Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ความผิดปกติของน้ำคร่ำ 255E2EE2-0388-4D47-ACDE-30CA9AD6B95A, จัดทำโดย,…
ความผิดปกติของน้ำคร่ำ
ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios)
-
-
-
การพยาบาล🚑🚑
ระยะตั้งครรภ์
- อธิบายให้ทราบเกี่ยวกับภาวะน้ำคร่ำน้อยแผนการรักษาและเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย
- แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพอโดยนอนตะแคงซ้ายเพื่อเพิ่มปริมาณการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงที่มดลูก
- แนะนำการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ทุกชนิด ปลา นมถั่วเหลือง ไข่
- แนะนำให้สังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์หากดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้ง / วันควรรีบไปพบแพทย์
- ติดตามระดับความสูงของยอดมดลูกและการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัวของสตรีมีครรภ์
ระยะหลังคลอด
- ให้การช่วยเหลือทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อยควบคุมอุณหภูมิเพื่อป้องกันการสูญเสียความร้อนจากร่างกายทารก
- ตรวจร่างกายทารกอย่างละเอียดเพื่อประเมินความพิการหรือความผิดปกติ
- ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารกโดยให้มารดาได้สัมผัสและสำรวจทารกก่อนที่จะนำทารกไปหน่วยทารกแรกเกิด
พร้อมทั้งอธิบายลักษณะของทารกน้ำหนักตัวน้อยให้มารดาเข้าใจเพื่อลดความวิตกกังวลและเกิดการยอมรับทารก
- อธิบายให้มารดาเข้าใจถึงแผนการรักษาแก่ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยและเปิดโอกาสให้มารดาได้ระบายความรู้สึกและซักถามข้อสงสัย
- เน้นให้เห็นความสำคัญของการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดา (บังอร ศุภวิทิตพัฒนา,2562)
- ให้การดูแลมารดาหลังคลอดเช่นเดียวกับมารดาหลังคลอดทั่วไป
ระยะคลอด
- แนะนำการนอนพักบนเตียงในท่านอนตะแคงซ้ายเพื่อลดภาวะสายสะดือถูกกด และเพื่อให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงมดลูกได้ดีมากขึ้น
- ติดตามประเมินความก้าวหน้าของการคลอดอย่างใกล้ชิด
- ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและเสียงหัวใจทารกทุก 30นาที -1 ชั่วโมง
- กรณีที่มีการแตกของถุงน้ำคร่ำให้สังเกตการมีขี้เทาปนในน้ำคร่ำ
- หากพบว่ามี mecanium(ขี้เทา) ในน้ำคร่ำหรือเสียงหัวใจทารกผิดปกติ(Fetal distress)ควรแก้ไขโดยให้ผู้คลอดนอนตะแคงซ้าย ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ปรับเพิ่มอัตราการหยดของสารละลายเข้าทางหลอดเลือดดำและรายงานแพทย์
น้ำคร่ำน้อยอาจทำให้เกิดภาวะ dry labour คือ การ คลอดแห้งทำให้เกิดผลกระทบต่อทารกทำให้ทารกได้รับอันตรายจากการ คลอด
- หลีกเลี่ยงการให้ยาบรรเทาปวดเนื่องจากยาจะกดการหายใจของทารก
- หากมีความจำเป็นต้องใช้สูติศาสตร์หัตถการในการช่วยคลอดหรือผ่าตัดคลอดควรเตรียมผู้คลอดให้พร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
- รายงานกุมารแพทย์และเตรียมอุปกรณ์ในการฟื้นคืนชีพทารกแรกเกิดไว้ให้พร้อมเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันถ่วงที
ความหมาย🤰🏼🤰🏼🤰🏼
การตั้งครรภ์ที่มีปริมาณน้ำคร่ำน้อยกว่า 500 มิลลิลิตร หรือamniotic fluid index(AFI) น้อยกว่า 5 เซนติเมตร บางรายน้ำคร่ำอาจลดเหลือเพียง 2-3 เซนติเมตร มีลักษณะข้นเหนียว แต่โดยทั่วไป ภาวะนี้มักมีน้ำคร่ำประมาณ 100-300 มิลลิลิตร
ภาวะครรภ์แฝดน้ำ
(polyhydramnios
/hydramnios)
ความหมาย 🤰🏼
การตั้งครรภ์ที่มีน้ำคร่ำมากกว่าเปอร์เซนไตล์ที่ 95 ของแต่ละอายุครรภ์นั้นๆหรือมากกว่า 1.5-2 ลิตร ในไตรมาสสุดท้ายภาวะครรภ์แฝดน้า คือภาวะที่มีน้าหล่อเด็กมากกว่า 2000 มล.
-
การวินิจฉัย👩🏼🔬
1.การซักประวัติ
1.1 ปัจจัยเสี่ยง เช่น เคยมีประวัติตั้งครรภ์แฝดชนิด Monozygotic twins
เคยมีพันธุกรรมแฝด มีประวัติเป็นโรคเบาหวานร่วมกับตั้งครรภ์ มีพันธุกรรมเบาหวาน เป็นต้น
1.2 ซักประวัติจากอาการ พบการโตเร็วของมดลูก
หายใจลำบาก หอบเหนื่อย นอนราบไม่ได้
ต้องนอนหนุนหมอนหลายใบ หรืออยู่ในท่า upright
2.การตรวจร่างกาย
2.1. การตรวจร่างกายทั่วไป พบอาการหายใจลำบาก นอนราบไม่ได้
เคลื่อนไหวไม่สะดวก บวมบริเวณขาและอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก น้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็ว
2.2 การตรวจครรภ์ พบท้องโต เส้นรอบท้อง >100 ซม. หรือเพิ่ม 1 ซม.
ต่อวันในไตรมาส 3 ขนาดมดลูกโตกว่าอายุครรภ์
ผนังหน้าท้องตึง คลำส่วนแขนขาของทารกไม่ชัดเจน
ฟังเสียงหัวใจทารกได้ยาก มีส่วนนำผิดปกติ เคาะท้องมีน้ำกระทบมือ
-
: 4.การตรวจพิเศษ
-
-วัดแอ่งลึกที่สุดของน้ำคร่ำ (single deepest pocket, SDP หรือ maximum vertical pocket,** MVP)มากกว่าหรือเท่ากับ 8 ซม
-ดัชนีปริมาณน้ำคร่ำ (amniotic fluid index, AFI )มีค่ามากกว่า 24-25ซม.
การดูแล👩🏼⚕️
การทำ intravascular transfusion (IVT) ในรายที่มีภาวะ Rh-incompatiblity ซิฟิลิส การควบคุมโรคเบาหวาน สำหรับกรณีที่ทารกไม่มีโอกาสรอดชีวิตได้ควรทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงโดยเร็วที่สุดได้แก่ Bart's hydrops fetalis, anencephaly และ trisomy 18
-
2.2 รักษาโดยการให้ยา Indomethacin ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม Prostaglandin synthetase inhibitors ส่งผลต่อทารกในครรภ์ ทำให้ไตลดการขับปัสสาวะลง ร่วมกับการลดการไหลเวียนเลือดไปยังไตทำให้ปัสสาวะสร้างน้อยลง ยากลุ่มนี้ยังมีผลลดการสร้างและเพิ่มการดูดซึมกลับของสารน้ำในปอดมากขึ้นทำให้ปริมาณน้ำคร่ำลดลง
2.3 การเจาะน้ำคร่ำออกทางหน้าท้อง (amnioreduction) ในรายที่มีปริมาณน้ำคร่ำมากจนรู้สึกอึดอัด หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ หรืออาจทำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ถือเป็นข้อบ่งชี้ในการรับเข้ารักษาในโรงพยาบาล ควรเจาะโดยอาศัยคลื่นเสียงความถี่สูง ใช้เข็ม spinal needle เบอร์18 ในการดูดน้ำคร่ำออกอย่างช้าๆ ในอัตราประมาณ 500 มล/ชม. และให้เอาออกครั้งละ 1,500-2,000 มล. มล.ไม่เกิน 5 ลิตรต่อครั้ง หรือหยุดทำเมื่อปริมาณน้ำคร่ำกลับมาปกติ (AF =15-20 ซม.) หรือแรงดันในโพรงมดลูกน้อยกว่า 20 มิลลิเมตรปรอท หลังการเจาะน้ำคร่ำ ควรตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงติดตามปริมาณน้ำคร่ำทุก 13 สัปดาห์
1.การรักษาในกรณีที่มีความรุนเเรงในระดับ mild และmoderate hydarmnios โดยมีความไม่สุขสบายเพียงเล็กน้อย อาจไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใดๆ จนกว่าจะเข้าสู่ระยะคลอด หรือจนกระทั่งมีการแตกของถุงน้ำคร่ำ
2.ในรายที่มีความรุนเเรงระดับ severe hydramios มีปริมาณน้ำคร่ำมากจนรู้สึกอึดอัด หายใจลำบาก นอนราบไม่ได้ หรืออาจทำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด ถือเป็นข้อบ่งชี้ในการรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลและทำการเจาะน้ำคร่ำออกทางหน้าท้อง
การพยาบาล🚑
การพยาบาลระยะตั้งครรภ์
- อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์และครอบครัวเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุ อาการและอาการแสดงผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกประเมินและการวินิจฉัย การรักษา และการพยาบาลสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์แฝดน้ำ
- แนะนำให้พักผ่อนอย่างเพียงพออย่างน้อย 8-10 ชั่วโมงในเวลากลางคืน และ 30 นาทีถึง1 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน โดยนอนในท่าศีรษะสูงเพื่อลดอาการไม่สุขสบายต่างๆ
3.ตรวจครรภ์ ติดตามระดับความสูงของยอดมดลูก เพื่อประเมินปริมาณน้ำคร่ำที่เพิ่มขึ้น ตรวจวินิจฉัยส่วนนำและท่าของทารกในครรภ์
4.แนะนำให้สังเกตการดิ้นของทารกในครรภ์หากน้อยกว่า 10 ครั้ง ใน 12 ชั่วโมง หรือน้อยกว่า 3 ครั้งต่อชั่วโมง ในช่วง 2 ชั่วโมงติดต่อกัน ควรรีบมาพบแพทย์
-
6.แนะนำให้สังเกตอาการผิดปกติที่ควรมาพบแพทย์ ได้แก่ อาการหายใจสำบาก แน่นอึดอัดมาก เคลื่อนไหวร่างกายลำบาก ถุงน้ำคร่ำรั่วหรือแตก และมีอาการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
- กรณีที่ได้รับการรักษาด้วยการเจาะน้ำคร่ำออกทางหน้าท้อง ควรเตรียมสตรีตั้งครรภ์ให้พร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจรวมทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการเจาะน้ำคร่ำออกทางหน้าท้องให้ครบถ้วน และสังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด การเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด รกลอกตัวก่อนกำหนด และการติดเชื้อภายในถุงน้ำคร่ำ
- กรณีที่ได้รับการรักษาด้วยยา Indomethacin ควรดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา และสังเกตผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์
**ผลข้างเคียงของยาต่อมารดา
ได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน esophageal reflux, gastritis ถ้าใช้ระยะเวลานานอาจทำให้เกิด platelet dysfunction ได้
ผลข้างเคียงของยาต่อทารกที่สำคัญคือ ทำให้ ductus arteriosus ปิดก่อนกำหนด
และอาจเกิด pulmonary hypertension โดยเฉพาะถ้าได้รับหลังอายุครรภ์ 32 สัปดาห์
ควรตรวจติดตามด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงและวัดคลื่นเสียงดอพเลอร์ (doppler) หลังการรักษา 48ชั่วโมงและตรวจติดตามต่อเป็นระยะ
9.ดูแลด้านจิตใจโดยการให้กำลังใจ เปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัย รับฟังด้วยความสนใจเอาใจใส่
แนะนำการทำจิตใจให้สบาย หลีกเลี่ยงภาวะเครียดต่างๆ และแนะนำวิธีการใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
ได้แก่ การอ่านหนังสือ การฟังเพลงที่มีทำนองและจังหวะเบาๆ อาจเป็นเพลงบรรเลงหรือเพลงคลาสสิก ฝึกการหายใจอย่างถูกวิธี การสวดมนต์ และการทำสมาธิ
- แนะนำให้เห็นความสำคัญของการมาตรวจครรภ์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ และการสังเกตอาการผิดปกติที่ต้องรีบมาพบแพทย์
การพยาบาลในระยะคลอด
-
- ประเมินสัญญาณชีพทุก 4 ชั่วโมง
- ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ทุก 30 นาทีถึง 1ชั่วโมง
- ดูแลความสะอาดของร่างกายทั่วไปและอวัยวะสืบพันธุ์
- กรณีที่แพทย์ทำการเจาะถุงน้ำคร่ำ ให้ประเมินเสียงหัวใจทารกในครรภ์ก่อนและหลังทันทีที่มีการแตกของถุงน้ำคร่ำและสังเกตภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ สายสะดือพลัดต่ำ และรกลอกตัวก่อนกำหนด
- กรณีที่พบว่ามีขี้เทา (meconium) ปนในน้ำคร่ำ หรือฟังเสียงหัวใจทารกในครรภ์ผิดปกติ ควรจัดให้ผู้คลอดนอนตะแคงซ้ายดูแลให้ได้รับออกชิเจน ปรับเพิ่มอัตราการหยดของสารละลายที่ได้รับทางหลอดเลือดดำ และรีบรายงานแพทย์ทราบทันที
7.กรณีที่มีแผนการรักษาให้ใช้สูติศาสตร์หัตถการในการช่วยคลอดหรือผ่าตัดคลอด ควรเตรียมผู้คลอดให้พร้อมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และกฎหมาย
- เตรียมอุปกรณ์สำหรับการช่วยพื้นคืนชีพทารกแรกเกิดให้พร้อมใช้ และรายงานกุมารแพทย์เพื่อให้การช่วยเหลือทารกได้ทันท่วงที
การพยาบาลระยะหลังคลอด
1.ระยะแรกหลังคลอด ควรประเมินสัญญาณชีพทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรกและทุก 30นาที ในชั่วโมงที่ 2 และหลังจากอาการปกติให้ประเมินทุก 4 ชั่วโมง
- ประเมินการหดรัดตัวของมดลูก และปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอด
- ดูแลให้ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก(ยาOxytocin หรือยา Methergine )ตามแผนการักษา เพื่อป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอด แต่ต้องระมัดระวังความเสี่ยงในการเกิดภาวะ ภาวะน้ำคร่ำอุดตันในหลอดเลือด (Amniotic fluid embolism)
- ตรวจร่างกายทารกอย่างละเอียดเพื่อประเมินความพิการหรือความผิดปกติ
- ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างบิดามารดาและทารก โดยการนำทารกมาให้มารดาสัมผัสและโอบกอดตามความเหมาะสม
- ส่งเสริมการเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
-
-
-
-
-