Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือดและระบบทางเดินอาหาร, นาย…
การพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินในระบบหัวใจและหลอดเลือดและระบบทางเดินอาหาร
ระบบทางเดินอาหาร
แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
Blunt injury หรือการบาดเจ็บที่เกิดจากแรงกระแทก
อวัยวะที่พบได้บ่อยได้แก่ การบาดเจ็บของตับ ม้าม
เกิดจากอุบัติเหตุรถชน หรือตกจากที่สูง มักเกิดการบาดเจ็บหลายแห่งร่วมกัน (multiple injuries)
Penetrating trauma หรือการบาดเจ็บที่เกิดจากของมีคมทะลุเป็นแผลนั้น
Gun short wound ส่วนใหญ่ต้องรับการผ่าตัดหากบาดแผลอยู่ใกล้ทรวงอกหรือบาดเจ็บร่วมกับทรวงอก
Stab wound หากพบวัตถุคาอยู่อย่าดึงออก พบว่า 1/3 ถูกแทงแต่ไม่ทะลุ peritoneum 2/3 เกิดอาการแทงทะลุ peritoneum
ลักษณะและอาการแสดง
อาการท้องอืด
ไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของลําไส้
การกดเจ็บเฉพาะที่หรือการเกร็งของกล้ามเนื้อท้อง
ในผู้ป่วยที่เกิดภาวะช็อก ที่ไม่เห็นร่องรอยของการเสียเลือด เมื่อการช่วยเหลือไม่ดีขึ้นให้คํานึงถึงการตกเลือดในอวัยวะภายในช่องท้อง
อาการปวด เมื่อเกิดบาดแผลการปวดเกิดได้ 2 กรณี
ปวดจากการฉีกขาดของผนังหน้าท้อง
ปวดจากอวัยวะภายในได้รับอันตราย
ภาวะฉุกเฉินผู้ป่วย Blunt abdominal trauma
แบ่งความรุนแรง 3 ระดับ
ผู้ป่วยที่มีสัญญาณชีพคงที่ แต่มีอาการแสดงของการบาดเจ็บช่องท้อง ได้แก่ กดเจ็บที่ท้องกล้ามเนื้อหน้าท้องหดเกร็ง ท้องอืด มีเวลาตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม สามารถรอการผ่าตัดได้
ผู้ป่วยที่สัญญาณชีพปกติ ไม่มีอาการของการบาดเจ็บที่ช่องท้องชัดเจน
ผู้ป่วยที่มีอาการหนักมาก Shock ท้องอืด มีเลือดออกในช่องท้องจํานวนมาก ต้องได้รับการผ่าตัดทันที
ภาวะเลือดออก
สาเหตุของการเกิด ภาวะเลือดออกในช่องท้อง Blunt abdominal traumaคือเกิดการเสียเลือดเป็นผลมาจากการฉีกขาดของอวัยวะภายใน
เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ คือ เกิดการบวมของเซลล์ ทําให้เซลล์ขาดออกซิเจน เนื้อเยื่อต่างๆ ขาดเลือด
ภาวะฉีกขาดทะลุ (Perforate)
มีอาการปวดรุนแรงมาก ปวดทั่วท้อง กล้ามเนื้อทั่วท้องจะแข็งเกร็ง และจะปวดมากเวลาเคลื่อนไหวหรือสะเทือน ท้องอืด
มีการรั่วของอาหาร น้ําย่อยเข้าไปในช่องท้องเกิดภาวะการอักเสบติดเชื้อในช่องท้อง ทําให้เกิดการอักเสบทั่วช่องท้อง
การพยาบาลเบื้องต้น
การดูแลระบบทางเดินหายใจ
1) ประเมินว่าผู้บาดเจ็บได้รับอากาศเพียงพอ ไม่มีการอุดตันของทางเดินหายใจ ถ้ามีให้เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
2) ดูแลผู้บาดเจ็บให้ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะผู้บาดเจ็บ Blunt abdominaltrauma ที่อาจเกิดภาวะช็อกได้ ถ้าหายใจเองได้ให้ O2 8-9 ลิตร/นาที แต่ถ้าหายใจเองไม่ได้ให้ใส่ท่อช่วยหายใจ
4) ส่งผู้ป่วยไปถ่ายภาพรังสีตามแผนการรักษา
3) กําจัดสาเหตุที่ทําให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ
การดูแลระบบหัวใจและระบบไหลเวียน
1.ช่วยเหลือป้องกันภาวะช็อกอย่างเร่งด่วน การดูแลสารน้ําทดแทน โดยให้ Lactate ringer หรือ 5%D/N/2
2.การบรรเทาความเจ็บปวดโดยวิธีการใช้ยาตามแผนการรักษาและวิธีการไม่ใช้ยา
3.ให้การพยาบาลเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยและครอบครัว
4.การเฝ้าระวัง การประเมินเบื้องต้นคือ ระบบประสาท กลางได้แก่ระดับความรู้สึกตัว ระบบผิวหนังและเยื่อเมือก ระบบสูบฉีดโลหิตและไต
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
แบ่งอาการทางคลินิกได้ 2 กลุ่ม
ภาวะเจ็บเค้นอกคงที่ (stable angina)
ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บเค้นอกเป็นๆ หายๆ อาการไม่รุนแรง ระยะเวลาครั้งละ 3-5 นาทีหายโดยการพักหรืออมยาขยายเส้นเลือดหัวใจเป็นมานาน กว่า 2 เดือน
ภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute coronary syndrome, ACS)
ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บเค้นอกรุนแรงเฉียบพลัน หรือเจ็บขณะพัก (Rest angina) นานกว่า 20 นาทีหรือ เจ็บเค้นอกซึ่งเกิดขึ้นใหม่ หรือรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
อาการนําที่สําคัญ
กลุ่มอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวทั้งชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
อาการ
กลุ่มอาการที่เกิดจากภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้มาด้วยอาการเหนื่อยซึ่งเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน หายใจหอบ นอนราบไม่ได้แน่นอึดอัด หายใจเข้าไม่เต็มปอดอาจมีอาการเจ็บเค้นอกร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้
อาการที่เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นๆ หายๆ มาเป็นเวลานานส่วนหนึ่ง
อาการเนื่องจากความดันโลหิตต่ําเฉียบพลัน
อาการ
ความดันโลหิตลดต่ําลงจนเกิดอาการ หน้ามืด เวียนศีรษะเป็นลม ร่วมกับอาการแน่นหน้าอกซึ่งจัดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยใน ผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นบริเวณกว้าง
เหนื่อยง่ายขณะออกแรง
อาการ
อาการเหนื่อยขณะออกกําลังที่เกิดขึ้นเฉียบพลันภายใน 1–2 สัปดาห์
อาการเหนื่อยขณะออกกําลังที่เกิดขึ้นเรื้อรังเกินกว่า 3 สัปดาห์ขึ้นไป
อาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
อาการ
ผู้ป่วยหัวใจขาดเลือดอาจมาด้วยภาวะแทรกซ้อนที่ทําให้เกิดอาการหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้นกะทันหันจนอาจถึงขั้นเสียชีวิตถ้าไม่ได้รับการกู้ชีพทันท่วงที
การรักษา
ต้องทําการกระตุกไฟฟ้าหัวใจด้วยพลังงานสูงสุดสลับกับการกู้ชีพเบื้องต้น ในผู้ป่วยที่คลื่นไฟฟ้าหัวใจแสดงลักษณะVentricular tachycardia หรือventricular fibrillation
ควรพิจาณาใส่สายกระตุ้นหัวใจชั่วคราว (temporary pacemaker) ในผู้ป่วยที่มีทางเดินไฟฟ้าหัวใจติดขัดระดับ 3 (3rd degree AV block)
การช่วยหายใจ และนวดหัวใจจากภายนอก (cardiac massage)
ควรให้การรักษาเพื่อแก้ไขภาวะช็อก
ควรพิจารณาให้การรักษาภาวะหัวใจขาดเลือด
กลุ่มอาการเจ็บเค้นอก
การรักษา
ถ้าผู้ป่วยเคยได้รับยาอยู่แล้ว ให้ใช้ยาที่ได้รับจากแพทย์ตามความเหมาะสม
หากอาการแน่นหน้าอกไม่ดีขึ้น หลังได้ยาอมใต้ลิ้น พิจารณาให้ยาแก้ปวด Morphine 3-5 mg เจือจางทางหลอดเลือดดํา
ให้ Isosorbide dinitrate (Isordil) 5 mg อมใต้ลิ้น ถ้าความดันซิสโตลิก > 90 mmHg ให้ซ้ําได้ทุก 5นาที (สูงสุด 3 เม็ด) หากอาการแน่นหน้าอกไม่ดีขึ้น
เตรียมพร้อมสําหรับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ให้ Aspirin gr V (325 mg) 1 เม็ด เคี้ยวแล้วกลืน ถ้าไม่มีประวัติแพ้ยา Aspirin
เฝ้าระวังคลื่นไฟฟ้าหัวใจ, O2 saturation, วัดสัญญาณชีพ
นอนพักในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก และให้ออกซิเจน
นําส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
อาการ
อาการเจ็บแน่นหรืออึดอัดบริเวณหน้าอก หรือปวดเมื่อย หัวไหล่หรือปวดกราม หรือจุกบริเวณลิ้นปี่ เป็นมากขณะออกกําลังซึ่งอาการเจ็บเค้นอก
บทบาทของพยาบาลฉุกเฉิน ในการดูแลผู้ป่วยระยะวิกฤติ
ประสานงาน ตามทีมผู้ดูแลผู้ป่วยกลุ่มหัวใจขาดเลือด เฉียบพลัน ให้การดูแลแบบช่องทางด่วนพิเศษACS fast track
ให้ออกซิเจน เมื่อมีภาวะ hypoxemia (SaO2 < 90% or PaO2 < 60 mmHg)
ประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว ตามหลัก OPQRST
6) T: Time ระยะเวลาที่เป็น หรือเวลาที่เกิดอาการที่ แน่นอน ปวดนานกี่นาที
5) S: Severity ความรุนแรงของอาการเจ็บแน่นอก หรือ Pain score
4) R: Refer pain สำหรับอาการเจ็บร้าว อาจให้ผู้ป่วยชี้ด้วยนิ้วว่าเจ็บตรงไหน เจ็บร้าวไปที่ไหนตำแหน่งใดบ้าง
3) Q: Quality ลักษณะของ อาการเจ็บอก
2) P: Precipitate cause สาเหตุชักนําและการทุเลา
1) O: Onset ระยะเวลาที่เกิดอาการ
กํารตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและการแปลผล พยาบาลต้อง ตัดสินใจตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจทันที โดยทําพร้อมกับการ ซักประวัติ เพราะต้องอ่านแปลผลภายใน 10 นาที
การพยาบาลกรณี EKG show ST elevation หรือพบ LBBB ที่เกิดขึ้นใหม่ พยาบาลต้องเตรียมผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาโดยการเปิดหลอดเลือดโดยเร่งด่วน
เฝ้าระวังอาการและอาการแสดงของการเกิด cardiac arrest
พยาบาลต้องประสานงาน จัดหาเครื่องมือประเมินสภาพและดูแลรักษาผู้ป่วยให้เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ เพื่อให้ปฏิบัติงานได้สะดวก รวดเร็วและสอดคล้องกับแนวทางการดูแลรักษาที่กำหนด
เตรียมความพร้อมของระบบสนับสนุนการดูแลรักษา
9.ปรับปรุงระบบส่งต่อผู้ป่วยให้รวดเร็วและปลอดภัย
นาย พิชยุตม์ อยู่ประเสริฐ 6001210637 sec B