Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหากระดูกกล้ามเนื้อ - Coggle Diagram
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหากระดูกกล้ามเนื้อ
โรคกระดูกอ่อน (Ricket)
พบได้มากในเด็กอายุ 6 เดือน – 3 ปี จากการขาดวิตามินดี
ความหมาย
โรคของเมตาบอลิซึมของกระดูกที่พบในเด็ก ความบกพร่องในการจับเกาะของเกลือแร่บนเนื้อกระดูกอ่อน
สาเหตุ
ความผิดปกติของการเผาผลาญ Vit D
ความผิดปกติของการเผาผลาญแคลเซียมจากโรคของลำไส้ ดูดซึมแคลเซียมกลับได้น้อย
โรคไตบางชนิดทาให้ไม่สามารถดูดกลับอนุมูลแคลเซียมและฟอสเฟต
ภาวะฟอสเฟตต่ำ (Hypophosphatasia) จากขาด Alkaline Phosphatase ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดการจับเกาะของเกลือแร่
อาการและอาการแสดง
เด็กเล็ก
ความตึงตัวของกล้ามเนื้อจะน้อย กล้ามเนื้อหย่อน อ่อนแรงหลังแอ่น
ขวบปีแรก
กะโหลกศีรษะใหญ่กว่าปกติ รอยต่อที่กระหม่อมปิดช้า ส่วนหลังของกะโหลกศีรษะแบนราบลง หรือ กะโหลกนิ่ม หน้าผากนูน ฟันขึ้นช้า ผมร่วง
หลังหนึ่งขวบ
ขาโก่ง ขาฉิ่ง กระดูกสันหลังคดหรือหลังค่อม
การรักษา
แบบประคับประคอง ใช้หลักการรักษากระดูกหักทั่วไป
การรักษาสาเหตุ
ให้ร่างกายได้รับแสงแดดช่วงเช้าและเย็น
การรับประทานอาหารโดยเฉพาะโปรตีนและแคลเซียม
ให้ออกกำลังกายกระตุ้นการสร้างของกระดูก
Bone and Joint infection
การติดเชื้อในกระดูก (osteomyelitis)
อุบัติการณ์
พบในเด็กอายุน้อยกว่า 13 ปี พบมีการติดเชื้อที่กระดูกท่อนยาวมากที่สุด
สาเหตุ
เชื้อแบคทีเรีย, เชื้อรา เข้าสู่กระดูกจากการทิ่มแทงจากภายนอก หรือจากอวัยวะใกล้เคียง
การวินิจฉัย
ประวัติ
เด็กเล็ก
แสดงออกโดยไม่ใช้แขน ขา ส่วนนั้น
ทารกนอนนิ่งไม่ขยับแขนขาข้างที่เป็น (pseudoparalysis)
เด็กโต
บอกตำแหน่งที่ปวดได้ อาการไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
การตรวจร่างกาย
มีปวด บวม แดง ร้อน เฉพาะที่
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ผล CBC พบ Leucocytosis , ESR ,
CRP มีค่าสูง ผล Gram stain และ culture
ขึ้นเชื้อที่เป็นสาเหตุ
การตรวจทางรังสี
Plain flim พบเนื้อเยื่อส่วนลึกบวม
โดยเฉพาะบริเวณ metaphysis
Bone scan ได้ผลบวก บอกตำแหน่งได้เฉพาะ
MRI (Magnatic resonance imaging) พบ soft tissue abcess , bone marrow edema
ค่าใช้จ่ายสูง ในเด็กเล็ก ๆ ต้องทำตอนเด็กหลับ
การรักษา
ยาปฏิชีวนะตามแผนการรักษาของแพทย์
การผ่าตัด เอาหนอง ชิ้นเนื้อ กระดูกตายออก
อาการแทรกซ้อน
1.กระดูกและเนื้อเยื่อตาย
2.กระทบต่อ physis เป็นส่วนเจริญเติบโตของกระดูก ทำลาย physeal plate
ยับยั้งการเจริญของกระดูกตามยาว
การติดเชื้อในข้อ (septic arthitis)
สาเหตุ
จากการทิ่มแทงเข้าในข้อ หรือแพร่กระจายจากบริเวณ
ใกล้เคียง จากการแพร่เชื้อโรคจากกระแสเลือด
การวินิจฉัย
1.ลักษณะทางคลินิค
มีไข้ มีการอักเสบ ปวดบวมแดง
ภายใน 2-3 วันแรกของการติดเชื้อข้อ
ผล Lab
เจาะดูดน้ำในข้อ (joint aspiration)
มาย้อม gram stain ผล CBCพบ ESR ,
CRP สูงขึ้นเล็กน้อย
การตรวจทางรังสี
Plain flim อาจพบช่องระหว่างข้อกว้าง
Ultrasound บอกถึงภาวะมีน้ำในข้อมาก หรือเคลื่อนหลุด
Bone scan / MRI ช่วยบอกถึงการติดเชื้อกระดูก
การรักษา
การให้ยาปฏิชีวนะ
การผ่าตัด ได้แก่ Arthrotomy and drainage มีข้อบ่งชี้ เพื่อระบายหนองหยุดยั้งการทาลายข้อ และเพื่อได้หนองและชิ้นเนื้อในการส่งตรวจ
ภาวะแทรกซ้อน
1.Growth plate ถูกทำลาย ทำให้การเจริญเติบโตตามความยาวกระดูก และการทำหน้าที่เสียไป
ข้อเคลื่อน (Dislocation)
ข้อถูกทำลาย (joint destruction)
หัวกระดูกข้อสะโพกตายจากการขาดเลือด
(avascular necrosis)
วัณโรคกระดูกและข้อ (Tuberculous Osteomyelitis and Tuberculous Arthitis)
สาเหตุ
เชื้อ Mycobacterium tuberculosis เข้าสู่ปอดโดยการหายใจ จากการไอ จามของผู้ป่วย
อาการและอาการแสดง
อาการจะเริ่มแสดงหลังการติดเชื้อประมาณ 1 – 3 ปีที่กระดูกรอยโรคเริ่มที่ metaphysis ของ long bone ซึ่งมีเลือดมาเลี้ยงมาก อาจเป็นตำแหน่งเดียวหรือมากกว่า
กระดูกจะถูกทำลายมากขึ้น กระดูกจะบางลงหรือแตกนอกกระดูกเกิดเป็นโพรงหนองที่ไม่มีลักษณะการอักเสบหรือแตกเข้าสู่ข้อใกล้เคียง และจะทำลายกระดูกอ่อนของผิวข้อ
การวินิจฉัย
ลักษณะทางคลินิก
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้าหนักลด มีไข้ต่ำๆ ตอนบ่ายหรือเย็น ต่อมน้ำเหลืองโต ประวัติใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นวัณโรค
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
CBC อาจพบ WBC ปกติหรือสูงไม่มาก ค่า CRP , ESR สูง ทดสอบ tuberculin test ผล+
การตรวจทางรังสี
plaint film
MRI
การรักษา
ให้ยาต้านวัณโรค
การผ่าตัด การตรวจชิ้นเนื้อ การผ่าตัดระบายหนอง ผ่าตัดเพื่อแก้การกดทับเส้นประสาท
อาการแทรกซ้อนทางกระดูกและข้อ
กระดูกสันหลังค่อมหรืออาการกดประสาทไขสันหลัง จนอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต
Club Foot (เท้าปุก)
สาเหตุ
1.แบบทราบสาเหตุ
1.1 positional clubfoot
1.2 teratologoc clubfoot
1.3 neuromuscular clubfoot
2.แบบไม่ทราบสาเหตุ (ideopathic clubfoot) หรือ Ideopatic Talipes EquinoVarus (ITCEV)
พบตั้งแต่กำเนิด
การวินิจฉัย
การตรวจดูลักษณะรูปร่างเท้าตามลักษณะตามคำจำกัดความ“เท้าจิกลงบิดเอียงเข้าด้านใน” ควรแยกระหว่างเท้าปุกที่สามารถหายได้เองจากผล
ของท่าของเท้าที่บิดขณะอยู่ในครรภ์
การรักษา
1.การดัดและใส่เฝือก
ดัดใส่เฝือกเพื่อรักษารูปเท้า เปลี่ยนเฝือกทุก 1 – 2 สัปดาห์ เพราะจะหลวม รักษารูปเท้าได้ไม่ดี
2.การผ่าตัด
2.1 การผ่าตัดเนื้อเยื่อ (subtalar soft tissue release) ทำในอายุ < 3 ปี ผ่าตัดคล้ายเนื้อเยื่อ Subtalar joint และยืดเอ็นที่ตึง ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อเท้าใกล้เคียงปกติ
2.2. การผ่าตัดกระดูก (osteotomy) ทำในอายุ 3 – 10 ปี ตัดตกแต่งกระดูกให้รูปร่าง ใกล้เคียงปกติ
2.3 การผ่าตัดเชื่อมข้อกระดูก (triple fusion) ช่วงอายุ 10 ปี ขึ้นไป ทำให้ Subtalar joint และ midtarsal joint เชื่อมแข็ง ไม่โต รูปร่างเท้าใกล้เคียงปกติ
ฝ่าเท้าแบน Flat feet
ฝ่าเท้าของคนปกติเมื่อยืนจะมีช่องใต้ฝ่าเท้าเราเรียก arch ในเด็กเล็กจะไม่มี ซึ่งจะเริ่มมีตอนเด็กอายุ 3-10 ปี ถ้าโค้งใต้ผ่าเท้าไม่มีเราเรียกเท้าแบนหรือ flat feet
อาการ
อาการขึ้นกับความรุนแรงของความแบนราบ
ผู้ป่วยอาจจะมีตาปลาหรือผิวหนังฝ่าเท้าจะหนาผิดปกติ
รองเท้าผู้ป่วยจะสึกเร็ว
ในรายที่แบนรุนแรงผู้ป่วยจะมีอาการปวดน่อง
เข่า และปวดสะโพก
สาเหตุ
เป็นพันธุกรรมในครอบครัว
เกิดจากการเดินที่ผิดปกติ เช่น การเดินแบบเป็ดคือมีการบิดของเท้าเข้าข้างใน
เกิดจากเอ็นของข้อเท้ามีการฉีกขาด
โรคเกี่ยวกับสมองหรือไขสันหลัง
การรักษา
พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ
ใส่รองเท้าที่กว้างและมีขนาดพอดี
อย่ารักษาตาปลาด้วยตัวเอง
อาจจะใช้ ultrasound หรือ laser
เพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
ความพิการทางสมอง(Cerebral Palsy)
สาเหตุ
ก่อนคลอด
อาจมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ
มารดาเป็นโรคแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับมารดาขณะตั้งครรภ์
ระหว่างคลอด /หลังคลอด
คลอดยาก , สมองกระทบกระเทือน ,ขาด
ออกซิเจน , ทารกคลอดก่อนกาหนด
จำแนกโดยลักษณะการเคลื่อนไหวได้ 4 ประเภท
Spastic CP จะมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งแน่น
Ataxic CP กล้ามเนื้อจะยืดหด
อย่างไม่เป็นระบบระเบียบ
Athetoid CP มีอาการกล้ามเนื้อไม่ประสานกัน
Mixed CP เป็นการผสมผสาน
การรักษา
1.ป้องกันความผิดรูปของข้อ ต่างๆ
กายภาพบำบัด(Physical Therapy)
อรรถบาบัด (Speech and Language Therapy)
2.ลดความเกร็ง โดยใช้ยา
3.การผ่าตัด
การให้การดูแลรวมถึงให้กาลังใจ
5.การรักษาด้านอื่นๆ
มะเร็งกระดูก (Osteosarcoma)
อาการและอาการแสดง
ปวดบริเวณที่มีก้อนเนื้องอก
น้ำหนักลด
การเคลื่อนไหวของตาแหน่งที่เป็นผิดปกติ รับน้าหนักไม่ได้ มักมีประวัติการเกิดอุบัติเหตุ
การวินิจฉัย
1.การซักประวัติ
ระยะเวลาการมีก้อนเนื้องอก อาการปวด
2.การตรวจร่างกาย
น้ำหนัก ตำแหน่งของก้อน การเคลื่อนไหว ต่อมน้ำเหลือง
3.การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
MRI , CT เพื่อดูการแพร่กระจายของโรค หาระดับอัลคาไลน์ฟอสฟาเตส (ALP) และระดับ แลคเตส ดีไฮโดรจิเนส (LDH) มีค่าสูงขึ้น
การรักษา
1.การผ่าตัด
2.เคมีบำบัด
3.รังสีรักษา
ความผิดรูปแต่กำเนิดของผนังหน้าท้อง (Omphalocele)
ลักษณะทางคลินิก
พบบริเวณกลางท้องทารกมีถุงomphalocele ติดอยู่กับผิวหนัง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 4 ซม. ขึ้นไป จนมากกว่า 10 ซม. ตัวถุงเป็นรูปโดม
การรักษา
conservative
ทำโดยใช้สารละลายฆ่าเชื้อ (antiseptic solution) เหมาะสำหรับในรายที่ omphalocele มีขนาดใหญ่
หรือขนาดใหญ่มาก
การรักษาด้วยวิธีผ่าตัด (operative)
การที่มีผนังหน้าท้องแยกจากกัน (Gastroschisis)
เป็นความผิดปกติแต่กำเนิดเกิดเป็นช่องแคบยาวที่ผนังท้องภายหลังจากผนังช่องท้อง พัฒนาสมบูรณ์แล้ว เกิดการแตกทะลุของ hermia of umbilical cord
การวินิจฉัย
เมื่อคลอดพบว่าที่หน้าท้องทารกจะพบถุงสีขาวขุ่นบาง ขนาดต่าง ๆ กัน สามารถมองเห็นขดลำไส้หรือตับผ่านผนังถุงอาจมีส่วนของถุงบรรจุ wharton’s jelly สายสะดือติดอยู่กับตัวถุง ขนาดที่พบตั้งแต่ 4 – 10 cm
การดูแลรักษาพยาบาล
การแก้ไขปัญหาฉุกเฉิน
Incubator หรือ ผ้าอุ่น กระเป๋าน้ำร้อน
การประเมินการหายใจ เตรียม endotrachial tube, suction
ใส่ orogastric tube ปลายเปิดลงถุง
Rectal irrigation ด้วย NSS อุ่น
เริ่มให้ antibiotic ได้ทันที
การดูแลโดยทั่วไป
การอาบน้ำไม่ต้องทำเนื่องจากจะทำให้เด็กตัวเย็นมากขึ้น
ให้ vitamine K 1 mg intramuscular
ประเมินภาวะทั่วไป ความสามารถในการหายใจ
การดูแลเฉพาะ
การทำแผล สะอาด หมาดๆ ไม่รัด
แนวทางการพยาบาล
การพยาบาลก่อนการผ่าตัด (Nursing preoperative care)
เช็ดทำความสะอาด ลำไส้ส่วนที่ สกปรก
ป้องกันการติดเชื้อ
การดูแลหลังผ่าตัด
Respiratory distress : ใส่ endotrachial tube และให้
muscle relaxant 1-2 วันหลังผ่าตัด
Hypothermia : ต้องให้เด็กอยู่ในตู้อบ (incubator) ปรับอุณหภูมิตามตัวเด็ก
Hypoglycemia, Hypocalcemia : สังเกตว่าเด็กจะมี tremor,cyanosis หรือ convulsion รายที่มี hypocalcemia อาจจะเกิด periodic apnea
General care
จัดท่านอนหงาย
สังเกตการหายใจ
การขับถ่าย
ตรวจดูว่ามี discharge
ออกมาจากแผล
Fluid and nutrition support
ถ้าเป็น omphalocele ให้ IV fluid เป็น 10%DN/5 เป็น maintenanceบวกกับที่สูญเสียออกมาทาง OG tube
ถ้าเป็น gastroschisis มี I nsensible loss เฉลี่ย daily requirment 200 ml./kg./day
Enteral nutrition จะอนุญาตให้กินได้เมื่อเด็ก stable ประมาณ 1 สัปดาห์
Peripheral parenteral nutrition เริ่มให้ได้ตั้งแต่เด็ก stable , หลังผ่าตัด1 วัน
Antibiotic prophylaxisให้ ampicillin และ gentamicin ประมาณ 5 วัน ถ้าเด็กไม่มีปัญหา แผลติดเชื้อ รับอาหารได้ดี หายใจดีปกติ ก็สามารถหยุดการให้ยาได้
Wound care ถ้าเป็น omphalocele ใหญ่ให้ดูแลทำความสะอาดแผลกว่าจะเริ่มดีขึ้น พอให้ไปดูแลเองต่อได้ gastroschisis ที่ใส่ silo ก็เช็ด silo เช้าเย็นทำ
แผลเช่นเดียวกับก่อนผ่าตัด