Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
ภาวะน้้าคร่้าอุดกั้นหลอดเลือดในปอด, 01_1, 8bbea192-397c-8264-d625…
ภาวะน้้าคร่้าอุดกั้นหลอดเลือดในปอด
ความหมาย
ภาวะน้ำคร่ำอุดกั้นหลอดเลือดในปอด (Amniotic fluid embolism/AFE) หมายถึง ภาวะที่มีน้ าคร่ำ ผ่านเข้าสู่กระแสเลือดของมารดา ซึ่งจะเข้าไปในหลอดลมฝอยในปอด แล้วไปอุดกั้นบริเวณหลอดเลือดดำที่ปอดทำให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านสารประกอบน้ำคร่ำ
ระบบหัวใจและ การไหลเวียนโลหิต ระบบการแข็งตัวของโลหิต ช็อคและเสียชีวิตในที่สุด เป็นภาวะฉุกเฉินทางการคลอดที่มี ลักษณะเฉพาะสามประการ คือ
ภาวะขาดออกซิเจน (hypoxia)
ภาวะความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด (consumptive coagulopathy)
ภาวะความดันโลหิตต่ำ (hypotension) อย่างทันทีทันใด
อาการและอาการแสดง
เกิดภาวะน้ำคั่งในปอด (pulmonary edema)
เส้นเลือดที่หัวใจตีบ
หายใจล าบาก (dyspnea) เกิดภาวะหายใจล้มเหลวทันทีทันใด เขียวตามใบหน้า และลำตัว(cyanosis)
ความดันโลหิตต่ำมาก (low blood pressure)
คลื่นไส้ อาเจียน วิตกกังวล
ชัก
เหงื่อออกมาก
หมดสติ (Unconscious) และเสียชีวิตในเวลาต่อมา
มีอาการหนาวสั่น (chill)
ถ้าเกิดอาการนานกว่า 1 ชั่วโมง ผู้คลอดยังมีชีวิตอยู่จะเกิดภาวะกลไกการเข็งตัวของเลือดเสียไป และเกิดอาการตกเลือดอย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการแก้ไขภาวะการหดรัดตัวของมดลูกที่ดีพอ
ผลกระทบต่อทารก
พบว่า มารดาที่หัวใจและปอดหยุดทำงาน โอกาสรอดของทารกมีค่อนข้างน้อย โดยทั่วไปโอกาสรอด ของทารกมีประมาณร้อยละ 70 แต่เกือบครึ่งของทารกที่รอดชีวิตจะมีภาวะบกพร่องทางระบบประสาท
การพยาบาล
เฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ถ้ามีอาการและอาการแสดง คือ มีภาวะชักเกร็งโดยไม่มีภาวะความดันโลหิตสูงมาก่อนมี ภาวะเขียวทั่วทั้งตัว หรือเริ่มเขียวเป็นบางส่วนของร่างกาย ควรปฏิบัติดังนี้
เฝ้าระวังการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด เนื่องจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี และกลไกการแข็งตัวสูญเสียไป
สังเกตการหดรัดตัวของมดลูก
ให้สารน้ำและเลือดตามแผนการรักษา
เตรียมช่วยเหลือการคลอดโดยคีมหรือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
เตรียมช่วยฟื้นคืนชีพ ในรายที่เกิดหัวใจล้มเหลว (cardiac arrest)
ให้ออกซิเจน
ใช้เครื่องช่วยหายใจใน 2-3 วันแรก ภายใต้การดูแลในหน่วยอภิบาลผู้ปุวยหนัก(intensive care unit) เพื่อดูแลระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต
จัดให้มารดานอนในท่า fowler
ดูแลและให้ก าลังใจต่อครอบครัว ถ้ามารดาและทารกเสียชีวิต
ปัจจัยส่งเสริม
ทารกตายในครรภ์เป็นเวลานาน ทำให้มีการเปื่อยยุ่ยขาดง่าย อาจเกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดทำให้น้ำคร่ำเข้าสู่กระแสเลือด
การคลอดเฉียบพลัน
การเร่งคลอด โดยการใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
รกเกาะต่ำ
รกลอกตัวก่อนกำหนด
มดลูกแตก
การบาดเจ็บในช่องท้อง
การผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้อง
มารดามีบุตรหลายคน
มารดาตั้งครรภ์หลังที่มีอายุมากกว่า 35 ปี
น้ำคร่ำมีขี้เทาปน
การเบ่งคลอดขณะถุง น้ำคร่ำยังไม่แตก
การเจาะถุง น้ำคร่ำ
การรูดเพื่อเปิดขยายปากมดลูก
การตรวจวินิจฉัย น้ำคร่ำก่อนคลอด
การหมุนเปลี่ยนท่าทารกภายในและภายนอกครรภ์
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยจากอาการและอาการแสดง ที่สำคัญ 5 อย่าง คือ
เส้นเลือดหัวใจหดเกร็ง (cardiovascular collapse)
เลือดออก
อาการเขียว
ไม่รู้สติ
ระบบหายใจล้มเหลว (respiratory distress)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจหาเซลล์ผิวหนัง ขนอ่อน (lanugo hair) เมือกของทารกหรือเซลล์จากรก (fetal squamous cell, fetal debris, trophoblasts) ซึ่งต้องอาศัยการย้อมสีพิเศษโดยตรวจได้จาก
เสมหะ
2 เลือดจากกระแสเลือดไปปอดของมารดา หรือจากในสายของซีวีพี (CVP line) พบได้ ประมาณร้อยละ 50
การชันสูตรศพ (autopsy) พบได้ร้อยละ 75
การถ่ายภาพรังสีทรวงอก ส่วนใหญ่จะไม่พบความผิดปกติแต่อาจพบลักษณะ pulmonary edema
การตรวจคลื่นไฟฟูาหัวใจ (ECG) จะพบลักษณะ tachycardia STและ T wave เปลี่ยนแปลง และ มี RV strainได้
ตรวจการไหลเวียนของเลือดในปอดอาจพบความบกพร่องในการก าซาบ (perfusion defect) ได้
การตรวจหา Sialy 1TH antigen จะพบมีระดับสูงขึ้นในน้ำคร่ำที่มีขี้เทาปนเปื้อน
การป้องกัน
การกระตุ้นการเจ็บครรภ์ ในรายที่เด็กตายในครรภ์โดยใช้ Oxytocin drip ควรทำอย่างระมัดระวัง ดูอาการหดรัดตัวของมดลูกอย่างใกล้ชิด และไม่ควรเจาะถุงน้ำก่อนปากมดลูกเปิดหมดเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำคร่ำพลัดเข้าสู่กระแสเลือด เนื่องจากเส้นเลือดฉีกขาดจากการเจาะถุงน้ำ
ไม่ควรกระตุ้นการเจ็บครรภ์โดยวิธีเลาะแยกเยื่อถุงน้ำคร่ำ (stripping membranes) จากคอมดลูก เพราะจะทำให้เลือดดำบริเวณปากมดลูกด้านในฉีกขาดได้
การเจาะถุงน้ำคร่ำควรทำอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ถูกปากมดลูก เนื่องจากจะทำให้เส้นเลือดที่ปากมดลูก ฉีกขาดและจะทำให้น้ำคร่ำพลัดเข้าสู่กระแสเลือดได้
ในรายที่มีภาวะรกเกาะต่ำการตรวจภายในควรจะกระทำอย่างระมัดระวัง
ขณะเจ็บครรภ์คลอด ไม่ควรเร่งให้มดลูกหดรัดตัวถี่เกินไป ควรจะหดรัดตัวแต่ละครั้งนานไม่ควรเกิน60 นาที ระยะห่างประมาณ 2-3 นาทีต่อครั้ง
ถ้าผู้คลอดเจ็บครรภ์ถี่มากเกินกำหนด ผู้คลอดพักได้น้อย ควรรายงานแพทย์เวรทราบทุกครั้ง
ผลกระทบต่อมารดา
ทำให้ผู้คลอดเสียชีวิตจากการเสียเลือด ช็อค พบว่า ร้อยละ 39 ของผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมง หลังจากเริ่มปรากฏอาการ และยังพบว่า 1 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด มักเสียชีวิตภายใน 30 นาที ถ้ามี ผู้รอดชีวิตมักมีอาการทางระบบประสาท เนื่องจากมีภาวะขาดออกซิเจนรุนแรง
การรักษา
รักษาภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (DIC) โดยให้ยา Heparin
เจาะเลือดเพื่อประเมินความเข้มข้นของเลือดและการแข็งตัวของเลือด
เตรียมยาในการช่วยชีวิตผู้คลอดถ้ามีความดันโลหิตต่ า เช่น Dopamine, Norepinephrine, Epinephrine
ถ้าทารกยังไม่คลอด ประเมินอัตราการเต้นของหัวใจทารก เละรีบให้การช่วยเหลือโดยการผ่าตัด คลอดทางหน้าท้องอย่างเร่งด่วน
ดูแลการหดรัดตัวของมดลูก โดยให้ยา oxytocin หรือ methergin ทางหลอดเลือดดำ
ดูแลระบบการไหลเวียนเลือด เพื่อแก้ไขภาวะความดันโลหิตต่ า โดยการให้สารละลายทางหลอด เลือดด า เพื่อเพิ่มปริมาตรเลือด พลาสมา และสารไฟบริโนเจน
ดูแลทางเดินหายใจให้โล่ง โดยจัดให้นอน Fowler ‘ s position ให้ออกซิเจน 100% และถ้ามี ระบบการหายใจล้มเหลวให้ใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ
ประเมินการเสียเลือดทางช่องคลอด อาจมีการชั่งน้ำหนักของผ้าอนามัย น้ำหนัก 1 กรัม เท่ากับ ปริมาณการเสียเลือด 1 มิลลิลิตร
นางสาวชญานิษฐ์ พิชัยฤกษ์ 601001024 ปี3/1