ
D-dimer
การรักษา
Thrombolytic therapy
ผู้ป่วยที่มีกรณีmassive pulmonary emboli ที่มีระบบหัวใจ
และปอดทํางานผิดปกติมีผลกับ haemodynamic อย่างรุนแรง
Caval filter
ผู้ป่วยที่มี recurrent PE ทั้ง ๆ ที่ให้ยา anticoagulation
กรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถให้ยา anticoagulationได้ก็จะ พิจารณาอาจจะต้องใส่ caval
Anticoagulation
การให้ยา Coumadin ต่ออีกเวลา
การให้heparin ในหลอดเลือดดําในช่วงแรก
3.5 การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบทางเดินอาหาร
ภาวะฉุกเฉินผู้ป่วย Blunt abdominal trauma
ภาวะเลือดออก
เกิดภาวะเลือดออกในช่องท้อง Blunt abdominal trauma
ทําให้ปริมาณสารเหลวในระบบไหลเวียนลดลง
ทําให้เลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อลดลง
ภาวะแทรกซ้อน
เซลล์ขาดออกซิเจน
เนื้อเยื่อต่างๆขาดเลือด
เกิดการบวมของเซลล์
ภาวะฉีกขาดทะลุ (Perforate)
อวัยวะที่เป็นโพรงและเกิดการปนเปื้อนของสิ่งที่อยู่ในช่องท้อง
มีการรั่วของอาหาร น้ำย่อยเข้าไปในช่องท้อง
เกิดภาวะการอักเสบทั่วช่องท้อง
Peritonitis
ลักษณะ
ท้องอืด
กล้ามเนื้อทั่วท้องจะแข็งเกร็ง
ปวดรุนแรง,ปวดทั่วท้อง
ปวดท้องมากเวลาเคลื่อนไหวหรือสะเทือน
หากอักเสบรุนแรง
แบ่งความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ
ผู้ป่วยที่มีสัญญาณชีพคงที่
กดเจ็บที่ท้อง
กล้ามเนื้อหน้าท้องหดเกร็ง
ท้องอืด
ผู้ป่วยที่สัญญาณชีพปกติ
มีการบาดเจ็บที่ช่องท้องหรือไม่
กรณีที่ไม่แน่ใจควร
เฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
เพื่อสามารถวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็วไม่ล่าช้า
ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมาก Shock ท้องอืด
ต้องได้รับการผ่าตัดทันที
การบาดเจ็บช่องท้อง
Blunt injury
การบาดเจ็บที่เกิดจากแรงกระแทก
ตกจากที่สูง
การบาดเจ็บหลายแห่งร่วมกัน (multiple injuries)
อุบัติเหตุรถชน
อาการแสดงช้า การวินิจฉัยช้า ทําให้การรักษาผ่าตัดช้า
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงต้องตรวจติดตามอาการของผู้ป่วยเป็นระยะ
Penetrating trauma
การบาดเจ็บที่เกิดจากของมีคมทะลุเป็นแผล
Gun short wound
ต้องรับการผ่าตัดหากบาดแผลอยู่ใกล้ทรวงอกหรือบาดเจ็บร่วมกับทรวงอก
บาดแผลบริเวณหลังอาจทําการวินิจฉัยก่อนผ่าตัด
Stab wound
ลําไส้เล็กได้รับบาดเจ็บมากที่สุด
รองลงมาคือตับและลําไส้ใหญ่
วัตถุคาอยู่อย่าดึงออก
อาการและอาการแสดง
อาการท้องอืด
ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของลําไส้
การกดเจ็บเฉพาะที่หรือการเกร็งของกล้ามเนื้อท้อง
อวัยวะภายในบาดเจ็บ
อาการเกร็งหน้าท้อง อาจเกิดการไม่ร่วมมือในการตรวจได้
การตกเลือด
ผู้ป่วยที่เกิดภาวะช็อก
ไม่เห็นร่องรอยของการเสียเลือด เมื่อการช่วยเหลือไม่ดีขึ้นให้คํานึงถึงการตกเลือดในอวัยวะภายในช่องท้อง
อาการปวด
ปวดจากการฉีกขาดของผนังหน้าท้อง
อวัยวะภายในได้รับอันตราย
การพยาบาลเบื้องต้นในผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินจากบาดเจ็บบริเวณช่องท้อง
การดูแลระบบหัวใจและระบบไหลเวียน
ใส่สายสวนปัสสาวะตามแผนการรักษา
ติดตามบันทึกจํานวนปัสสาวะทุก 1 ชั่วโมง
การดูแลสารน้ำทดแทน โดยให้ Lactate ringer หรือ 5%D/N/2
ช่วยแพทย์เจาะท้อง เพื่อการวินิจฉัย
ประเมินภาวะเลือดออก
การบรรเทาความเจ็บปวดโดยวิธีการใช้ยาตามแผนการรักษาและวิธีการไม่ใช้ยา
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
ประเมินว่าผู้บาดเจ็บได้รับอากาศเพียงพอ
ดูแลผู้บาดเจ็บให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
การเฝ้าระวัง
การประเมินเบื้องต้นคือ
ระบบผิวหนังและเยื่อเมือก
ระบบสูบฉีดโลหิตและไต
ระบบประสาทส่วนกลางได้แก่ ระดับความรู้สึกตัว
ให้การพยาบาลเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัว
🔻
🔻
กมลลักษณ์ จันทร์ศิริ 6001210163 เลขที่ 7 Sec A