Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 แนวคิดและหลักการพยาบาลเด็กป่วย, นางสาวชุดานันท์ เฟื่องบุบผา รุ่น…
บทที่ 1 แนวคิดและหลักการพยาบาลเด็กป่วย
เด็ก ความหมายด้านสุขภาพ
หมายถึงบุคคลตั้งแต่แรกเกิด ถึง 15 ปี
ช่วงวัยของเด็ก แบ่งตามระยะพัฒนาการ
Newborn ทารกแรกเกิด 28 วันหลังคลอด
Infant ทารกอายุมากว่า 28 วันถึง 1 ปี
Toddler เด็กวัยเดิน อายุ 1-3 ปี
Preschool age เด็กวัยก่อนเรียน 3-5 ปี
School age เด็กวัยเรียน 6-12 ปี
Aldolescent วัยรุ่น 13-15 ปี
สิทธิเด็ก (Convention on the Right of the Child)
สิทธิในการมีชีวิต คือ สิทธิของเด็กที่คลอดออกมาแล้วจะต้องมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย
สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง เป็น สิทธิที่เด็กได้รับปกป้องคุ้มครองจากการทารุณกรรมทุกรูปแบบ เช่น การทารุณกรรมทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศ
สิทธิในด้านพัฒนาการ เด็ก ทุกคนจะได้รับสิทธิให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ร่างกาย จิตใจ สังคม รวมถึงความพึงพอใจและความสุข
สิทธิในการมีส่วนร่วม เป็นสิทธิที่ให้ความส าคัญกับการแสดงออกทั้งในด้านความคิดและการกระทำของเด็ก
ระยะของการเจ็บป่วย
ระยะเฉียบพลัน (Acute) ฉับพลัน หมายถึง ในทันทีทันใดเฉียบพลัน
หมายถึง รุนแรงมาก
ระยะเรื้อรัง (Chronic) เป็นระยะที่รักษาไม่หายขาด บุคคลต้องต่อสู้กับโรคตลอดชีวิต
ระยะวิกฤต (Crisis) เป็นระยะที่มีโอกาสเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
ระยะสุดท้าย / ใกล้ตาย (Death / Dying)
ปฏิกิริยาของเด็กต่อการเจ็บป่วย
ความวิตกกังวลจากการแยกจาก (separation anxiety)
ความเจ็บปวดทางกายเนื่องจากการตรวจรักษา (body injury and pain)
ความเครียดและการปรับตัวของเด็กและครอบครัว : การสูญเสีย
ความสามารถในการควบคุม (loss of control)
การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ (body image)
ความตาย
การพยาบาลเด็กแต่ละระยะของการเจ็บป่วย
การพยาบาลเด็กระยะเฉียบพลันและระยะวิกฤต
Separation anxiety
Pain management
Critical care concept
Stress and coping
การพยาบาลเด็กระยะเรื้อรังและระยะสุดท้าย
Body image
Death and dying
หลักการดูแลเด็กโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็ก ในขณะที่
บุคลากรด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพในทุก
ระดับของการบริการดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการ ของ บุคคลและ
ครอบครัวเข้าในระบบบริการสุขภาพ
ปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กป่วยเมื่อเข้ารับการรักษาใน
โรงพยาบาล
ความวิตกกังวลเนื่องจากการแยกจาก (separation anxiety)
พบมากในเด็กอายุ
ระหว่าง 6 เดือนถึง 3 ปี พฤติกรรมการแยกจาก มี 3 ระยะ
ระยะประท้วง (protest) เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรงมาก ร้องตลอดเวลาจะหยุดร้องเฉพาะเวลานอนเท่านั้น เด็กพยายามที่จะให้มารดาอยู่ด้วย
ระยะสิ้นหวัง(despair) ความสิ้นหวังแสดงออกโดย อาการโศกเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้ง แยกตัวอยู่เงียบ ๆ ร้องไห้น้อยลง เสียงครางโยเย ท่าทีอ่อนเพลีย อิดโรยอย่างน่าสงสาร รวมทั้งมีพฤติกรรมทีถดถอย(regression)
ระยะปฏิเสธ(denial) ถ้าเด็กป่วยต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานวันและได้รับการพยาบาลจากพยาบาล ระยะนี้เด็กจะหันกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เหมือนกับว่าเด็กปรับตัวได้แต่เด็กเพียงเก็บกดความรู้สึกที่มีต่อมารดาไว้
พฤติกรรมถดถอย(regression) เป็นกลไกการปรับตัวที่พบเสมอในเด็กวัยเดินและเด็กก่อนวัยเรียน เด็กจะหยุดการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หันกลับมาใช้พฤติกรรมดั้งเดิม ซึ่งเป็นที่พึงพอใจของเด็กมากกว่า เช่น ไม่ยอมกินน้ําจากถ้วย หันกลับไปกินนมจากขวดและถ่ายปัสสาวะรดกางเกง เป็นต้น
การสูญเสียการควบคุมตัวเอง (loss of control)
เด็กวัยก่อนเรียน เหตุการณ์ที่ทําให้เด็กสูญเสียการควบคุมตัวเอง เช่นการจํากัดการเคลื่อนไหว การให้เด็กนอนหงายนิ่ง การได้รับให้สารน้ำ
ทางหลอดเลือดดํา ทําให้เด็กขาดความมั่นคง ในตัวเอง
เด็กจะไม่ร่วมมือในการรักษาพยาบาล และต่อต้านอย่างรุนแรง
เด็กวัยเรียน สามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยอิสระ ประสบผลสําเร็จในการควบคุมหน้าที่ของร่างกาย มีความมั่นใจ สติปัญญาของเด็กวัยนี้อยู่ในขั้นพัฒนาด้วยรูปธรรม รับรู้ความจริงมากขึ้นความกลัวของเด็กป่วยวัยนี้ คือภาวะที่คุกคามการสูญเสียการควบคุม
วัยรุ่นจะมีความเป็นอิสระ เอาแต่ใจตัวเอง เสาะแสวงหาเอกลักษณ์ของตน การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ความเจ็บป่วยที่จํากัดความสามารถทางร่างกาย จะทําให้เกิดการสูญเสียการควบคุม อาจจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการปฏิเสธ ไม่ยอมร่วมมือ แยกตัว เอาแต่ใจตัวเอง โกรธ คับแค้นใจ โดยไม่คํานึงถึงว่าเขาจะแสดงออกอย่างไร
การบาดเจ็บและความเจ็บปวด
เด็กวัยก่อนเรียน สามารถพัฒนาความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการปฏิบัติที่เจ็บปวด จึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงและมองการปฏิบัติต่าง ๆ เป็นการลงโทษ เด็กจะมีพฤติกรรมการต่อต้านโดยใช้เท้าเตะถีบ ร้องเสียงดังลั่น ชกต่อย และพยายามที่จะวิ่งหนี แม้เพิ่งมองเห็นเครื่องมือ
เด็กวัยเรียนกลัวการบาดเจ็บ กลัวความตาย เด็กสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ของเหตุผลต้องการคําอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการอธิบายเกี่ยวกับโรค ความรู้สึก การรักษาพยาบาล กลัวร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจะทําให้แตกต่างจากเพื่อน ๆ
วัยรุ่นการบาดเจ็บ ความเจ็บปวด และความพิการนั้น จะเกิดผลกระทบกระเทือนมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่าวัยรุ่นได้มองตัวเองในปัจจุบันเป็นอย่างไร การเปลี่ยนแปลงที่ทําให้วัยรุ่นแตกต่างจากเพื่อนนั้นทําให้เกิดความเครียดอย่างมาก
ปฏิกิริยาโต้ตอบของบิดามารดาต่อความเจ็บป่วยของลูกและความสามารถในการปรับตัว
ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่
ความรุนแรงของการรักษา
ประสบการณ์เกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการอยู่ในโรงพยาบาล
วิธีปฏิบัติเพื่อการวิเคราะห์โรคและการรักษา
ปัจจัยการช่วยเหลือค้ําจุน
ความเข็มแข้งของบิดามารดา
ความสามารถในการปรับตัวครั้งก่อน ๆ
ความเคร่งเครียดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากระบบครอบครัว
ความเชื่อถือเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา
แบบแผนการสื่อสารของสมาชิกในครอบครัว
องค์ประกอบที่สําคัญของการดูแลเด็กโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
การตระหนักและการเคารพ (Respect) เคารพและยอมรับในความแตกตางทางวัฒนธรรม ความเป็นบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ ความมีอิสระ ทางความคิดและการกระทํา การตัดสินใจ
การร่วมมือ (Collaboration)
ครอบครัวและบุคลากรวิชาชีพมีความเท่าเทียมกันในการ เป็นหุ้นส่วนดูแล
(Partnership) ในการวางแผน และให้การดูแลเด็กป่วย
การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ของเด็ก/ครอบครัว
ยอมรับว่าผู้ป่วย/บิดามารดา/บุคคลที่มีความสําคัญต่อ ผู้ป่วย ว่าเป็นส่วนหนึ่งของทีมสุขภาพ
ตระหนักว่าบิดามารดามีความต้องการในการมีส่วนร่วม ในการดูแลเด็กในระดับแตกต่างกัน
ข้อมูลที่ได้รับจากบุคลากรทีมสุขภาพและบิดามารดา จะ มีความสําคัญในการตัดสินใจและการมีส่วนร่วมในการ วางแผนดูแลเด็กป่วย
ใช้การปฏิสัมพันธ์ในการสร้างความมั่นใจและเพิ่ม ความสามารถของสมาชิกในครอบครัว
การสนับสนุน (Support)
ตระหนักว่าแต่ละครอบครัวมีวิธีการเผชิญปัญหาที่เป็น ลักษณะเฉพาะ และต้องการรับทราบข้อมูลและความ ช่วยเหลือที่แตกต่างกัน
ตระหนักถึงอิทธิพลของการที่เด็กเข้ารับการรักษาอยู่ใน โรงพยาบาล ที่มีต่อพัฒนาการของเด็ก และบทบาทของ บิดามารดา
ให้ช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและ อารมณ์ของเด็กและครอบครัว
ปรับบทบาทจากผู้กระทําโดยตรงมาเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้ป่วย และครอบครัวกระทําด้วยตนเอง โดยการสอน แนะนํา กระตุ้น สาธิต และเป็นแบบอย่างทางบทบาท
กระตุ้นและช่วยเหลือให้ครอบครัวเหล่านี้ให้มีการช่วยเหลือซึ่ง กันและกัน และสร้างเครือข่ายระหว่างครอบครัว
หลักการดูแลเด็กโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (Shelton & Stepanek , 1994)
เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็ก ในขณะที่บุคลากรด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพในทุกระดับของการบริการดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จําเป็นและสมบูรณ์แก่บิดามารดาอย่างต่อเนื่องและไม่ลําเอียงด้วยท่าทีที่เหมาะสมในลักษณะของการสนับสนุน
เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการ ของ บุคคลและครอบครัวเข้าในระบบบริการสุขภาพ
ลงมือปฏิบัติสนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และเศรษฐกิจ เช่น ส่งปรึกษา สงคมสงเคราะห์เรื่องเงิน ส่งหน่วยปรึกษาเมื่อเกิดปัญหา การปรับตัวหรือความคับข้องใจ
ยอมรับว่าครอบครัวมีจุดแข็ง และมีลักษณะเฉพาะ รวมทั้งเคารพวิธีการเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน
เคารพยอมรับในความหลากหลายของเชื้อชาติวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ และสังคม เศรษฐกิจของ ครอบครัว
กระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครอง
จัดบริการให้มีความความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และ
ตอบสนองความต้องการของครอบครัว
บทบาทของพยาบาลเด็ก
ในการใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
เสริมสร้างความสามารถของครอบครัว โดยให้โอกาสบิดามารดาแสดงความสามารถและสมรรถนะ เพื่อตอบสนองความต้องการของเด็กและครอบครัวในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
เสริมสร้างพลังอํานาจแก่ครอบครัวในการควบคุมชีวิตของครอบครัวและการเปลี่ยนแปลงในทางบวก
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทักษะ และทรัพยากรกับครอบครัว โดยพยาบาลต้องตระหนักว่าบิดามารดามีความเสมอภาคกับตน และมีสิทธิที่จะตัดสิใจว่าอะไรคือความสําคัญของเด็กและครอบครัว
พยาบาลสร้างกลไกความสัมพันธ์กับบิดามารดาเป็นแบบหุ้นส่วน โดยมีข้อตกลงว่าใครจะเป็นคนให้การพยาบาลเด็กด้านใด
นางสาวชุดานันท์ เฟื่องบุบผา รุ่น 36/1 เลขที่ 29