Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแต่ละชนิด,…
การดูแลเด็กโรคมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดแต่ละชนิด
Metrotrexate
(MTX)
อธิบายให้มารดาและผู้ป่วยเด็กเข้าใจถึงภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดภาวะเลือดออกในกระเพาะปัสสาวะเพื่อเตรียมความรู้ก่อนการให้ยาเคมีบำบัด
ดูแลได้รับสารละลายทางหลอดเลือดดำ5% DN/2 1000 ml iv 80 ml/hr.ตามแผนการรักษาเพื่อป้องกันอันตรายของยาเคมีบำบัดต่อกระเพาะปัสสาวะ
แนะนำให้มารดากระตุ้นให้ผู้ป่วยดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 1,500 ml เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ ที่จะส่งผลต่อระบบทางเดินปัสสาวะ
สอบถามอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเช่น ปัสสาวะมีเลือดปน ปวดขณะปัสสาวะลักษณะของปัสสาวะผิดปกติ เช่น สีเข้ม ปริมาณน้อย หรือมีเลือดปนเพื่อให้การดูแลอย่างทันท่วงที
บันทึกปริมาณปัสสาวะเข้าทุก 8 ชั่วโมง
เพื่อประเมินการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ
ติดตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ Urinalysis, BUN, Creatinine เพื่อประเมินการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะ
L-asparaginase
อธิบายให้ครอบครัวผู้ป่วยเด็กทราบชนิดของยาเคมีบำบัดที่ได้รับ ตลอดจนผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นและการทดสอบการแพ้เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความร่วมมือในการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็ก
ดูแลให้ได้รับการ Test dose L-asparaginase ก่อนการให้ยา L-asparaginase
ประเมินลักษณะของตุ่มที่เกิดจากปฏิกิริยา
การแพ้ 1 ชั่วโมงหลังการ Test dose
L-asparaginase หากพบตุ่มน้ำนูน หรือแดงให้ผลเป็นบวก รายงานแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษา
ตรวจวัดสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมงเพื่อ
ประเมินปฏิกิริยาการแพ้
Doxorubicin
เนื่องจากผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยทุกรายจึงจะได้รับยาฉีดป้องกันอาการคลื่นไส้อาเจียนก่อนรับยาเคมีบำบัดประมาณ 30 นาที
ยาเคมีบำบัดทุกชนิดอาจทำให้เกิดอาการแพ้ยาได้ หากรู้สึกแน่นหน้าอก หัวใจเต้นผิดปกติ ใจสั่น เวียนศีรษะ หายใจติดขัด ต้องแจ้งพยาบาลทันที
ยา Doxorubicin มีสีแดง และมีความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อสูง ถ้ามีอาการเจ็บแสบผิดปกติระหว่างให้ยาต้องรีบแจ้งพยาบาลทันที
ผู้ป่วยอาจได้รับน้ำแข็งให้อมระหว่างการให้ยาเพื่อป้องกันอาการข้างเคียงที่ทำให้เกิดเยื่อบุปากอักเสบและเจ็บได้
Cyclophosphamide
พิษต่อหัวใจ
แบ่งขนาดยาที่ให้ทั้งหมดเป็น 2-3 doses แลวแบ่งให้เป็นเวลา 2-3 วันแทนที่จะให้ครั้งเดียวหมดเพื่อป้องกันพิษต่อหัวใจ
กรณีมีความเป็นพิษแล้วให้รักษาตามอาการ โดยการใช้ยาขับปัสสาวะ ะ ACE inhibitors (after load-reducers), beta-blocker, digoxin, antiplatelet หรือ anticoagulant เช่นเดียวกับการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากยากลุ่ม anthracyclines อาจช่วยให้ผู้ป่วยคืนสู่ภาวะปกติได้
การพยาบาล
ประเมินความผิดปกติของเม็ดเลือด เช่น ฮีโมโกลบินน้อยกว่า 10-20 กรัม เม็ดเลือดขาวน้อยกว่า
5,000 – 10,000 mm3 (อาจดูจํานวนนิวโตรฟิล น้อยกว่า 1,000 mm3) เกล็ดเลือดน้อยกว่า 70,000 –100,000 mm3 และการมีเลือดออกได้ง่าย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาต่อไขกระดูกอันนํามาซึ่งการติดเชื้อและมีภาวะเลือดออกได้ง่าย จะต้องดูแลในเรื่องการป้องกันการติดเชื้อดังนี้
ควรจัดห้องเฉพาะให้เด็กถ้าสามารถจัดได้
สอนเด็กให้รู้จักวิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัส โดยเฉพาะหัด สุกใส เริม และงูสวัด เพราะจะทําให้มี
อาการรุนแรงมากขึ้น
ห้ามผู้ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจเข้าเยี่ยมเด็กป่วย
ตรวจสอบอาการนําของการติดเชื้อ
การรักษาความสะอาดของร่างกาย ของใช้ สิ่งแวดล้อม
สอนญาติให้ระวังเรื่องสายยางและบริเวณที่ฉีดยา (Central venous catheter)
สอนให้รู้จักหลีกเลี่ยง ควันหรือสิ่งที่จะระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูกและกระตุ้นให้มีการออกกําลังกายให้
ปอดขยายตัวได้เต็มที่
ในเด็กที่ใส่สายยางสวนปัสสาวะทิ้งไว้ตลอดเวลา ควรสอนวิธีรักษาความสะอาดละการติดเชื้อใน
ทางเดินปัสสาวะอย่างเข้มงวด
ระมัดระวังของมีคม หรือของเล่นที่จะทําให้เกิดบาดแผลได้ ดูแลผิวหนังไม่ให้มีรอยขีดข่วน หรือจุด
เลือดออก
เลือกกิจกรรมการเล่นที่ไม่เสี่ยงและไม่ใช้ออกซิเจนมาก เช่น ฟังเพลง ดูวีดีโอ เล่นเกมส์ต่าง ๆ ระบาย
สี เป็นต้น
การฉีดยาต้องใช้เข็มที่คม และเล็ก ใช้เวลาที่รอยเข็มประมาณ 3-5 นาที
ใช้แปรงสีฟันที่นุ่มไม่ทําให้เกิดระคายเคืองต่อเหงือก
หลีกเลี่ยงการวัดปรอททางก้นหรือสวนอุจจาระ เพราะเส้นเลือดที่ทวารหนักเปราะและแตกง่าย
หลีกเลี่ยงการใช้ยา Aspirin เพราะจะไม่มีผลต่อเกล็ดเลือดโดยตรง
ประเมินความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น เยื่อบุปากอักเสบ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และการเผาผลาญในร่างกายสูง เนื่องจากผลข้างเคียงของยาซึ่งจะต้องมีการระมัดระวังดูและเป็นพิเศษ
ควรให้บ้วนปากด้วยน้ําเกลืออุ่น ๆ ไม่ใช้ยาจะระคายเคืองต่อเยื่อบุได้
วางแผนการให้อาหารและนม ควรเลือกอาหารที่มีกากน้อย ย่อยง่าย มีโปรตีน ไวตามิน และให้
แคลอรี่สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดที่จะระคายเคืองเยื่อบุได้
ควรจัดอาหารให้เด็กเลือก 1-2 อย่าง จัดอาหารเหลวระหว่างมื้ออาหารหลักหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นจะทําให้คลื่นไส้ได้งดอาหารที่มีส่วนผสมของแคฟีอีนและอาหารที่มีสีแดง ในเด็กบางรายจะชอบเครื่องดื่มที่เย็น ๆ
รายที่อาเจียนจะต้องประเมินภาวะขาดน้ํา และชั่งน้ําหนักทุกวัน เพื่อการประเมินปริมาณน้ําทาง
หลอดเลือดดํา
เด็กโตสอนให้รู้จักวิธีตวงน้ําดื่มและอาหารเหลวด้วยตนเอง
สอนเด็กและบิดา – มารดาที่จะงดอาหารที่มีแก็ส
มากๆ ไขมันมากหรือมีเส้นใยมาก
สอนให้สังเกตเกี่ยวกับอาการผิดปกติที่แสดงถึงความไม่สมดุลของอีเลคโทรไลต์ เช่น เวียนศีรษะ
หน้ามืด ไม่สุขสบาย
ประเมินอาการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกาย (Body image) เช่น ผมร่วง ผิวหนังสีเข้มใบหน้ากลม
น้ําหนักเพิ่ม จากการคั่งของเกลือและน้ํา บางรายมีกล้ามเนื้ออ่อนแอ
จัดสิ่งทดแทน เช่น หมวกหรือผ้าคลุมผม วิกผมโดยเฉพาะวัยรุ่น และให้เด็กทราบว่าผมจะขึ้นมาใหม่
เมื่อหยุดยา 3-6 เดือน
สอนวิธีดูแลรักษาความสะอาดของผิวหนังที่สีเปลี่ยนแปลงไป
ช่วยดูแลให้เด็กได้รับยาเคมีอย่างถูกวิธี
ตรวจผู้ป่วยก่อนให้ยา เช่น ชั่งน้ําหนัก ดูอาการอ่อนเพลีย ตับม้ามโต การขับถ่ายปัสสาวะ อาการ
เจ็บป่วยร่วมด้วย ดูค่าเม็ดเลือดแดง ขาว และเกล็ดเลือดทุกครั้ง
เตรียมยาจะต้องป้องกันมิให้ละอองของยาแพร่กระจายไปในอากาศไม่ว่าจะหักหลอดยา ดูดยา หรือ
ใส่ฟองอากาศควรใช้ก๊อสหุ้มตามรอยข้อต่อของเข็มฉีดยา และวัสดุที่เปื้อนยาทุกชนิดจะต้องทิ้งลงในภาชนะที่ปิดฝาอย่างดี
ให้ยาทางหลอดเลือดดํา ควรใช้เข็มเบอร์เล็กให้สารน้ําก่อนจึงฉีดยาเข้าอย่างช้า ๆ หลังฉีดให้สารน้ํา
ทางหลอดเลือดดําตามอีกเพื่อลดการค้างของยาในหลอดเลือดซึ่งจะเกิดการอักเสบได้
เมื่อยารั่วซึมออกนอกเส้นเลือดจะต้องหยุดทันที พยายามดูดออกและประคบด้วยความเย็นนาน
15-20 นาทีทุก 1 ชั่วโมงประมาณ 1 วัน ยกเว้นยาชื่อวินคริสตินควรใช้น้ําร้อนจะช่วยลดการอักเสบของ
ผิวหนังได้บ้าง
ติดตามผลการตรวจเลือดก่อนให้ยาโดยเฉพาะ C.B.C และ Blood chemistry เพราะอาจจะต้อง
งดยา ถ้าเด็กซีด เม็ดเลือดขาวต่ํา หรือหน้าที่ของตับผิดปกติ
นางสาวยุพเรศ บุญคงแก้ว 612601050