Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก - Coggle Diagram
โครงสร้างและหน้าที่ของพืชดอก
เนื้อเยื่อพืช
เนื้อเยื่อเจริญ
เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง (lateral meristem)
เนื้อเยื่อเจริญด้านข้างเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่
ทางด้านข้างของรากหรือลำต้นทำการแบ่งตัว
ทำให้เพิ่มขนาดของรากหรือลำต้น
เนื้อเยื่อเจริญที่ข้อ (intercalary meristem)
เนื้อเยื่อเจริญเหนือข้อ เป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่เหนือ
โคนปล้องหรือเหนือข้อทำให้ปล้องยืดยาวขึ้น
เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem)
เนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายเป็นเนื้อเยื่อเจริญที่อยู่
บริเวณปลายยอดหรือปลายราก รวมทั้งที่ตา
(bud) ของลำต้นของพืช เมื่อแบ่งเซลล์แล้วทำให้
ปลายยอดหรือปลายรากยืดยาวออกไปได้
เนื้อเยื่อถาวร
เนื้อเยื่อถาวรเชิงเดี่ยว (Simple permanent tissue)
เอพิเดอร์มิส (epidermis)
คือ เนื้อเยื่อที่อยู่ด้านนอกสุดของ
ส่วนต่างๆของพืชมักเรียงตัวชั้นเดียว ประกอบด้วย
เซลล์เอพิเดอร์มิส (epidermal cell)ผนังเซลล์ที่อยู่ด้านนอก
มักหนากว่าผนังที่อยู่ด้านในมีคิวทิน (cutin)
เคลือบผนังเซลล์ เนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิสทำหน้าที่
ปกคลุมและป้องกันอันตรายให้แก่พืช
พาเรงคิมา (parenchyma)
เนื้อเยื่อชนิดนี้พบได้ทั่วๆ ไป
ในพืช ประกอบด้วยเซลล์พาเรง-คิมา (parenchyma cell)
ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลส (cellulose)เป็นส่วนใหญ่
อาจมีเฮมิเซลลูโลส (hemicellulose) และเพกติน (pectin)บ้าง
เนื้อเยื่อพาเรงคิมามีหน้าที่เก็บสะสมเม็ดแป้งหยดน้ำมัน น้ำ
เกลือแร่ และหลั่งสารพวกแทนนิน ฮอร์โมน เอนไซม์
และน้ำหวานของดอกไม้
คอลเลงคิมา (Collenchyma)
เป็นเนื้อเยื่อที่มีเซลล์คอลเลงคิมา
รูปร่างคล้ายคลึงกับพาเรงคิมา ผนังเซลล์ประกอบด้วยเซลลูโลส
มีหน้าที่เสริมสร้างความแข็งแรงให้กับพืช
สเกลอเรงคิมา (Sclerenchyma)
เนื้อเยื่อชนิดนี้ประกอบด้วยเซลล์ที่มีผนังหนามาก มีผนังเซลล์ทั้งปฐมภูมิ (Primary cell wall) และผนังเซลล์ทุติยภูมิ(Secondary cell wall) เพราะมีสารลิกนิน (lignin)เคลือบผนังเซลล์ทุติยภูมิจึงเป็นส่วนที่ทำให้พืชมีความแข็งแรง สเกลอเรงคิมา ประกอบด้วยเซลล์ 2 ชนิด คือไฟเบอร์ (Fiber) และสเกลอรีด (Sclereid) ซึ่งแตกต่างกันที่รูปร่างของเซลล์
เอนโดเดอร์มิส (Endodermis)
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ด้านนอกของเนื้อเยื่อลำเลียงของราก เป็นเนื้อเยื่อที่มีเซลล์คล้ายพาเรงคิมาแต่ที่ผนังเซลล์มีสารลิกนินและซูเบอริน (Suberin) (ซึ่งเป็นสารพวกขี้ผึ้ง) มาพอกหนา เซลล์เรียงตัวกันแน่นจนไม่มีช่องว่างระหว่างเซลล์
คอร์ก (cork หรือ phellem)
เป็นเซลล์ที่พบด้านนอกสุดของลำต้น กิ่ง หรือรากที่มีอายุมากจากการเจริญเติบโตขั้นที่สอง (Secondary growth) มีสีน้ำตาล เป็นเซลล์ที่ซ้อนกันอยู่หลายชั้น เป็นเซลล์ที่ตายแล้วเนื่องจากมีสารพวกลินิก และซูเบอริน ซึ่งเป็นขี้ผึ้งสีน้ำตาลมาเคลือบทับผนังเซลล์เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำภายในเซลล์
เนื้อเยื่อถาวรเชิงซ้อน (Complex permanent tissue)
ไซเลม (Xylem)
ไฟเบอร์ (fiber)
เซลล์รูปร่างยาวปลายเรียว มีผนังเซลล์หนามีความเหนียวและแข็งแรงแทรกอยู่ในไซเลม เรียกว่า Xylem fiber
เทรคีด (Tracheid)
เป็นเซลล์ยาว ผนังหนามีลิกนินสะสมอยู่มากที่ผนังเซลล์ ส่วนใหญ่ที่ผนังมักมีส่วนบางๆ เป็นระยะๆ เรียกว่า พิต (pit)
ซึ่งไม่มีลิกนินสะสม พิตเป็นบริเวณที่น้ำผ่านจากเทรคีด
ของเซลล์หนึ่งไปอีกเซลล์หนึ่ง ปลายสุดของเซลล์มักแหลมมีหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุและยังสามารถส่งออกไปทางด้านข้าง
โดยผ่านพิต การลำเลียงจะเกิดได้ดีต่อเมื่อเซลล์ตายแล้ว
เซลล์พาเรงคิมา (Parenchyma)
คือ เป็นเซลล์ที่อ่อนนุ่ม ผนังบาง
อมน้ำได้ดี ทำหน้าที่สะสมอาหารพวกแป้ง เซลล์พาเรงคิมานี้เรียกว่า
ไซเลมพาเรงคิมา (Xylem parenchyma)
เวสเซลอีลีเมนต์ (vessel element)
เพราะมีลิกนินสะสมเช่นเดียวกับเทรคีดและมีพิตเช่นเดียวกับเทรคีด เซลล์มีขนาดใหญ่แต่สั้นกว่าเทรคีด ปลายทั้งสองของเซลล์ตัดเฉียงและมีรูพรุน (Perforation)เพื่อทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาตุเช่นเดียวกับเทรคีด
โฟลเอ็ม (Phloem)
ไฟเบอร์(Phloem fiber)
เป็นเส้นใยช่วยทำให้โฟลเอ็มแข็งแรง
เมื่อโตเต็มที่แล้วเซลล์จะตาย
ซีฟทิวป์เมมเบอร์ (Sieve tube member)
เป็นเซลล์ที่ยังมีชีวิตอยู่
รูปร่างทรงกระบอกด้านสุดปลายทั้งสองของเซลล์มีลักษณะเสี้ยม
ซีฟทิวป์เมมเบอร์แต่ละเซลล์จะมาเรียงต่อกันเป็นท่อยาว
เรียกว่า ซีฟทิวป์ (sieve tube) ซึ่งทำหน้าที่เป็นท่อลำเลียงอาหาร
เซลล์พาเรงคิมา (Phloem parenchyma)
มีอยู่ในกลุ่มของโฟลเอ็ม เช่น เดียวกับไซเลมบางกลุ่มทำหน้าที่ลำเลียงอาหารของทางด้านข้าง
เรียก phloem ray
เซลล์คอมพาเนียน (Companion cell)
เป็นเซลล์ขนาดเล็กอยู่ติดกับซีฟทิวป์เมมเบอร์
ความจริงทั้งซีฟทิวป์เมมเบอร์และเซลล์คอมพาเนียนนั้น
เกิดมาจากเซลล์ๆ เดียวกันซีฟทิวป์เมมเบอร์อาจมีเซลล์คอม
พาเนียนเพียง 1 หรือมากกว่า 1 ก็ได้อยู่ข้างๆ
ทำหน้าที่ช่วยเหลือซีฟทิวป์เมมเบอร์ ซึ่งไม่มีนิวเคลียสแล้ว
โครงสร้าง หน้าที่ และการเจริญเติบโตของราก
หน้าที่ของราก
ยึด(Anchorage)
พื้นดินเพื่อพยุงและค้ำจุนลำต้นไว้
ลำเลียง(Transportation)
ส่งสารต่างๆทั้งอาหาร น้ำ และแร่ธาตุไปยังเนื้อเยื่อต่างๆของพืชเพราะในรากก็มี vascular system
ดูด (Absorption)
น้ำและแร่ธาตุที่เป็นสารละลายอยู่ในดินส่งไปยังส่วนต่างๆของพืช
ชนิดของราก
จำแนกโดยอาศัยจุดกำเนิดของรากเป็นเกณฑ์
รากทุติยภูมิ (secondary root) หรือรากแขนง (lateral root หรือ branch root)
เป็นรากที่กำเนิดและเจริญเติบโตมาจากรากปฐมภูมิ ซึ่งมีต้นกำเนิดจากเนื้อเยื่อเพอริไซเคิล (pericycle) และมักงอกเอียงลงไปในดินจนเกือบขนานหรือขนานไปกับพื้นดิน
รากพิเศษ (adventitious root)
เป็นรากที่ไม่ได้เกิดมาจากรากแรกเกิด หรือรากแขนงของรากแก้ว แต่เกิดมาจากส่วนต่างๆ ของพืช
รากปฐมภูมิ (primary root) หรือรากแก้ว (tap root)
เป็นรากที่เจริญเติบโตมาจากเรดิเคิล(radicle) ในขณะที่เป็นเอ็มบริโออยู่ในเมล็ดแล้วเจริญเติบโตยืดยาวออก พุ่งลงสู่ดิน บริเวณโคนรากจะใหญ่แล้งค่อยๆเรียวลงไปจนถึงปลายราก
จำแนกโดยอาศัยลักษณะ
การแตกและขนาดเป็นเกณฑ์
ระบบรากแก้ว (tap root system)
ประกอบด้วยรากแก้วที่เจริญมาจากรากแรกเกิด เป็นรากที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เจริญได้ดีที่สุด และจะมีรากแขนงแตกออกจากเนื้อเยื่อเพอริไซเคิล (pericycle) ของรากแก้วได้แก่ ระบบรากของพืชเมล็ดเปลือย และพืชใบเลี้ยงคู่เป็นส่วนใหญ่
ระบบรากฝอย (fibrous root system)
ระบบนี้รากแก้วเจริญเติบโตไม่ดีหรือสลายไป แต่รากแขนงเจริญได้ดี มีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ ขนาดเกือบเท่าๆ กัน แผ่กระจายออกจากโคนต้นพืชเป็นกระจุก ได้แก่พืชใบเลี้ยงเดี่ยวทุกชนิด มีจำนวนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับชนิดของพืช
จำแนกตามการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง และทำหน้าที่พิเศษ (modified root)
รากยึดเกาะ (climbing root)
หรือรากอิงอาศัย เป็นรากพิเศษออกจากข้อของลำต้นเกาะไปตามหลัก กำแพง เสา เพื่อพยุงลำต้นให้เกาะสูงขึ้นไปและให้ส่วนต่าง ๆ ของพืชได้รับแสงมากขึ้น
รากสังเคราะห์แสง (photosynthetic root)
เป็นรากที่สามารถสังเคราะห์อาหารได้แตกออกจากข้อของลำต้น หรือกิ่งแล้วห้อยลงมาในอากาศ ปลายรากมีสีเขียวของคลอโรฟิลล์
รากค้ำจุน (prop root)
เป็นรากพิเศษที่ออกมาจากข้อต่างๆ
เจริญพุ่งลงดิน ทำหน้าที่ค้ำจุน พยุงลำต้น
รากหายใจ (respiratory root หรือ aerating root)
เป็นรากที่ช่วยในการหายใจ
รากสะสมอาหาร (storage root)
ได้แก่ รากทั้งชนิด รากแก้ว และรากแขนงเปลี่ยนแปลงรูปร่าง มีขนาดใหญ่ซึ่งมักจะเรียกว่า หัว ทำหน้าที่สะสมอาหารประเภทแป้ง โปรตีน น้ำตาล
รากกาฝาก (parasitic root หรือ Haustoria)
เป็นรากของพืชบางชนิดที่ดำรงชีวิตเป็นปรสิต ทำหน้าที่แย่งอาหารจากผู้ถูกอาศัย (host)
รากหนาม (thorn root)
รากที่มีลักษณะคล้ายหนาม ออกมาจากบริเวณโคนต้นของพืชพวกปาล์มบางชนิด
โครงสร้างบริเวณปลายราก
บริเวณการแบ่งเซลล์ (area of cell division หรือ region of cell division)
อยู่ถัดจากบริเวณหมวกรากขึ้นไป ประกอบด้วยเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายราก (Apical meristem) ที่ได้กล่าวมาแล้วในเรื่องเนื้อเยื่อเจริญ เซลล์มีขนาดเล็ก มีผนังเซลล์บาง
บริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว
(area of cell elongation หรือ region of cell elongation) เป็นบริเวณที่อยู่ถัดจากบริเวณการแบ่งเซลล์ขึ้นไป ประกอบด้วยเซลล์ที่ได้จากการแบ่งตัว เซลล์ในบริเวณนี้มีแวคิวโอลใหญ่ ขนาดเซลล์ขยายใหญ่ และยาวอย่างรวดเร็ว ทำให้รากยาวขึ้น เซลล์ในบริเวณนี้จะเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อเยื่อ3 ชนิดด้วยกัน
โพรแคมเบียม (procambium)
เป็นเนื้อเยื่อบริเวณส่วนกลางของรากจะเปลี่ยนแปลงเป็น ไซเลมปฐมภูมิ (primary xylem) แคมเบียม (cambium) และโฟลเอ็มปฐมภูมิ (primary phloem)
เนื้อเยื่อเจริญพื้น (ground meristem)
ได้แก่เนื้อเยื่อพื้นทั่วไป เปลี่ยนแปลงเป็นชั้นคอร์เทกซ์ (cortex) และพิธ (pith)
โพรโทเดิร์ม (protoderm)
เป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดหุ้มเนื้อเยื่ออื่นๆ ของรากไว้โดยรอบเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อเยื่อชั้นผิว (epidermis) ต่อไป
บริเวณหมวกราก (root cap)
ได้แก่ กลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวอย่างหลวมๆ อยู่ปลายราก ทำหน้าที่ ปกคลุมเนื้อเยื่อเจริญบริเวณส่วนปลาย (apical meristem) ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมาที่ได้จากการแบ่งเซลล์ของเนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายราก
บริเวณที่เซลล์เติบโตเต็มที่หรือบริเวณขนราก (area of cell differentiation หรือ region ofmaturation หรือ root hair zone)
อยู่สูงถัดจากบริเวณเซลล์ยืดตัวขึ้นมา เซลล์ในบริเวณนี้เจริญเติบโตเต็มที่แล้วมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อถาวรชนิดต่างๆ
การเจริญเติบโตขั้นแรก (primary growth)
คอร์เทกซ์ (cortex)
อยู่ถัดจากเอพิเดอร์มิสเข้าไปข้างในจนถึงเอนโดเดอร์มิส (endodermis)อาณาเขตของคอร์แทกซ์ในรากจะกว้างกว่าในลำต้น ประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมา (parenchyma) เรียงกันอย่างหลวม ๆ มีช่องว่างระหว่างเซลล์มาก คอร์เทกซ์ของรากที่ยังอ่อนอยู่ทำหน้าที่รับน้ำที่ขนรากดูดซึมผ่านไปยังไซเลม คอร์เทกซ์ของรากที่แก่แล้วทำหน้าที่สะสมอาหาร
เอนโดเดอร์มิส (Endodermis
) เป็นเซลล์แถวเดียวเหมือนกับเอพิเดอร์มิส เอนโดเดอร์มิสจะเห็นได้ชัดเจนในรากของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เซลล์ชั้นนี้เมื่อมีอายุมากขึ้นจะมีสารซูเบอริน (Suberin) หรือ ลิกนิน (Lignin)มาเคลือบทำให้ผนังหนาขึ้น ทำให้เห็นเป็นแถบหรือปลอกอยู่รอบเซลล์ แถบหนาดังกล่าวเรียกว่า แคสพาเรียนสตริป (casparian strip)
เอพิเดอร์มิส (epidermis)
เป็นเนื้อเยื่อถาวรที่เปลี่ยนแปลงมาจากโพรโทเดิร์ม เป็นเซลล์แถวเดียวอยู่ชั้นนอกสุดของราก มีคิวทินเคลือบบนผนังชั้นนอกของเซลล์ ทำหน้าที่ป้องกันเนื้อเยื่อภายในและป้องกันอันตรายต่าง ๆ จากภายนอก
สตีล (Stele)
เป็นชั้นที่อยู่ถัดจากชั้นเอนโดเดอร์มิสเข้าไป สตีลในรากจะแคบกว่า คอร์เทกซ์ สตีลประกอบด้วยชั้นต่าง ๆ คือ
มัดท่อลำเลียงหรือวาสคูลาร์บันเดิล (Vascular bundle)
ประกอบด้วยไซเลมและโฟลเอ็ม ในรากพืชใบเลี้ยงคู่จะเห็นการเรียงตัวของไซเลมที่อยู่ใจกลางราก เรียงเป็นแฉก (Arch) ชัดเจน สำหรับรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยวไซเลมมิได้เข้าไปอยู่ใจกลางราก แต่ไซเลมยังเรียงตัวเป็นแฉกและมีโฟลเอ็มแทรกอยู่ระหว่างแฉกเช่นเดียวกันจำนวนแฉกของไซเลมในรากพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีมากกว่าในรากพืชใบเลี้ยงคู่ และไซเลมเรียงกันเป็นวงล้อมรอบใจกลางรากที่เรียกว่า พิธ (Pith)
พิธ (Pith)
เป็นส่วนใจกลางของราก หรืออาจเรียกว่า ไส้ในของราก ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมา ในพืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะเห็นส่วนนี้ได้อย่างชัดเจน ส่วนในรากพืชใบเลี้ยงคู่ ใจกลางของรากจะเป็นไซเลม
เพอริไซเคิล (Pericycle)
ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมาเป็นส่วนใหญ่ เซลล์เรียงตัวเป็นแถวเดียว แต่อาจมีมากกว่าแถวเดียวก็ได้ ชั้นนี้อยู่ด้านนอกสุดของสตีล
การเกิดรากแขนง
เกิดจากเซลล์ของเพอริไซเคิลซึ่งเป็นเนื้อเยื่อชั้นนอกสุดของสตีลภายในรากเดิม โดยเพอริไซเคิลจะเปลี่ยนแปลงทำหน้าที่เป็นเนื้อเยื่อเจริญแบ่งตัวให้เซลล์ใหม่ดันออกไปทางเอนโดเดอร์มิสและคอร์เทกซ์ จนแทงทะลุออกจากเอพิเดอร์มิสไป ในขณะเดียวกันเซลล์ในรากแขนงมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์และเติบโตจนมีเนื้อเยื่อและโครงสร้างเหมือนกับรากเดิมทุกประการ บริเวณที่เกิดรากแขนงมักเป็นบริเวณเหนือขนรากขึ้นไป
การเจริญเติบโตขั้นที่ 2 (secondary growth)
เป็นการเจริญเติบโตที่ต่อเนื่องจากการเจริญเติบโตระยะที่ 1 ทำให้รากพืชใบเลี้ยงคู่ มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยการแบ่งตัวของเนื้อเยื่อเจริญ คือ วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular cambium) แบ่งตัวให้เซลล์ที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้พืชมีอายุยืนขึ้น เนื่องจากมีเนื้อเยื่อใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ ทดแทนเนื้อเยื่อเก่าที่ตายไป เพราะเซลล์พืชส่วนใหญ่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 3 ปี
การเจริญเติบโตระยะที่ 2 ของพืชท าให้ได้เนื้อเยื่อถาวรระยะที่ 2 (secondary vascular tissue) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คอร์กแคมเบียม ในรากเกิดจากเพอริไซเคิล (pericycle) จะแบ่งตัวออกไปด้านนอกให้เซลล์คอร์ก (cork)แบ่งเข้าไปด้านในให้ เฟลโลเดิร์ม (phelloderm) เนื้อเยื่อทั้งสามชั้นคือ คอร์ก คอร์กแคมเบียม และเฟลโลเดิร์มเรียก เพอริเดิร์ม (periderm)เรียก เพอริเดิร์ม (periderm)
โครงสร้าง หน้าที่ และการเจริญเติบโตของลำต้น
หน้าที่และชนิดของลำต้น
หน้าที่ของลำต้น
เป็นตัวกลางในการลำเลียง (transportation) น้ำ แร่ธาตุ และอาหาร ส่งผ่านไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช
หน้าที่พิเศษอื่นๆ เช่น ทำหน้าที่สะสมอาหาร สืบพันธุ์ (แพร่พันธุ์) สังเคราะห์ด้วยแสง และยังอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปทำหน้าที่อื่น
เป็นแกนสำหรับช่วยพยุง (supporting) กิ่งก้าน ใบ และดอกให้ได้รับแสงแดดมากที่สุด
ชนิดของลำต้น
ลำต้นเหนือดิน (aerial stem)
จำแนกตามลักษณะของเนื้อไม้
ลำต้นที่มีเนื้อไม้(woody stem) ได้แก่ลำต้นของต้นไม้ประเภทไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม
ลำต้นที่ไม่มีเนื้อไม้(herbaceous stem) ได้แก่ลำต้นของต้นไม้ประเภท ไม้ล้มลุก
ลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อทำหน้าที่พิเศษ
ลำต้นเลื้อย (creeping stem หรือ prostate stem) เป็นลำต้นที่เลื้อยไปตามผิวดินหรือผิวน้ำ และมีรากงอกออกมาจากบริเวณข้อแล้วแทงลงดินเพื่อช่วยยึดลำต้น นอกจากนี้บริวเณข้อจะมีตาเจริญเป็นลำต้นแขนงยาวขนานไปกับพื้นดินหรือผิวน้ำ ซึ่งจะงอกรากและลำต้นขึ้นใหม่ เรียกว่า ไหล (stolon หรือ runner)
ลำต้นเลื้อยพัน (Climbing stem) เป็นลำต้นที่เลื้อยหรือไต่ขึ้นที่สูง มีลำต้นอ่อนเช่นเดียวกับแบบ creeping stem ถ้ามีหลักหรือต้นไม้ที่มีลำต้นตั้งตรงอยู่ใกล้พันสิ่งที่อยู่ใกล้จะไต่ขึ้นที่สูงๆด้วยวิธีต่างๆ
มือเกาะ (Stem tendril or Tendril ciimber) เป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไปทำหน้าที่เป็นมือเกาะ(tendril) หรือยึดสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง
Root climber เป็นลำต้นที่ไต่ขึ้นที่สูงโดยใช้รากที่งอกออกมาตามข้อยึดกับหลักหรือต้นไม้
Twining stem (Twiner) เป็นลำต้นที่ปีนป่ายขึ้นที่สูงโดยใช้ลำต้นพันกับหลักเป็นเกลียว
หนาม ( Stem spine or Stem thorn) เป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนามรวมทั้งขอเกี่ยว(Hook) สำหรับไต่ขึ้นที่สูง และทำหน้าที่ป้องกันอันตราย
ลำต้นคล้ายใบ (Cladophyll หรือCladode หรือ Phylloclade) เป็นลำต้นที่เปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะ และหน้าที่คล้ายใบ ทำหน้าที่สังเคราะห์แสง และในพืชบางชนิดลำต้นมีลักษณะอวบอ้วนอมน้ำไว้ได้ด้วย
จำแนกตามลักษณะภายนอกของลำต้น
ไม้ยืนต้น (tree) มีลำต้นเป็นไม้เนื้อแข็งขนาดใหญ่ มีลำต้นหลักตั้งตรง ต้นเดียว แล้วจึงแตกกิ่งก้านบริเวณยอด โตเต็มที่สูงเกิน 5 เมตร มีอายุยืนยาวหลายปี
ไม้พุ่ม (shrub) ลำต้นมีเนื้อไม้แข็งแต่ขนาดเล็กกว่าไม้ยืนต้น และมีลำต้นหลักหลายต้น มีกิ่งก้านสาขาแยกไปมากบริเวณใกล้โคนต้น ลักษณะเป็นพุ่มสูงไม่เกิน 5 เมตร มีอายุหลายปี
ไม้ล้มลุก (herb) มีลำต้นเป็นไม้เนื้ออ่อนไม่มีเนื้อไม้
หรือมีเนื้อไม้เล็กน้อยบริเวณโคนต้น
ไม้ล้มลุกข้ามปี(biennial herb) เป็นพืชที่มีอายุ2 ปีโดยปีแรกจะเจริญเติบโตทางลำต้นและใบแล้วออกดอกออกผลในปีที่ 2 จึงจะตาย
ไม้ล้มลุกหลายปี(perennial herb) เป็นพืชล้มลุกที่มีอายุมากกว่า 2 ปี
และออกดอกออกผลทุกปี
ไม้ล้มลุกปีเดียว (annual herb) เป็นพืชอายุไม่เกิน 1 ปีเมื่อออกดอกออกผลแล้วจะตาย
ไม้เถา (Climber) เป็นพืชที่ลำต้นมีเนื้อไม้หรือไม่มีเนื้อไม้อายุปีเดียวหรือหลายปีลำต้นเลื้อยไปตามดินหรือพันสิ่งที่อยู่ใกล้เคียง โดยอาจมีอวัยวะพิเศษช่วยในการเกี่ยวยึด
ไม้รอเลื้อย (Scandent) ไม้รอเลื้อยหรือไม้พุ่มกึ่งไม้เถา เมื่อขึ้นอยู่ตามลำพังจะทรงตัวอยู่ได้โดย กิ่งก้านไม่เลื้อยทอดลงดิน ต่อเมื่ออยู่ใกล้ต้นไม้อื่นหรือสิ่งอื่น กิ่งก้านก็จะทอดเลื้อยพันสิ่งนั้นๆ
ลำต้นใต้ดิน (Underground Stem or Subterranean Stem)
เหง้า (rhizome) เป็นลำต้นที่อยู่ขนานกับผิวดิน เห็นข้อปล้องชัดเจนตามข้อมีใบเกล็ดสีน้ำตาลที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ หุ้มตาเอาไว้
ทูเบอร์(tuber) เป็นลำต้นใต้ดินสั้นๆ ที่ประกอบด้วยข้อและปล้องประมาณ 3-4 ปล้องเท่านั้นไม่มีใบเกล็ด ลำต้นมีอาหารสะสมทำให้อวบอ้วน มีตาอยู่โดยรอบซึ่งมักจะบุ๋มลงไป สามารถงอกต้นใหญ่ชูขึ้นเหนือดินในบริเวณตานั้น
บัลบ์ (bulb) หรือหัวกลีบ เป็นลำต้นใต้ดินที่ตั้งตรง อาจโผล่พ้นดินขึ้นมาบ้าง มีปล้องสั้นมากตามปล้องมีใบเกล็ดซ้อน กันหลายชั้นห่อหุ้มลำต้นเอาไว้เห็นเป็นหัวขึ้นมา ใบเกล็ดนี้จะทำหน้าที่สะสมอาหารในขณะที่ลำต้นไม่มีอาหารสะสมอยู่ ส่วนล่างของลำต้นมีรากเป็นกระจุก
คอร์ม (corm) เป็นลำต้นใต้ดินที่ตั้งตรงเช่นเดียวกับบัลบ์มีข้อปล้องเห็นชัดตามข้อมีใบเกล็ดบาง ๆหุ้ม ลำต้นหน้าที่สะสมอาหารทำให้อวบอ้วน มีตาตามข้อสามารถงอกเป็นใบโผล่ขึ้นเหนือดินหรืออาจแตกเป็นลำต้นใต้ดินต่อไปได้ส่วนล่างของลำต้นมีรากฝอยเส้นเล็ก ๆ จำนวนมาก
การเจริญเติบโตของลำต้น
การเจริญเติบโตระยะที่1 (primary growth)
ใบเริ่มแรกเกิด (leaf primodium) เป็นจุดกำเนิดของใบที่อยู่ด้านข้างที่อยู่ปลายยอดทั้ง 2 ข้างอยู่บริเวณด้านข้างของเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลายยอด ส่วนที่เป็นขอบโค้ง ใบเริ่มแรกจะเจริญต่อไปเป็นใบอ่อน ตรงซอกใบแรกเริ่มจะมีตาแรกเกิด (axillary bud)
บริเวณเซลล์ยืดตัว (region of elongation) เป็นบริเวณที่เซลล์ขยายตัวทางด้านข้างถัดจากเนื้อเยื่อเจริญส่วนปลาย (apical meristem) ลงมา
บริเวณเนื้อเยื่อเจริญ (meristematic zone) อยู่ปลายสุดของยอด ทำหน้าที่แบ่งตัวแล้วเปลี่ยนสภาพไปเป็น
โพรแคมเบียม (procambium) เป็นเซลล์ที่ย้อมติด
สีเข้มกว่าบริเวณอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงจะ
เปลี่ยนสภาพเป็นไซเลมระยะแรก (primary xylem )
และโฟลเอ็มระยะแรก (primary phloem)
กราวด์เมอริสเต็ม (ground meristem) เป็นเนื้อเยื่อเจริญส่วนที่
จะเปลี่ยนเป็นคอร์เทกซ์(cortex) และพิธ (pith)
โพรโทเดิร์ม (protoderm) คือผิวนอกสุดของลำต้น มีเซลล์เพียงชั้นเดียว หรืออาจมี2–3 ชั้นและจะเจริญเป็นเอพิเดอร์มิส (epidermis)
การจัดเรียงตัวของโครงสร้างลำต้นพืช
คอร์เทกซ์ (cortex) มีอาณาเขตแคบกว่าในราก ส่วนใหญ่เป็นเนื้อเยื่อพาเรงคิมา เซลล์ชั้นนอกที่ติดกับเอพิเดอร์มิส 2-3 แถว เป็นพวกคอลเรงคิมา และมีเนื้อเยื่อสเกลอเรงคิมาแทรกอยู่ทั่วๆ ไป ในลำต้นที่ยังอ่อนเซลล์พาเรงคิมาในชั้นคอร์แทกซ์ใกล้ๆ เอพิเดอร์มิส จะมีเซลล์พาเรงคิมา ซึ่งมีคลอโรพลาสต์อยู่ทำหน้าที่ช่วยในการสังเคราะห์ด้วยแสง
สตีล (stele) ในลำต้น ชั้นของสตีลจะกว้างมาก และจะแบ่งแยกชั้นของคอร์เทกซ์ไม่ชัดเจน ซึ่งแตกต่างจากสตีลในราก
วาสคิวลาร์บันเดิล (vascular bundle) หรือมัดท่อลำเลียง โดยทั่วๆ ไปประกอบด้วย ไซเลมอยู่ด้านใน และโฟลเอ็มอยู่ด้านนอก เรียงตัวในแนวรัศมีเดียวกัน โดยมีวาสคิวลาร์แคมเบียม (vascularcambium) คั่นกลางอยู่ ทำหน้าที่แบ่งเซลล์เพื่อให้กำเนิดไซเลม และโฟลเอ็ม
พิธ (pith) อยู่ชั้นในสุดเป็นไส้ในของลำต้น
ประกอบด้วยเนื้อเยื่อพาเรงคิมา ทำหน้าที่สะสมแป้ง สารต่างๆ
เอพิเดอร์มิส (epidermis) อยู่ชั้นนอกสุด ปกติเรียงเป็นแถวเดียวและอาจเปลี่ยนเป็นขนหนามหรือเป็นเซลล์คุม (guard cell)
ผิวด้านนอกของเอพิเดอร์มิสจะมีสารคิวทิน (cutin) เคลือบอยู่
การเจริญเติบโตระยะที่2 (secondary growth)
แคมเบียม (cambium) จะสร้างโฟลเอ็ม และไซเลมระยะที่ 2 ทุกๆ ปี จนกระทั่งลำต้นหรือรากมีขนาดใหญ่ขึ้น โดยปกติไซเลมระยะที่ 2 จะมีขนาดใหญ่และผนังหนากว่าโฟลเอ็มระยะที่ 2 มาก ดังนั้นชั้นของไซเลมระยะที่ 2 (secondary xylem) จึงหนามาก เรียกว่าเนื้อไม้ (wood) ส่วนชั้นของเปลือกไม้ (bark) ซึ่งมีโฟลเอ็มระยะที่ 1 และระยะที่ 2 อยู่จะบางกว่ามาก
ลักษณะเนื้อไม้ของพืชจะแตกต่างกันออกไปไซเลมระยะที่สอง (secondary xylem) ที่สร้างขึ้นมาในฤดูที่มีน้ำมาก เซลล์จะแบ่งตัวได้มาก มีขนาดใหญ่และผนังบาง เรียก ไซเลมที่มีลักษณะนี้ว่า สปริงวูด (springwood) ส่วนไซเลมระยะที่สอง ที่สร้างขึ้นมาในฤดูร้อน เซลล์มีขนาดเล็กและผนังหนา อยู่กันหนาแน่นทำให้เห็นเป็นเส้นๆ และมีสีเข้ม เรียก ไซเลม ลักษณะนี้ว่า ซัมเมอร์วูด (summer wood) ไซเลมทั้งสองลักษณะนี้ เกิดขึ้นในระยะเวลา 1 ปี จึงเรียกว่า วงปี (annual ring) ซึ่งเกิดทั้งในรากและลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่ ที่เป็นยืนต้น พืชมีเนื้อไม้และในพืชจำพวกสน จำนวนของวงปีบอกให้ทราบถึงอายุของต้นไม้ โดยวงปี 1 วงเท่ากับอายุ 1 ปี
แคมเบียม (cambium) ที่อยู่ระหว่างโฟลเอ็ม และไซเลมระยะที่ 1 จะแบ่งเซลล์ เซลล์ที่เกิดจากการแบ่งเข้าไปข้างในจะเปลี่ยนเป็นไซเลมระยะที่ 2 (secondary xylem) ซึ่งจะมีปริมาณมากที่สุด และเซลล์ที่เกิดจากการแบ่งออกด้านนอกจะเปลี่ยนเป็นโฟลเอ็มระยะที่ 2 (secondary phloem) ซึ่งมีปริมาณน้อยกว่า
เปลือกไม้(bark) จะนับตั้งแต่แคมเบียมออกไปด้านนอกได้แก่
โฟลเอ็มระยะที่สองหรือโฟลเอ็มทุติยภูมิ
โฟลเอ็มปฐมภูมิ คอร์เทกซ์ และเอพิเดอร์มิส
การสร้างวาสคิวลาร์ แคมเบียม (vascular cambium) ขึ้นมาก่อนโดยบางเซลล์ของพิธเรย์(pith ray)ที่อยู่ระหว่างกลุ่มท่อลำเลียงน้ำและอาหารจะเปลี่ยนมาเป็นเซลล์เจริญเรียกว่า อินเตอร์ฟาสสิคิวลาร์แคมเบียม(interfasicular cambium) และจะไปเชื่อมต่อกับแคมเบียมที่อยู่ระหว่างไซเลมและโฟลเอ็มระยะแรก เรียกว่าฟาสสิคิวลาร์ แคมเบียม (fasicular cambium) กลายเป็นวงแหวน รวมเรียกว่า วาสคิวลาร์ แคมเบียม (vascular cambium)
โครงสร้าง หน้าที่ และการเจริญเติบโตของใบ
หน้าที่ของใบ
สร้างอาหารให้แก่พืชโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis)
หายใจ (respiration) เพื่อสร้างพลังงานของพืช
คายน้ำ (transpiration) เพื่อลดอุณหภูมิของใบและลำเลียงน้ำ
เกลือแร่ และอาหารให้แก่พืช
ชนิดของใบ
ใบแท้(foliage leaf)
คือใบสีเขียวที่เราพบทั่ว ๆ ไป อาจเป็นแผ่นแบนหรือเรียวเล็ก มีสีเขียว ทำหน้าที่หลักในการสังเคราะห์แสง หายใจและคายน้ำ
ใบเดี่ยว (simple leaf) คือ ใบที่มีแผ่นใบเพียงแผ่นเดียว
ติดอยู่บนก้านใบที่แตกออกจากกิ่งหรือลำต้น
ใบประกอบ (compound leaf) คือใบที่ประกอบด้วยใบจำนวนมาก
อยู่บนกิ่งเดียวกัน ใบแต่ละใบเรียกว่า ใบย่อย (leaflet)
ก้านใบย่อย เรียกว่า เพทิโอลูล (petiolule)
ใบประกอบแบบขนนก (pinnately compound leaf) มีใบย่อยออก 2 ข้างของแกนกลาง(rachis) ซึ่งเป็นส่วนที่ต่อกับก้านใบ ทั้งที่เป็นใบประกอบแบบขนนกปลายคี่ (odd-pinnate หรือ imparipinnate)
ใบประกอบแบบนิ้วมือ (palmately compound leaf) คือ ใบประกอบที่มีใบย่อยทุกใบออกมาจากต าเหน่งเดียวกันตรงปลายก้านใบ
ใบเลี้ยง (cotyledon)
คือใบแรกที่อยู่ในเมล็ด
ทำหน้าที่สะสมอาหารเพื่อเลี้ยงต้นอ่อน
ใบเกล็ด (scale leaf)
เป็นใบที่ไม่มีสีเขียว มักมีสีน้ำตาล เจริญมาจากใบแท้ทำหน้าที่ห่อหุ้มตา ยอดอ่อนทั้งบนดินและใต้ดินเพื่อป้องกันอันตราย ใบเกล็ดบางชนิดทำหน้าที่ทำหน้าที่สะสมอาหาร
ใบดอก (floral leaf)
เป็นส่วนของใบที่เปลี่ยนแปลงไปมีลักษณะคล้ายดอกมีสีสันสวยงาม ทำหน้าที่ช่วยล่อแมลงให้มาผสมเกสร ใบดอกนี้ทำหน้าที่รองรับดอกที่เรียกว่า ใบประดับ (bract หรือ floral leaf)
ใบที่เปลี่ยนแปลงไปหรือใบพิเศษ (Modified หรือ Specialized Leaf)
โดยทั่วไปใบมีหน้าที่หลักในการสังเคราะห์แสง หายใจ และคายน้ำ แต่มีใบบางชนิดเปลี่ยนรูปไปเพื่อทำหน้าที่พิเศษอื่น ๆ
มือเกาะ (Leaf tendril) เป็นใบที่เปลี่ยนไปเป็นมือเกาะ เพื่อยึดและพยุงลำต้นให้ไต่ขึ้นที่สูงได้อาจเปลี่ยนแปลงมาจากใบทั้งใบหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของใบเดี่ยวหรือใบประกอบ
ใบหนาม (Leaf spine) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นหนาม เพื่อป้องกันอันตรายต่างๆ จากศัตรูที่จะมากัดกิน และ ลดการคายน้ำ
ใบกับดักแมลง (Insectivorous leaf or Carnivorous leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นกับดักแมลง หรือสัตว์เล็กๆ ภายในกับดักมีต่อมสร้างน้ำย่อยอาหารจำพวก protease สำหรับย่อยเนื้อของแมลงหรือสัตว์ที่ถูกกักขังอยู่ เพื่อนำแร่ธาตุที่จำเป็นบางอย่างที่มีไม่เพียงพอมาใช้
ใบสะสมอาหาร (storage leaf) เป็นใบที่อวบหนาเนื่องจากเก็บสะสมน้ำหรืออาหารเอาไว้มากอาจเก็บไว้ทั้งใบ ในใบเลี้ยงของพืช หรือบางส่วน ที่ก้านใบ กาบใบ
ใบเกล็ด (scale leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นเกล็ดเล็กๆ
มักไม่มีคลอโรฟิลบางชนิดใหญ่เก็บอาหารและน้ำได้ด้วย
เกล็ดหุ้มตา (Bud scale) เป็นใบที่เปลี่ยนไปเป็นแผ่นคลุม หรือหุ้มตาเอาไว้ทำหน้าที่ป้องกันอันตราย (protective leaf) ขณะตายังอ่อน
ก้านใบกลายเป็นใบ (phyllode หรือ phyllodium) เป็นส่วนของก้านใบที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างแผ่แบนคล้ายตัวใบ ทำหน้าที่แทนใบ
ใบทุ่นลอย (buoyancy leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะส่วนของก้านใบที่พองออก ภายในมีเนื้อเยื่อเรียงตัวหลวมๆ เพื่อให้มีอากาศแทรกอยู่ ช่วยพยุงให้พืชลอยน้ำได้
ใบขยายพันธุ์ (reproductive leaf) เป็นใบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อช่วยการขยายพันธุ์ได้
ใบประดับ หรือใบดอก (Bract or Floral leaf) เป็นใบที่ทำหน้าที่ช่วยเหลือรองรับดอกอยู่บริเวณก้านดอก บางชนิดมีสีสันคล้ายกลีบดอกเพื่อช่วยล่อแมลงสำหรับผสมเกสร
ส่วนประกอบของใบ
ต้วใบ หรือแผ่นใบ (blade หรือ lamina)
มักแผ่เป็นแผ่นแบน
บาง มีขนาดใบและรูปร่างต่างกัน
เส้นใบ (vein) ซึ่งเป็นส่วนส าคัญช่วยเป็นโครงให้ใบแผ่กางอยู่ได้ ให้สังเกตเส้นกลางใบ (midrib)ซึ่งต่อเป็นเนื้อเดียวกับก้านใบ
การจัดเรียงของเส้นใบ (venation)
เส้นใบแบบขนาน ( parallel venation ) พบในพืชใบเลี้ยงเดี่ยว แบ่งเป็นเรียงตามยาวของใบ(plamately parallel venation) และเส้นใบขนานกันตามขวางของใบ (pinately parallel venation )
เส้นใบแบบร่างแหหรือตาข่าย ( netted หรือ recticulated venation ) พบในพืชใบเลี้ยงคู่มี 2 แบบ คือ แบบตาข่ายขนนก ( pinnately netted venation ) และ ตาข่ายแบบรูปมือ ( palmately netted venation )
รูปร่าง (shape) ของแผ่นใบ พิจารณาจากอัตราส่วน
ตามความยาวและ ความกว้างของแผ่นใบ
ปลายใบ (apex) ฐานใบ (base) และขอบใบ (margin)
รูปแบบและชื่อเรียกแตกต่างกัน
ก้านใบ (petiole)
คือส่วนที่ต่อระหว่างตัวใบกับลำต้นหรือกิ่ง ก้านใบของพืชใบเลี้ยงคู่ มักมีลักษณะกลม แต่พืชใบเลี้ยงเดี่ยวจะแผ่เป็นแผ่นแบบหุ้มลำต้นและตาไว้เรียกว่า กาบใบ (sheath)
หูใบ (stipule)
คือส่วนที่ยื่นออกมาจากโคนก้านใบตรงที่ต่อกับ
ลำต้นมักมีสีเขียว อาจมี1 หรือ 2 หูใบมีรูปร่างหลายแบบ
โครงสร้างภายในของใบ
เอพิเดอร์มิส(epidermis)
ได้แก่ ผิวที่ปกคุลมแผ่นใบทั้งด้านบนและด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์มีความหนาเพียงชั้นเดียวภายในเซลล์ไม่มีคลอโรพลาสต์ (chloroplast) ยกเว้นเซลล์ผิวบางเซลล์ ที่เปลี่ยนสภาพไปเป็นเซลล์คุม (guardcell) เพื่อทำหน้าที่คายน้ำทางปากใบ (stomata)
มีโซฟิลล์ (mesophyll)
เป็นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างผิวใบ
ด้านบนและล่าง ประกอบด้วยเซลล์คลอเรงคิมา
สปันจี มีโซฟิลล์ (spongy mesophyll)
เป็นชั้นที่อยู่ติดกับผิวใบด้านล่าง ประกอบด้วยเซลล์พาเรงคิมา (parenchyma) ภายในเซลล์มีคลอโรพลาสต์ที่มีรูปร่างกลมหรือไม่แน่นอน เรียงตัวหลวม ๆ มีช่องว่างระหว่างเซลล์มาก ท าให้เซลล์สัมผัสกับอากาศภายในใบได้มาก จึงมีการแลกเปลี่ยนแก๊ส และการระเหยของไอน้ าออกมาสะสมไว้ในช่องว่าง (air chamber)
พาลิเสด มีโซฟิลล์ (palisade mesophyll)
เป็นชั้นที่อยู่ติดกับผิวใบด้านบนประกอบด้วยพาเรงคิมา (parenchyma) ที่มีรูปร่างยาวเรียงเป็นแถวอัดกันแน่น อาจมีแถวเดียวหรือหลายแถว มีคลอโรพลาสต์มาก
กลุ่มมัดท่อลำเลียง หรือเส้นใบ (vein)ประกอบด้วยไซเลมและโฟลเอ็ม ทำหน้าที่ลำเลียงน้ำ เกลือแร่ และอาหาร เส้นใบเหล่านี้แผ่กระจายอยู่ในสปันจีมีโซฟิลล์ เส้นกลางใบจัดว่าเป็นเส้นใบที่มีขนาดใหญ่กว่าเส้นใบทั่วไป ประกอบด้วยเวสเซล (vessel)เทรคีด (tracheid) ซีฟทิวป์ (seive tube) และคอมพาเนียนเซลล์ (companion cell) นอกจากนั้นยังมีพวกเซลล์ไฟเบอร์ (fiber) คอลเลนคิมา (collenchyma) และพาเรงคิมา (parenchyma)
การแลกเปลี่ยนแก๊สของพืช
จากการศึกษาโครงสร้างภายในใบพบว่าในชั้นมีโซฟิลล์ (mesophyll) และสปันจีเซลล์ (spongy cell)ชั้นสปันจีเซลล์ (spongy cell) อยู่ระหว่างพาลิเสดเซลล์ (palisade cell) กับเอพิเดอร์มิสด้านล่าง (upperepidermis) โดยเซลล์เรียงตัวกันอย่างหลวมๆ มีช่องว่างระหว่างเซลล์เป็นจำนวนมาก พื้นที่ผิวสปันจีเซลล์(spongy cell) ได้สัมผัสกับอากาศภายในช่องว่างมากขึ้น ทำให้เกิดผลดี
บริเวณสปันจีเซลล์(spongy cell) และช่องอากาศนี้มีการแลกเปลี่ยนแก๊สสูงมาก เพราะมีพื้นที่มากและชุมชื้นในเวลากลางวัน
มีการถ่ายเทความร้อนได้เป็นอย่างดี