Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็ก ที่มีปัญหาระบบประสาทกล้ามเนื้อ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็ก
ที่มีปัญหาระบบประสาทกล้ามเนื้อ
บทบาทของพยาบาล
การรวบรวมข้อมูลภาวะสุขภาพ
ประเมินสัญญาณชีพ
ประเมินทางระบบประสาท
การตรวจพิเศษต่างๆ
การดูแลเด็กที่มีความผิดปกติทางระบบประสาท
การให้คำปรึกษาแนะนำบิดามารดาของผู้ป่วยเด็กโรคระบบประสาท
ความไม่รู้สึกตัว
ระดับความรู้สึกตัวดี (full consciousness) ตื่นรู้สึกตัวดี รับรู้ต่อเวลา บุคคล สถานที่ เป็นปกติ พฤติกรรมเหมาะสมกับวัย
ความรู้สึกสับสน (confusion) มีความผิดปกติเกี่ยวกับการตัดสินใจ
การรับรู้ผิดปกติ (disorientation) ไม่รับรู้ต่อเวลา บุคคล สถานที่ ระดับความรู้สึกตัวเริ่มลดลง
ระดับความรู้สึกตัวง่วงงุน (lethargy / drowsy) เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย มีอาการง่วงงุน พูดช้า สับสน กระตุ้นหรือปลุกจะตอบโต้ได้ปกติ แต่ถ้ากระตุ้นแล้วไม่ตอบโต้ เรียก obtundation
ระดับความรู้สึก stupor ไม่รู้สึกตัว หลับลึก แต่ยังตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรุนแรง/การกระตุ้นซ้ำๆหลายๆครั้ง เช่นเคลื่อนไหว/ส่งเสียงครางเบาๆ
ระดับหมดสติ (coma) ไม่รู้สึกตัว ไม่สามารถตอบสนองทั้งเคลื่อนไหวและวาจา ต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ
ท่าทาง (posturing) ของเด็กในภาวะไม่รู้สึกตัว
-Decorticate posturing เป็นท่านอนที่เด็กนอนหงายงอแขนทั้ง2ข้าง เข้าหาตัว ในระดับไหล่ กำมือแน่นและงอข้อมือทั้ง2ข้าง ส่วนขาทั้ง2ข้าง เหยียดปลายเท้าออก และงอปลายเท้าเข้าหากัน โดยท่านอนแบบจะพบในเด็กหมดสติที่มีการทำลายเนื้อเยื่อสมองส่วน cerebral cortex รุนแรง
ท่าทาง (posturing) ของเด็กในภาวะหมดสติ
-Decrebrate posturing ท่านอนหงาย แขน2ข้างเกร็ง เหยียดออก คว่ำแขนลงบิดข้อมือออกด้านข้าง ขาทั้ง2ข้าง เหยียดออกแยกออกจากกัน พบในเด้กหมดสติที่สมองส่วน Midbrain ไม่สามารถทำงานได้ปกติ -ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ (Reflexes) -ในช่วงหมดสติระดับลึก (deep coma) จะพบว่า reflexes ต่างๆ ของเด็กจะหายไป
Glasgow Coma Scale
ภาวะไม่รู้สึกตัว ร่วมกับการเคลื่อนไหวผิดปกติ
อาการสาคัญ คือ ชักเกร็ง ซึม ไม่ดูดนม
กรณีที่ 1 ไม่มีไข้ ความผิดปกติของสมองที่เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ (Head Injury) เนื้องอกในสมอง (Brain Tumor) โรคลมชัก (Epilepsy)
กรณีที่ 2 มีไข้ ความผิดปกติที่สมองทีเกิดจากการติดเชื้อของ เยื่อหุ้มสมอง สมองและไขสันหลัง (Meningitis ;Encephalitis;Tetanus)
กรณีที่ 3 มีไข้สูง เกิน 38 °c อายุ ประมาณ 6 เดือน – 5 ปี ไม่มีการติดเชื้อของระบบประสาทนึกถึง Febrile convulsion
การตรวจกำลังกล้ามเนื้อ
0=ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย
1=มีการหดของกล้ามเนื้อเล็กน้อย แขน ขา ขยับได้บ้าง
2=มีการหดตัวของกล้ามเนื้อขยับได้ แต่ยกแขนขาไม่ได้
3=ยกแขนขาได้โดยไม่ตก
4=ยกได้ ต้านแรงผู้ตรวจได้บ้าง
5=กล้ามเนื้อปกติ
การประเมินสภาพ
ภาวะชักจากไข้สูง
Febrile Convulsion
ปัจจัยเสี่ยง
1.อายุ
2.ความผิดปกติของระบบประสาท
3.ประวัติการชักของสมาชิกในครอบครัว
4.ไข้ที่เกิดร่วมกับการติดดเชื้อ
สาเหตุ: ติดเชื้อระบบต่างๆ ที่ไม่ใช่ระบบประสาท เช่น ทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ทางเดินหายใจ
อาการ: T>39 องศาเซลเซียส อาการชักเกิดขึ้นภายใน 24 ชม.แรกที่เริ่มมีไข้ มักเกิดในเด็ก 3เดือน-5ปี พบมากอายุ 17-24 เดือน
ชนิด
Simple febrile seizure (primary febrile seizure)
มีไข้ร่วมกับชักในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี
การชักเป็นแบบทั งตัว (generalized seizure)
ระยะเวลาการชักเกิดช่วงสั น ๆ ไม่เกิน 15 นาที
ไม่มีการชักซาในการเจ็บป่วยครั งเดียวกัน
ก่อน – หลัง ชักไม่มีอาการทางระบบประสาท
ชนิด
Complex febrile seizure
การชักเป็นแบบเฉพาะที่หรือทั้งตัว(Local or Generalized seizure)
ระยะเวลาการชักเกิดนานมากกว่า 15 นาที
เกิดการชักซาในการเจ็บป่วยครั งเดียวกัน
หลังชักจะมีความผิดปกติของระบบประสาท เด็กที่ชักชนิด complex มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคลมชัก แพทย์จะให้ยาป้องกันการชัก เช่น Phenobarbital หรือ Valproic acid
โรคลมชัก (Epilepsy)
สาเหตุ
ทราบสาเหตุ : ติดเชื อระบบประสาทส่วนกลาง,ภยันตรายระหว่างการคลอดหรือหลัง
คลอด,ภยันตรายที่ศีรษะ,ความผิดปกติของสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย,นาตาลในเลือดต่า,ความผิดปกติพัฒนาการทางสมอง,โรคหลอดเลือดสมอง,สารพิษและยา,โรคระบบประสาทร่วมกับความผิดปกติของผิวหนัง, โรคทางพันธุกรรม
ไม่ทราบสาเหตุ : จากความผิดปกติของ Neurotransmission ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีน
กลุ่มที่หาสาเหตุไม่ได้ : มีพยาธิสภาพภายในสมอง จัดอยู่ในกลุ่ม Symtomatic epilepsy
อาการและอาการแสดง
Preictal period คือ ระยะก่อนอาการชัก ประกอบด้วย 1. อาการนา (Seizure prodromes)
อาการเตือน (Aura) มีอาการปวด ชา เห็นภาพหลอน
Ictal event หรือ Peri-ictal period คือ ระยะที่เกิดอาการชัก มีระยะเวลาตั้งแต่วินาที จนถึงนาที มักจะไม่นานเกินครึ่งชั่วโมง
เกิดขึ นทันทีทันใด
เกิดในระยะเวลาสั น ๆ ไม่เกิน 5 นาทีและหยุดเอง มีส่วนน้อยที่ชักและดาเนินต่อเนื่องเป็น Status epilepticus
เกิดขึ นเองแต่บางครั งมีปัจจัยกระตุ้น
ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันทุกครั้ง
Postictal peroid คือ ระยะเวลาเมื่อการชักสิ้นสุดลงระยะนีอาจเกิดนานหลายวินาทีถึงหลายวันก็ได้ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง มีอาการได้แก่ สับสน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ 1. Postical paralysis 2. Automatism
Interictal peroid คือ ช่วงเวลาระหว่างการชักเริ่มตั งแต่ระยะเวลาหลังการชักหนึ่งสิ นสุดลงไปจนถึงเริ่มเกิดชักครั้งใหม่
ชนิดของโรคและกลุ่มอาการ
อาการชักเฉพาะที่ (Partial / Focal seizure)
1.1 ชักเฉพาะที่แบบมีสติ (Simple partial seizures
/Simple focal seizure)
1.2 อาการชักเฉพาะที่แบบขาดสติ (Complex partial
seizures /Complex focal seizure)
1.3 อาการชักเฉพาะที่ตามด้วยอาการชักทั้งตัว (Focal
with secondarily generalized seizures)
อาการชักทั้งตัว (Generalized seizures)
2.1 อาการชักเหม่อ (Absence)มีลักษณะเหม่อลอย ไม่
รู้สึกตัวชั่วครู
2.2อาการเกร็งกระตุก (Tonic clonic seizures) ชักเกร็งกระตุก
ทั งตัว ผู้ป่วยจะหมดสติ
-อาการชักกระตุก (Clonic seizures) เป็นการชักมีลักษณะกระตุก
เป็นจังหวะของอาการชัก
-อาการชักเกร็ง (Tonic seizures) เป็นการชักมีลักษณะเกร็งแข็ง
จากกล้ามเนื้อมีความตึงตัวมากขึ้น เกิดนานประมาณ 2 – 10 วินาที
-อาการชักตัวอ่อน (Atonic seizures) เป็นอาการชักที่มีการ
เสียความตึงตัวของกล้ามเนื้ออย่างทันทีเมื่อเกิดอาการชัก
-อาการชักสะดุ้ง (Myoclonic seizures) การชักที่มีลักษณะ
สะดุ้ง มีการหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงและรวดเร็วมาก
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
อาการและอาการแสดง
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
ไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดข้อ
ชักและซึมลงจนหมดสติ มีอาการคอแข็ง
(Nuchal rigidity)
ตรวจพบ Kernig sign และ
Brudzinski sign ให้ผลบวก
มีอาการที่แสดงว่าเส้นประสาทสมอง
ถูกรบกวนหรือทาลาย (คู่ที่ 3, 4, 5, 6, 7, 8)
ตรวจ Babinski ได้ผลบวก
พบNeutrophilถึง
ร้อยละ 85-95 ใน CSFประมาณ
1,000-100,000 เซลล์/คิวบิคมิลลิเมตร
โรคไข้กาฬหลังแอ่น
(Meningococcal Meningitis)
สาเหตุ: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitides เป็นเชื้อแบคทีเรียแกรมลบ
รูปร่างกลมคล้ายเมล็ดถั่ว เรียงตัวกันอยู่เป็นคู่ๆแบ่งออกเป็น 13 ซีโรกรุ๊ป คือ A, B, C, D, H, I, K, L,
X, Y, Z, 29E และ W135 ที่พบบ่อยๆ คือ ซีโรกรุ๊ป A,B, C, Y และ W135
การเก็บและส่งตรวจตัวอย่าง
วิธีทางชีวเคมี และวิธี PCR (กรณีเก็บตัวอย่างเชื้อบริสุทธ์)
วิธีตรวจหาค่า Minimum inhibition concentration (MIC)
วิธี seminested-PCR
วิธีติดต่อ
เชื้อกระจายจากช่องปาก ช่องจมูกจากคนหนึ่งสู่อีกคนโดยตรง ผ่านระบบทางเดินหายใจ เชื้อนี้ทาให้เกิดโรคได้ 3 แบบ
แบบไม่มีอาการหรืออาการน้อย เชื้อเจริญในเนโซฟาริ้งซ์ ทาให้เกิดการอักเสบเฉพาะที่เล็กน้อย มักไม่มีอาการ
แบบเชื้อแพร่เข้ากระแสเลือดหรือเลือดเป็นพิษ (meningococcemia) เชื้อเข้าในกระแสเลือด โดยเลือดจะมาหล่อเลี้ยงที่ปลายหลอดเลือดเป็นจานวนมาก ผู้ป่วยจะมีผื่น เลือดออกตามผิวหนัง
แบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitidis) เชื้อที่เข้าเยื่อหุ้มสมองทาให้เกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
อาการและอาการแสดง
ไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง อาจมีผื่นแดง
จ้ำเลือด(pink macules) ขึ้นตามผิวหนังร่วมด้วย
Meningococcemia
Acute Meningococcemia
อาการเกิดอย่างฉับพลัน มีอาการปวดศีรษะ เจ็บคอและไอ
เป็นอาการนำมาก่อน ตามด้วยไข้สูง หนาวสั่น
ปวดตามข้อและตามกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะที่ขาและหลัง
Chronic Meningococcemia
พบได้น้อย ส่วนใหญ่มักมีไข้ ผื่นตามผิวหนังอาจเป็น
ผื่นแดงจ้า ปวดและเจ็บข้ออยู่เป็นเดือน ไข้จะเป็นๆ หายๆ
Fulminant Meningococcemia
เป็นอย่างรุนแรง ระบบไหลเวียนโลหิต
ไม่ทำงาน อาจช็อคถึงเสียชีวิตได้
Meningitis มีอาการไข้ ปวดศีรษะ คอแข็ง ซึมและสับสน อาการจะแย่ลงอย่างรวด อาจพบอาการที่แสดงถึงการระคายเคืองของเยื่อหุ้มสมองผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะมีจ้าเลือดออกตามผิวหนัง
กาารักษา
Glucocorticoid therapy ก่อนการให้ยาปฏิชีวนะ 15 นาที
ยาปฏิชีวนะ เช่น Ceftriaxone /PGS/Chloramphenicol
การรักษาแบบประคับประคองและตามอาการอื่นๆ
ภาวะไม่รู้สึกตัวร่วมกับความดันในสมองสูง
โรคอุทกเศียร : น้ำไขสันหลังคั่งในโพรงสมอง : ภาวะน้ำคั่งในกระโหลกศรีษะ (Hydrocephalus)
อาการสาคัญ คือ ศีรษะโตแต่กาเนิด,กระหม่อมหน้าโป่ง,ศีรษะโตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับทรวงอก
(OF circumference > C circumference2.5cms),
ปวดศีรษะ ซึม ไม่ดูดนม อาเจียนพุ่ง
อาการและอาการแสดง
1.หัวบาตร(Cranium enlargement)
2.หัวโตกว่าปกติ
3.รอยต่อกะโหลกศีรษะแยกออกจากกัน (Suture separation)
4.รอยเปิดกะโหลกโป่งตึง (Fontanelle bulging)
5.หนังศีรษะบางและเห็นเส้นเลือดดา(Enlargement &
engorgement of scalp vein)
6.เสียงเคาะกะโหลกเหมือนหม้อแตก
( Macewen sign Cracked pot sound)
7.อาการแสดงของความดันในกะโหลกศีรษะสูง ( Sign of increase
intracranial pressure) ปวดศีรษะ , ตามัว , อาเจียน
8.ตากลอกลงล่าง กลอกขึ้นบนไม่ได้ (Setting Sun sign (Impaired
upward gaze) เนื่องจากมีการกดบริเวณ Mid brain ที่Superior colliculs
9.ตาเขเข้าในมองไปด้านข้างไม่ได้เนื่องจากCN 6TH Palsy มองเห็นภาพซ้อน(Diplopia)
10.รีเฟลกซ์ไวเกิน(Hyperactive reflex)
11.การหายใจผิดปกติ(Irregular respiration)
12.การพัฒนาการช้ากว่าปกติ(Poor development ,failure
to achieve milestones)
13.สติปัญญาต่ากว่าปกติ,ปัญญาอ่อน(Mental retardation )
14.เด็กเลี้ยงยากไม่รับประทานอาหาร(Failure to thrive)
การรักษา
1.การรักษาด้วยยา ยาขับปัสสาวะ Acetazolamide ช่วยลดการ
สร้างนาหล่อสมองและไขสันหลัง ประมาณ 25-50%
2.การรักษาด้วยการผ่าตัด
การรักษา IICP
รักษาเฉพาะ : รักษาสาเหตุที่ทาให้เกิด IICP เช่น เนื้องอก การอุดกั้นทางเดินน้าไขสันหลัง
การรักษาเบื้องต้น กรณีมีIICPสูงอย่างเฉียบพลัน
นอนราบศีรษะสูง 15 – 30 องศา
ใส่ท่อหลอดลมคอและช่วยหายใจ
การให้ยาขับปัสสาวะ (Diuretic)
การรักษาความผิดปกติที่เกิดต่อเนื่องจากพยาธิสภาพเดิม
ภาวะไม่รู้สึกตัวร่วมกับสติปัญญาบกพร่อง
อาการสาคัญคือ ไม่รู้สึกตัว เกร็งเมื่อกระตุ้น หายใจไม่มีประสิทธิภาพ การดูดกลืนบกพร่อง เลี้ยงไม่โต ข้อติดแข็ง พัฒนาการล่าช้า
มีประวัติ สมองขาดออกซิเจน นึกถึง Cerebra palsy
กล้ามเนื้อหดเกร็ง (Splastic)
1.1 Splastic quadriplegia มีความผิดปกติกล้ามเนื้อแขนขาทั้ง 2 ข้าง คอและลาตัวอ่อนผิดปกติ ศีรษะเล็ก
น้าลายไหล
1.2 Splastic diplegia มีความผิดปกติกล้ามเนื้อแขนขาทั้ง 2ข้าง ขาเป็นมากกว่าแขน
1.3 Splastic hemiplegia ผิดปกติที่แขนขาซีกใดซีกหนึ่ง
Extrapyramidol cerebral palsy (athetoidsis)
Ataxia cerebral palsy
Mixed type
อาการและอาการแสดง :
มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการช้า
ปัญญาอ่อน
อาการอื่นๆ ร่วม เช่น ชัก หูหนวก ตาบอด การรับรู้ผิดปกติปัญหาด้านการพูด
การประเมินสภาพ :
ซักประวัติ : มารดามีการติดเชื้อขณะคลอด เช่น เป็นหัดเยอรมัน คลอดท่าก้นเด็กมีพัฒนาการช้ากว่าวัย ตัวเกร็งแข็ง
ประเมินร่างกาย : เส้นรอบศีรษะไม่เพิ่มขึ้น ท่าทางการเคลื่อนไหวผิดปกติพัฒนาการไม่เป็นไปตามวัย
เป้าหมายการพยาบาลเด็้กที่ไม่รู้สึกตัว
การทำทางเดินหายใจให้โล่ง
1.จัดท่านอนของเด็กให้เหมาะสม โดยให้นอนตะแคงข้าง เพื่อป้องกันการสาลัก
2.ดูแลไม่ให้มีอาหาร หรือเศษอาหารอยู่ใน
ช่องปาก เพราะเด็กอาจสาลักได้
3.ดูดเสมหะให้เด็กเป็นระยะๆ
4.เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือให้พร้อมหากมี
ปัญหาเกี่ยวกับการอุดกั้นทางเดินหายใจ
จะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันที
แรงดันภายในสมองต้องไม่เพิ่มขึ้น
1.จัดให้เด็กนอนศีรษะสูง ประมาณ 15 – 30 องศา
2.หลีกเลี่ยงท่านอนหรือกิจกรรม ที่จะทาให้แรงดันภายในสมองเพิ่ม
3.จัดท่านอนให้ข้อสะโพกงอไม่เกิน 90 องศา
4.ป้องกันไม่ให้ท้องผูก
ได้รับการดูแลขั้นพื้นฐานอย่างมีคุณภาพ ด้านอาหาร ด้านการขับถ่าย ด้านความสะอาด
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ระบบทางเดินหายใจ 1.พลิกตะแคงตัวทุก 2 ชม. 2.ดูแลไม่ให้ติดเชื้อ 3.ก่อน-หลังสัมผัสเด็กควรล้างมือ
แทรกซ้อนเกี่่ยวกับตา 1.สังเกตประเมินอาการ 2.อาจต้องใช้ผ้าปิดตา 3.ตาแห้ง ใช้น้ำตาเทียม
แทรกซ้อนทางผิวหนัง 1.ประเมินสภาพผิวหนัง 2.หมั่นเปลี่ยนทางนอน 3.ดูแลผิวหนัง 4.ทาครีมบำรุง 5.ดูแลบริเวณอวัยวะเพศภายนอก
ครอบครัวผู้ป่วยเด็กได้รับความรุ้และคำแนะนำเกี่ยวกับความเจ็บป่วย 1.ประเมินความต้องการข้อมูลของครอบครัว 2.รับฟังปัญหาของครอบครัวอย่างตั้งใจ 3.ตอบคำถาม 4.ให้ข้อมูล 5.ให้กำลัง
ภาวะไม่รู้สึกตัวร่วมกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการสาคัญคือ มีก้อนที่หลัง หรือที่หน้าผาก ขาอ่อนแรงทั้งสองข้าง ปัสสาวะ อุจจาระ ตลอดเวลาCongenital Spina bifida occulta
Meningocele Meningomyelocele
ไข้ร่วมกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีประวัติ
ไม่ได้รับวัคซีนไม่มีประวัติการคลอดในรพ.
เป็นชนต่างด้าว นึกถึงPoliomyelitis
Spina Bifida
เป็นความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง มีถุงยื่นผ่านจากกระดูกไขสันหลังออกมาตามตาแหน่งที่บกพร่องนั้น พบบ่อยที่สุดที่บริเวณ lumbosacrum
Spina bifida occulta : ผิดปกติกระดูกสันหลังส่วน Vetebral archesไม่รวมตัวกัน เกิดเป็นช่องโหว่ระหว่างแนวกระดูกสันหลัง เกิดบริเวณ L5 หรือ S1 ไขสันหลังและเยื่อหุ้มสมองยังอยู่ในกระดูกสันหลัง
Spina bifida cystica : ผิดปกติของการปิดของส่วนโค้งกระดูกสันหลังทาให้มีการยื่นของไขสันหลัง หรือเยื่อหุ้มสมองผ่านกระดูกออกมาให้เห็นเป็นถุงหรือก้อน มี 2 ชนิด
2.1 Meningocele : ก้อนหรือถุงนาประกอบไปด้วยเยื่อหุ้มสมองนาไขสันหลัง ไม่มีเนื อเยื่อประสาทไขสันหลัง ไขสันหลังอยู่ตาแหน่งปกติ ไม่เกิดอัมพาต
2.2 Myelomeningocele หรือ Meningomyelocele : กระดูกสันหลังผิดปกติ มีก้อนยื่นออกมา ก้อนหรือถุง มีเยื่อหุ้มสมอง นำไขสันหลังและไขสันหลัง พบบ่อย อันตรายและเกิดความพิการ ความรุนแรงขึ นกับตาแหน่ง พบระบบการขับถ่ายผิดปกติ
เท้าปุก การหดรั งของข้อ สมองบวมนา
การวินิจฉัย
การซักประวัติ : มารดาไม่ได้รับกรดโฟลิคขณะตั้งครรภ์ ,
ได้ยากันชักประเภท Valporic acid
การตรวจร่างกาย : แขนขาอ่อนแรง
พบก้อนหรือถุงตามแนวกระดูกสันหลัง
การตรวจพิเศษ : การตรวจระดับ alpha fetoprotein ขณะตั้งครรภ์ผิดปกติ อาจมี myelomeningocele ต้องตรวจน้าคร่าซ้า , CT , พบความผิดปกติ , ใช้ไฟฉายส่องบริเวณก้อนหรือถุง (transillumination test)แยกเพราะ meningocele จะโปร่งใสไม่มีไขสันหลังอยู่
การรักษา : spida bifida occulta ไม่จาเป็นต้องรักษาแต่ชนิด Cystica ต้องผ่าตัดภายใน 24 – 48 ชั่วโมงภายหลังเกิด เพื่อลดการติดเชื้อพัฒนาการอาจเป็นไปตามวัย หรือเป็นอัมพาตครึ่งล่าง มักทา V P Shunt ภายหลังทารกมักต้องผ่าตัดหลายครั้ง
การป้องกัน : ให้กรดโฟลิคแก่หญิงตั้งครรภ์จะช่วยลดการเกิดโรคได้