Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมสัมพันธภาพ มารดาและทารกหลังคลอด, image, image, image, image,…
การส่งเสริมสัมพันธภาพ
มารดาและทารกหลังคลอด
Bonding (ความผูกผัน)
หมายถึง กระบวนการความผูกผันทางอารมณ์ที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูมีต่อทารกฝ่ายเดียว
Attachment (สัมพันธภาพ)
หมายถึง ความรู้สึกรักใคร่ผูผันระหว่างทารกกับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก
ในระยะแรกเกิด มีดังนี้
1. การสัมผัส (Touch,Tactile sense)
พฤติกรรมสำคัญที่จะผูกพันมารดาและบุตร คือความสนใจของมารดาในการสัมผัสบุตร
2. การประสานสายตา (Eye to eye contact)
สำคัญต่อการเริ่มต้นพัฒนาการด้านความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มารดาจะรู้สึกผูกพันใกล้ชิดมากขึ้นเมื่อทารกลืมตาและสบตาตนเอง ระยะที่ทารกสามารถมองเห็นมารดาได้ชัดเจน คือ 8-12 นิ้ว
3. การใช้เสียง (Voice)
การตอบสนองเริ่มทันที่ทารกเกิด มารดาจะรอฟังเสียงทารกร้องครั้งแรกเพื่อยืนยันภาวะสุขภาพของทารก
4. การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะตามเสียงพูด (Entrainment)
ทารกจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายเป็นจังหวะสัมพันธ์กับเสียงพูดสูงต่ำของมารดา
5. จังหวะชีวภาพ (Biorhythmcity)
มารดาจะช่วยทารกให้สร้างจังหวะชีวภาพได้โดยขณะที่ทารกร้องไห้ มารดาอุ้มทารกไว้แนบอก ทารกจะรับรู้เสียงการเต้นของหัวใจมารดา ซึ่งทารกจะคุ้นเคยตั้งแต่ในครรภ์
6. การรับกลิ่น (Odor)
มารดาจำกลิ่นกายของทารกได้ตั้งแต่แรกคลอด และแยกกลิ่นทารกออกจากทารกอื่นได้ภายใน 3-4 วันหลังคลอด ส่วนทารกสามารถแยกกลิ่นมารดาและหันเข้าหากลิ่นน้ำนมมารดาได้ภายในเวลา 6-10 วันหลังคลอด
7. การให้ความอบอุ่น (Body warmth หรือ Heat)
มีการศึกษาพบว่า หลังทารกคลอดทันที ได้รับการเช็ดตัวให้แห้ง ห่อตัวทารกและนำทารกให้มารดาโอบกอดทันที ทารกจะไม่เกิดการสูญเสียความร้อน และทารกจะเกิดความผ่อนคลาย
8. การให้ภูมิคุ้มกันทางน้ำนม (T and B lymphocyte)
ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันในนมแม่ ได้แก่ T lymphocyte และ Immunoglobulin A ช่วยป้องกันและทำลายเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร
9. การให้ภูมิคุ้มกันทางเดินหายใจ (Bacteria nasal flora)
ขณะที่มารดาอุ้ม โอบกอดทารก จะมีการถ่ายทอดเชื้อโรคในระบบทางเดินหายใจ (normal flora) ของมารดาสู่ทารก
การประเมินสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
ใช้การสังเกต สอบถาม ซึ่งมีแนวทางการประเมินสัมพันธภาพ ดังนี้
ความสนใจในการดูแลตนเองของมารดาและทารก
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก
ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทการเป็นมารดา
ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของทารก
พฤติกรรมของมารดาและทารกที่แสดงถึงการขาดสัมพันธภาพ (Lack of attachment)
ไม่สนใจมองบุตร สีหน้าเมินเฉยหรือหันหน้าหนี
ไม่ตอบสนองต่อบุตร เช่น ไม่สัมผัส ไม่ยิ้ม ไม่อุ้มกอดทารก เป็นต้น
พูดถึงบุตรในทางลบ
แสดงท่าทางหรือคำพูดที่ไม่พึงพอใจขณะดูแลบุตร
ขาดความสนใจในการซักถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุตรและการเลี้ยงดูบุตร
การพัฒนาสัมพันธภาพในระยะหลังคลอด
ในระยะแรกหลังคลอดทันที มารดาจะแสดงความผูกผันกับลูกตั้งแต่นาทีแรกหลังคลอดจนกระทั่งถึง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด เป็นช่วงเวลาที่มารดามีความรู้สึกไวที่สุด (Sensitive period) เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหมาะสมต่อการสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
กระบวนการพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
มีพัฒนาการตามลำดับ 9 ขั้นตอน ดังนี้
ระยะก่อนการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 1 การวางแผนการตั้งครรภ์
ระยะตั้งครรภ์
ขั้นที่ 2 การยืนยันการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 3 การยอมรับการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 4 การรับรู้การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
ขั้นที่ 5 การยอมรับว่าทารกในครรภ์เป็นบุคคลคนหนึ่ง
ระยะคลอดและระยะหลังคลอด
ขั้นที่ 6 การสนใจดูแลสุขภาพตนเองและทารกในครรภ์และการแสวงหาการคลอดที่ปลอดภัย
ขั้นที่ 7 การมองดูทารก
ขั้นที่ 8 การสัมผัสทารก
ขั้นที่ 9 การดูแลทารกและให้ทารกดูดนม
บทบาทของพยาบาลผดุงครรภ์ในการส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
ระยะตั้งครรภ์
ยอมรับการตั้งครรภ์
ครอบครัวคอยให้กำลังใจ
การปรับบทบาทการเป็นบิดา มารดา
ยอมรับความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์
การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
ระยะคลอด
สร้างบรรยากาศให้เกิดความไว้วางใจ
ลดความวิตกกังวลของผู้คลอด
ให้ข้อมูล เป็นสื่อกลางระหว่างผู้คลอดและครอบครัว
ส่งเสริมให้การคลอดผ่านไปอย่างปลอดภัย
ระยะหลังคลอด
ส่งเสริมให้มารดาสัมผัสโอบกอดทารกทันทีหลังคลอด ในระยะ sensitive period
Rooming in โดยเร็วที่สุด
ให้คำแนะนำในการดูแลบุตร
ตอบสนองความต้องการของมารดา
กระตุ้นให้มีปฏิสัมพันธ์กับทารก
เป็นตัวแบบในการสร้างสัมพันธภาพกับทารก
ให้มารดา ทารก บิดา ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
นางสาวนันทวัน สกุลโพน เลขที่ 31 ห้อง B