Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลสตรีที่ได้รับ การช่วยคลอดด้วย สูติศาสตร์หัตถการ,…
การพยาบาลสตรีที่ได้รับ
การช่วยคลอดด้วย
สูติศาสตร์หัตถการ
Vacuum Extraction delivery
หัตถการช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ หมายถึง การทำคลอดโดยใช้เครื่องดูดสุญญากาศ โดยผู้ทำคลอดออกแรงดึงบนถ้วยทีเกาะติดกับหนังศีรษะทารกด้วยระบบสุญญากาศ เป็นการเสริมแรงเบ่งผู้คลอด
ข้อบ่งชี
ผู้คลอดไม่มีแรงเบ่งเพียงพอ
มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
Prolong 2nd stage of labor (ครรภ์แรกนาน > 2 ชม., ครรภ์หลังนาน > 1 ชม.)
ผู้คลอดมีโรคประจำตัว หรือ ถาวะแทรกซ้อนที่ไม่ควรออกแรงเบ่ง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
ศีรษะทารกอยู่ในท่าผิดปกติ (OP)
ข้อห้าม
ภาวะ CPD
ส่วนนำทารกอยู่สูง
ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น ท่าขวาง ท่าก้น หรือท่าหน้า
ทารกมีภาวะ macrosomia
ทารก preterm
ทารกได้รับการเจาะเลือดศีรษะก่อนคลอด (fetal scalp blood sampling)
ทารกมีภาวการณ์แข็งตัวของเลือดผิดปกติ
ทารกมีภาวะ fetal distress
การพยาบาล
ก่อนทำ
อธิบายให้ทราบเกี่ยวกับการรักษา เหตุผล ภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้เกิดความร่วมมือและคลายความกังวล
จัดท่าผู้คลอดท่า Lithotomy ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอก + ฝีเย็บ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ปูผ้าสะอาดปราศจากเชื้อ และสวนปัสสาวะ
เตรียมเครื่องดูดสุญญากาศ อุปกรณ์สำหรับการให้ยาระงับคงวามรู้สึกเฉพาะที่ และอุปกรณ์ช่วยเหลือทารก
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ + ยากระตุ้นการหดรัดตัวมดลูกตามแผนการรักษา
ขณะทำ
. ฟัง FHS ทุก 5 นาที / On EFM เพื่อประเมินการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่อง
ให้กำลังใจผู้คลอด อยู่เป็นเพื่อน + รายงานความก้าวหน้าของการคลอดให้ทราบเป็นระยะ
ขณะแพทย์ใส่เครื่องดูดสุญญากาศ ให้ผู้คลอดผ่อนคลายไม่เกร็ง (ให้ผู้คลอดหายใจเข้าออกลึกๆ)
เมื่อแพทย์วางถ้วยสุญญากาศในต าแหน่งที่เหมาะสมและต่อสายยางเข้าเครื่องดูดเรียบร้อย จะเริ่มลดความดันจนถึง 0.8 กก./ตร.ซม พยาบาลต้องจับเวลาในขณะที่เครื่องลดความดัน
เมื่อทำการลดความดันครบตามเวลา และได้ความดันที่ต้องการแล้ว ขณะมดลูกหดรัดตัวกระตุ้นให้ผู้คลอดเบ่งพร้อมกับแพทย์ที่เริ่มดึงถ้วยสุญญากาศ เมื่อมดลูกคลายตัวดูแลความสุขสบาย และกระตุ้นเบ่งซ้ าเมื่อมีการหดรัดตัวใหม่
ให้ผู้คลอดหยุดเบ่งขณะแพทย์กำลังตัดฝีเย็บ หลังจากนั้นกระตุ้นให้ผู้คลอดเบ่งตามการหดรัดตัวของมดลูกจนกะทั่งศีรษะคลอดจึงหยุดเบ่ง ทำการดูดน้ำคร่ำ เช็ดตา เหมือนการคลอดปกติ และทำคลอดไหล่และลำตัวตามลำดับ
กรณีช่วยคลอดด้วยเครื่องดูดสุญญากาศล้มเหลว เตรียมผู้คลอดและอุปกรณ์สำหรับผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องโดยทันที
หลังทำ
ประเมิน V/S , การหดรดตัวของมดลูก, กระเพาะปัสสาวะ และ การฉีกขาดของช่องทางคลอด เพื่อระวังการเกิดภาวะ PPH
ติดตามผลการตรวจร่างกายมารดาทารก เกี่ยวกับการได้รับบาดเจ็บหรือความผิดปกติ
แนะนำการสังเกตอาการและอาการแสดงของการตกเลือด และอาการปวดแผลฝีเย็บจากการเกิด hematoma
แนะนำเกี่ยวกับการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกทุกครั้งหลังการขับถ่าย และเปลี่ยนผ้าอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลการได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกต่อ อย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังคลอด
แนะนำการคลึงมดลูก ไม่กลั้นปัสสาวะ เพื่อป้องกันการตกเลือด
Forceps Extraction delivery
การใช้คีมจับที่ศีรษะทารกให้กระชับและเหมาะสม เพื่อช่วยคลอด
เป็นการใช้แทนแรงเบ่งของผู้คลอด
ข้อบ่งชี้
มารดา
ไม่มีแรงเบ่งจากอาการอ่อนหล้า ได้รับยาบรรเทาอาการปวด หรือ ได้รับการทำ Epidural block
มีภาวะแทรกซ้อนหากมีการเบ่งคลอด เช่น โรคหัวใจ PIH / Chronic hypertension
Prolong 2nd stage of labor (ครรภ์แรกนาน > 2 ชม. , ครรภ์หลังนาน > 1 ชม. กรณีทำ Epidural block ครรภ์แรกนาน > 3 ชม. , ครรภ์หลังนาน > 2 ชม.)
ทารก
Abnormal FHS
ศีรษะทารกอยู่ในท่าผิดปกติ เช่น occiput transverse ซึ่งต้องหมุนศีรษะทารกเป็นท่า occiput anterior เพื่อสะดวกในการคลอด
ใช้คลอดศีรษะทารกท่าก้น (after coming head)
ห้าม
รายที่มีการผิดสัดส่วนของศีรษะทารกกับช่องเชิงกราน (CPD) /เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน
ชนิดของคีม
Simpson forceps
นิยมใช้มากที่สุด
เหมาะกับศีรษะทารกที่มี molding
ไม่เหมาะสำหรับการหมุน
Tucker-Mclean forceps
ศีรษะทารกที่ กลม หรือไม่มี molding
Pelvic curve มีไม่มากใช้ในการ
หมุนศีรษะทารกได้
Piper forceps
ช้คลอดศีรษะทารกที่เป็น
ท่าก้น
Kielland forceps
ปัจจุบันไม่นิยมทำเนื่องจากหากไม่มีความชำนาญหรือประสบการณ์อาจทำให้เกิดอันตราย(2563)
ชนิดของการช่วยคลอดด้วยคีม
Outlet forceps
เห็นหนังศีรษะทารกทางช่องคลอดโดยไม่ต้องแหวก labia
กะโหลกศีรษะทารกเคลื่อนลงมาถึง pelvic floor
Sagital suture อยู่ในแนวหน้าหลัง
ศีรษะทารกอยู่บน Perineum
การหมุนไม่เกิน 45 องศา
Low forceps
ส่วนต่ำสุดของศีรษะทารกอยู่ระดับ +2 หรือมากกว่า แต่ไม่ถึง pelvis floor มีการหมุนศีรษะน้อยกว่า/มากกว่า 45 องศา
Mid Forceps
ใช้เมื่อศีรษะทารกเข้าสู่ช่องเชิงกราน (engagement) แล้ว และส่วนนำอยู่ระหว่างระดับ 0 ถึง +2
High forceps
ไม่นิยมใช้เนื่องจากอันตรายต่อทารก
การเตรียมผู้คลอด
จัดท่า Lithotomy
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอก + ฝีเย็บ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
ปูผ้าสะอาดปราศจากเชื้อ
สวนปัสสาวะให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
ให้ยาระงับความรู้สึกเฉพาะที่
Outlet forceps ใช้ pudendal block
กรณี Low forceps หรือ ต่ำกว่านั้น ควรใช้การดมยาสลบ
ตรวจภายในยืนยันท่าทารกและระดับของส่วนนำ
การพยาบาล
ก่อนทำ
อธิบายให้ทราบเกี่ยวกับแผนการช่วยคลอด เหตุผล และภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น เพื่อลดความวิตกกังวลและให้ความร่วมมือ
จัดท่าผู้คลอดท่า Lithotomy ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอก + ฝีเย็บ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ปูผ้าสะอาดปราศจากเชื้อ และสวนปัสสาวะ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยคลอด ได้แก่ forcep, สารหล่อลื่น, อุปกรณ์ช่วยเหลือทารก
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ + ยากระตุ้นการหดรัดตัวมดลูกตามแผนการรักษา
ขณะทำ
ฟัง FHS ทุก 5 นาที / On EFM เพื่อประเมินการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่อง
ให้กำลังใจผู้คลอด อยู่เป็นเพื่อน + รายงานความก้าวหน้าของการคลอดให้ทราบเป็นระยะ
ขณะแพทย์ใส่คีม ให้ผู้คลอดผ่อนคลายไม่เกร็ง (ให้ผู้คอดหายใจเข้าออกลึกๆ)
ดูแลความสุขสบาย โดยการเช็ดหน้าด้วยผ้าเย็น ให้ผู้คลอดพักขณะมดลุกคลายตัว เมื่อมดลูกหดรัดตัวกระตุ้นให้เบ่งพร้อมดึง
ประเมิน V/S เป็นระยะ
ให้ผู้คลอดหยุดเบ่งเมื่อศีรษะทารกมาตุงที่ฝีเย็บและแพทย์ก าลังตัดฝีเย็บ หลงจากนั้นกระตุ้นเบ่งตามการหดรัดตัวของมดลูกจนศีรษะคลอดให้หยุดเบ่ง ท าการดูดน้ำคร่ำ เช็ดตา เหมือนการคลอดปกติ และทำคลอดไหล่และลำตัวตามลำดับ
กรณีช่วยคลอดด้วยคีมล้มเหลว เตรียมผู้คลอดและอุปกรณ์สำหรับผ่าตัดคลอดทางหน้าท้องโดยทันที
หลังทำ
ประเมิน V/S , การหดรดตัวของมดลูก, กระเพาะปัสสาวะ และ การฉีกขาดของช่องทางคลอดเพื่อระวังการเกิดภาวะ PPH
ติดตามผลการตรวจร่างกายมารดาทารก เกี่ยวกับการได้รับบาดเจ็บหรือความผิดปกติจากการใช้คีมช่วยคลอด
แนะนำการคลึงมดลูก ไม่กลั้นปัสสาวะ เพื่อป้องกันการตกเลือด
แนะนำการสังเกตอาการและอาการแสดงของการตกเลือด และอาการปวดแผลฝีเย็บจากการเกิด hematoma
แนะนำเกี่ยวกับการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกทุกครั้งหลังการขับถ่าย และเปลี่ยนผ้าอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลการได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกต่อ อย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังคลอด
Cesarean section (การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง)
การผ่าตัดคลอด (cesaean section) หมายถึง การผ่าตัดเพื่อคลอดทารกออกทางรอยผ่าที่หน้าท้อง (laparotomy) และรอยผ่าที่ผนังมดลูก (hystrotomy)
ข้อบ่งชี้
การคลอดติดขัด (mechanical dystocia)
การคลอดไม่ก้าวหน้า ( failure to progress in labor) เช่น ภาวะ CPD
รกเกาะต่ำ
ทารกมีภาวะ fetal destress
ภาวะสายสะดือพลัดต่ำ
มาดาที่เคยผ่าตัดคลอดครรภ์ก่อน
โรคแทรกซ้อนทางอายุรกรรม เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน
ครรภ์แฝดที่ทารกไม่อยู่ท่าศีรษะทั้งคู่
มีประวัติคลอดยาก
ติดเชื้อเริม ที่อวัยวะสืบพันธ์ ระยะใกล้คลอด
ข้อห้าม
ทารกตายในครรภ์ เว้น มีข้อบ่งชี้ทางมารดา เช่น ภาวะ PPH
ทารกพิการ ไม่สามารถรอดชีวิตได้หลังคลอด
ชนิดของการผ่าตัดคลอด
การลงมีดผ่าตัดที่ผนังหน้าท้องหรือผิวหนัง
(skin incision) มี 2 ชนิด
1.1 การลงมีดในแนวตั้งกลางตัว (vertical midline incision)
1.2 การลงมีดในแนวขวาง transverse incision)
การลงมีดผ่าตัดที่ผนังมดลูก
(uterine incision) มี 2 ชนิด คือ
2.1. การผ่าตัดที่บริเวณส่วนล่างของมดลูก (low segment cesarean section)
2.1.1 การผ่าตามแนวขวางที่บริเวณมดลูกส่วนล่าง (Low transverse cesarean section
2.1.2 การผ่าตัดตามแนวตั้งที่มดลูกส่วนล่าง (Low vertical cesarean section)
2.2 การผ่าตัดที่บริเวณส่วนบนของมดลูกตามแนวตั้ง ( classical cesarean section)
การพยาบาล
ก่อนทำ
เตรียมด้านร่างกาย
NPO หลังเที่ยงคืน / ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6 – 8 ชม.
Bed rest
ดูแลความสะอาดร่างกาย เช่น อาบน้ า สระผม ตัดเล็บและล้างสีเล็บออก (ถ้ามี)
เตรียมบริเวณผ่าตัดตั้งแต่ใต้ราวนมถึงหน้าขาทั้ง 2 ข้าง
ดูแลการได้รับการสวนอุจจาระในตอนเช้าวันผ่าตัด ตรวจเช็คเรื่องฟันปลอม เครื่องประดับ และของมีค่าออกให้หมด
เจาะ G/M เตรียมเลือดอย่างน้อย 2 ยูนิต
ให้ IV fluid
Retained foley’s catheter
บันทึก V/S และ FHSฃ
เตรียมด้านจิตใจ
• อธิบายให้ทราบเกี่ยวกับแผนการรักษา สาเหตุของการผ่าตัดคลอด
• อธิบายภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
• แนะนำการปฏิบัติตัวก่อนและหลังการผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและคลายความกังวล
• เปิดโอกาสให้ผู้คลอดได้ซักถามและระบายความรู้สึก
ขณะทำ
ประเมิน V/S ผู้คลอดทุก 5 – 15 นาที
สังเกตและบันทึกอาการและอาการแสดงของภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยาระงับความรู้สึก เช่น หายใจลำบาก กระสับกระส่าย คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
ประเมินและบันทึกปริมาณปัสสาวะ ควรออก > 30 ซีซี/ชั่วโมง
หลังทารกคลอดครบดูให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกตามแผนการรักษา
หลังทำ
ประเมิน V/S ผู้คลอดทุก 15 นาที ใน 1 ชม.แรก ทุก 30 นาที ใน 1 ชั่วโมงที่สอง หลังจากนั้นประเมินทุก 1 ชม. จนอาการคงที่
ติดตามผลตรวจร่างทารกว่ามีการบาดเจ็บหรือความผิดปกติ
ประเมินแผลผ่าตัดดูเลือดซึมบริเวณที่ก็อซปิดแผลไว้หรือเปล่า แนะนำไม่ให้แผลโดนน้ำ
ประเมินอาการปวดแผลและแนะนำใช้มือประคองแผลเวลาลุกนั่ง ไอ หรือ จาม ให้นอนท่า semi-fowler (กรณีไม่มีข้อห้าม) เพื่อให้หน้าท้องหย่อน หากปวดมากพิจารณาให้ยาบรรเทาปวดตามการรักษา
รายที่ได้รับยาระงับความรู้สึกแบบ spinal block ให้นอนราบหลังผ่าตัดอย่างน้อย 8 – 12 ชั่วโมง เพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะจากน้ำไขสันหลังรั่ว
ดูแลการได้รับสารน้ำและยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกตามแผนการรักษา
ดูแความสุขสบายทั่วไป เช่น ความสะอาดร่างกาย และ อวัยวะสืบพันธ์ภายนอก
กระตุ้นการ early ambulate การสังเกตอาการตกเลือด การขับถ่ายปัสสาวะ หลังเอาสายสวนปัสสาวะออก การเริ่มรับประทานอาหารในระยะหลังผ่าตัด เป็นต้น
Version (Internal version, External version)
การหมุนเปลี่ยนท่าทารก (version) เป็นหัตถการที่ทำมานาน แต่ปัจจุบันไม่นิยมทำ ทำเมื่อกรณีเด็กเป็นท่าก้น และแพทย์ประมินอย่าง ละเอียดแล้วว่าช่องเชิงกรานและศีรษะทารกไม่มีการผิดสัดส่วน แบ่งเป็น 2ชนิด
การหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายนอก (externalcephalic version : ECV)
ข้อบ่งชี้
อายุครรภ์มากกว่า 37 สัปดาห์
ครรภ์เดี่ยวที่ทารกอยู่ในท่าก้น/ท่าขวาง ไม่มีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์
ข้อห้าม
• ครรภ์แฝด
• สตรีมีครรภ์ที่อ้วนมาก
• มีความผิดปกติของมดลูก / มีแผลผ่าตัดที่มดลูก
• ทารกท่าก้น ที่ก้นเคลื่อนที่ลงสู่เชิงกรานแล้ว
• Abnormal FHS
• Uteroplacenta insufficiency
• Macrosomia
• Fetal anormoly
• สตรีตั้งครรภ์มีภาวะแทรกซ้อนทางอายุรกรรม เช่น หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
• สตรีมีครรภ์มีภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรม เช่น รกเกาะต่ำ เลือดออกระหว่างตั้งครรภ์
การพยาบาล
ก่อนทำ
อธิบายให้สตรีตั้งครรภ์ทราบเกี่ยวกับแผนการรักษา าวะแทรกซ้อน ขั้นตอนการหมุนเปลี่ยนท่าทารก เพื่อให้เกิดความร่วมมือและลดความกังวล ขณะหมุนเปลี่ยนท่าทารกหากสตรีรู้สึกเจ็บมาก สามารถบอกให้หยุดได้
ให้ NPO อย่างน้อย 8 ชม. ก่อนทำ
เตรียมอุปกรณ์ สถานที่ ให้สตรีถ่ายปัสสาวะให้เรียบร้อย และจัดท่านอนหงายราย
ดูแลการได้รับการ ultrasound เพื่อยืนยันท่าและส่วนนำทารก + NST เพื่อประเมินภาวะสุขภาพทารกในครรภ์
ดูแลให้ IV fluid และยายับยั้งการหดรัดตัวของมดลูกตามแผนการรักษา
ประเมิน V/S ของสตรีและประเมิน FHS ก่อนท าการหมุนเปลี่ยนท่าเพื่อเป็น baseline
ขณะทำ
ประเมิน FHS ทารกและอาการเจ็บปวดขณะทำการหมุนเปลี่ยนท่าเป็นระยะๆ >> FHS > 120 ครั้ง/นาที หรือ สตรีมีอาการเจ็บปวดมากให้หยุดการหมุนเปลี่ยนท่าทันที
อยู่เป็นเพื่อสตรี เพื่อลดความกลัวและความกังวล
หลังทำ
ประเมิน FHS ต่อไปอีกอย่างน้อย 30 นาที
ดูแลให้ได้รับการตรวจ U/S เพื่อยืนยันว่าเป็นท่าศีรษะ
ตรวจ NST เพื่อประเมินภาวะสุขภาพทารกในครรภ์ หากเป็น NR >> ทำ CST ต่อ หากผลเป็น positive พิจารณายุติการตั้งครรภ์
ประเมิน V/S มารดาเป็นระยะๆ
ดูแลให้ได้รับ Rh immunoglobulin (anti-D immune globulin
ประเมินและให้คำแนะนำสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น ถุงน้ำคร่ำแตก เลือดออกทางช่องคลอด มดลูกหดรัดตัวแรงขึ้น หรือทารกน้อยลง
แจ้งผลให้สตรีตั้งครรภ์ทราบและแนะนำการปฏิบัติตัว
การหมุนเปลี่ยนท่าทารกจากภายใน (internal podalic version)
คือการหมุนเปลี่ยนท่าทารกโดยสอดมือผ่านปากมดลูกเข้าไปหมุนภายในโพรงมดลูก ในรายที่ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว เพื่อเปลี่ยนจากท่าขวางหรือท่าศีรษะเป็นท่าก้น และทำคลอดในท่าก้นต่อไป
หัตถการนี้ค่อนข้างอันตรายต่อมารดาและทารกในครรภ์ ปัจจุบันทำน้อยมาก
ข้อบ่งชี้
การคลอดแฝดคนที่สอง (ท่าขวางหรือท่าศีรษะ) มีปัญหาต้องคลอด่วน เช่น fetaldistress สายสะดือย้อย หรือมีเลือดออกมาก เป็นต้น
ทารกท่าขวางที่ปากมดลูกเปิดหมดแล้ว
ข้อห้าม
เคยผ่าตัดบริเวณมดลูก
ส่วนนำทารกเคลื่อนลงมาต่ำมาก
ตกเลือดก่อนคลอด หรือ มีภาวะรกเกาะต่ำ
มีอาการและอาการแสดงของภาวะมดลูกแตกคุกคาม
การพยาบาล
ก่อนทำ >> เช่นเดียวกับการหมุนเปลี่ยนท่าภายนอก แต่ ไม่ NPO ผู้คลอด
ขณะทำ >> อยู่เป็นเพื่อน ให้ก าลังใจ + ประเมิน FHS และอาการปวดเป็นระยะ
หลังทำ >>
3.1. ประเมิน FHS และ V/S ผู้คลอดเป็นระยะๆ
3.2 ดูแลช่วยเหลือการชวยคลอดท่าก้นต่อ เช่น การเตรียม piper forceps สำหรับช่วยคลอดศีรษะทารก พร้อมทั้งช่วยเหลือกรณีเกิดภาวะฉุกเฉิน เช่น การคลอดติดศีรษะ
3.3 ประเมินภาวะแทรกซ้อนหรือการบาดเจ็บ เช่น ช่องทางคลอดฉีกขาด มดลูกแตก , รกลอกตัวก่อนก าหนด กระดูกทารกหัก การบาดเจ็บของศีรษะทารก หรือทารกเสียชีวิต เป็นต้น
Placenta removal (การล้วงรก)การล้วงรก
(manual removal of placenta) เป็นหัตถการ
สำคัญช่วยผู้คลอดจาการตกเลือดจากปัญหารกค้างได้
ข้อบ่งชี้
ภายหลังทารกคลอดครบ ระยะที่ 3 นานกว่า 30 นาที และเลือดออกไม่เกิน 400 มิลลิลิตร
มีเลือดออกมากกว่า 400 มิลลิลิตร ภายหลังทารกคลอดโดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาที่รกค้าง
สายสะดือขาดและหดกลับเข้าไปในช่องคลอด โดยไม่สามารถเข้าไป Clamp จุดที่ขาดได้
ห้าม
ผู้คลอดอยู่ในภาวะช็อค
การพยาบาล
ก่อนทำ
อธิบายให้ทราบเกี่ยวกับแผนการรักษา
ดูแลการได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไปโดยวิสัญญี
จัดท่า Lithotomy
เตรียมอุปกรณ์ล้วงรกให้พร้อม
ดูแลการได้รับ IV fluid ตามแผนการรักษา
ขณะทำ
ประเมิน V/S ทุก 5 นาที
ประเมิน contraction ปริมาณเลือดที่ออกจากช่องคลอดละฝีเย็บ
ดูแลการได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก
หลังทำ
ประเมิน V/S , contraction , bladder , การฉีกขาดของช่องคลอดและปริมาณเลือด เพื่อเฝ้าระวังการเกิดภาวะ PPH
ประเมินอาการและอาการแสดงของภาวะ PPH เช่น ใจสั่น ปลายมือปลายเท้าเย็น เป็นต้น
แนะนำการคลึงมดลูก ไม่กลั้นปัสสาวะ
แนะนำการเปลี่ยนผ้าอนามัยและการทำความสะอาดภายหลังการขับถ่ายทุกครั้งเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ดูแลได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกต่ออย่างน้อย 2 ชม.หลังคลอด
Breech assisting (การทำคลอดท่าก้น)
การคลอดทารกท่าก้น (Breech delivery) ต่างจากการคลอดท่าศีรษะ เนื่องจากต้องใช้ความเชียวชาญและความระมัดระวังสูง พบได้ร้อยละ 3 – 4 ของการคลอด
Frank breech presentation คือ ข้อสะโพกงอ ข้อเข้าทั้ง 2 ข้างเหยียดตรง ขาแนบไปกับลำตัวและอก พบได้ร้อยละ 60 - 70
วิธีคลอดท่าก้น
Spontaneous breech delivery ผู้คลอดออกแรงเบ่งคลอดทารกออกมาเอง ผู้ทำคลอดช่วยพยุงลำตัวทารกตามกลไกธรรมชาติ
1.2 การคลอด >> ให้ผู้คลอดช่วยเบ่งทารก โดยผู้ทำคลอดช่วยจับพยุงวิธีช่วยจับพยุง
Tsovjanov’s method
Bracht’s method
1.1 การเตรียม
จัดท่าผู้คลอด lithotomy
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกและฝีเย็บด้วยน้ ายาฆ่าเชื้อ
ปูผ้าปราศจากเชื้อ + สวนปัสสาวะ
ให้ IV fluid
ให้ยาชาเฉพาะที่
Breech assisting delivery (partial breech extraction) คือ การทำคลอดท่าก้นโดยผู้ทำคลอดช่วยดึงทารกออกมา
2.1 การเตรียม
• จัดท่าผู้คลอด lithotomy
• ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอกและฝีเย็บด้วยน้ ายาฆ่าเชื้อ
• ปูผ้าปราศจากเชื้อ + สวนปัสสาวะ
• ให้ IV fluid
• ให้ยาชาเฉพาะที่
2.2 การคลอด >> ให้ผู้คลอดเบ่งจนทารกคลอดออกมาจนถึงระดับสะดือ หลังจากนั้นช่วยทำคลอดไหล่ ตามด้วยการทำคลอดศีรษะทารกวิธีการช่วยคลอดศีรษะทารกมี 2 วิธี คือ
2.2..1 วิธีการช่วยคลอดศีรษะทารกด้วยมือ (Mauriceau – Smellie – Veit method)
2.2.2 วิธีช่วยคลอดศีรษะทารกโดยใช้คีม (forceps to after coming head) นิยมใช้ piper forceps
Total breech extraction คือ การช่วยคลอดทุกส่วนของทารกท่าก้น โดยการดึงทารกทั้งตัวออกมาทางช่องคลอด ตั้งแต่ก้นยังอยู่ในระดับ pelvic floor หรือ สูงกว่านี้
3.1 การเตรียม – เช่นเดียวกับวิธี spontaneous breech delivery
3.2 การทำคลอดมี 2 วิธี คือ
3.2.1 Groin extraction คือ การใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอดเกี่ยวดึงที่ขาหนีบ(groin) ทั้งสองข้าง ดึงให้สะโพกทากเคลื่อนมาเรื่อยๆ จนก้นพ้นช่องคลอดถึงระดับสะดือ
3.2.2 Breech decomposition ทำได้ 2 แบบคือ
Simple breech decompression
Pinard maneuver
3.3 การทำคลอดลำตัว ไหล่และศีรษะ เช่นเดียวกับวิธี breech assisting delivery
Induction of labor (การชักนำการคลอด)
การชักนำการคลอดหรือการกระตุ้นคลอด หมายถึง การทำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดโดยเทคนิคต่างๆ ในขณะที่ยังไม่มีการเจ็บครรภ์คลอดเกิดขึ้นเองตามธรรมชาต
ชนิด
Induction of labor คือ การกระตุ้นให้เจ็บครรภ์คลอด โดยท าให้มดลูกเกิดการหดรัดตัวและหรือท าให้ปากมดลูกนุ่ม ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีการเจ็บครรภ์คลอดตามธรรมชาติเกิดขึ้น
Augmentation of labor คือ การส่งเสริมการเจ็บครรภ์คลอดที่มีอยู่ก่อนแล้วให้มีการหดรัดตัวของมดลูกที่ดีขึ้น
Uterine tachysystole คือ มีการหดรัดตัวของมดลูกมากกว่า 5 ครั้ง ในเวลา 10 นาที ในช่วงระยะเวลา 30 นาที
Uterine hypertonus คือ การที่มดลูกมีการหดรัดตัวนานกว่า 2 นาที ต่อ 1 ครั้ง
Uterine hyperstimulation คือ การเกิด tachysytole หรือ hypertonus ร่วมกับมี nonreassuring fetal heart rate
การชักนำการคลอดต้องมีการประเมินความพร้อมของปากมดลูก เพราะสามารถนำมาใช้ทำนายความสำเร็จของการชักนำการคลอดได้ โดยใช้ Bishop score
คะแนนเต็ม 13 คะแนน หากได้ 9 คะแนนขึ้นไปโอกาสในการชักน าการคลอดจะสำเร็จมากขึ้น
ในรายที่คะแนนน้อยกว่า 4 คะแนน ถือว่าปากมดลูกไม่มีความพร้อมในการชักนำการคลอด
วิธีการชักนำการคลอด
การใช้ prostaglandin
การใช้ Oxytocin
Amnitomy
Membrane stripping/sweeping
Breast stimulation
การพยาบาล
เตรียมยาให้ถูกต้องตามแผนการรักษา
อธิบายวัตถุประสงค์การให้ยา
ให้ยาแก้ผู้คลอด โดยพิจารณาจากการหดรัดตัวของผู้คลอด
ประเมิน Contraction หลังได้รับยา 15 นาที ต่อไปทุก 30 นาที และทุกครั้งก่อน/หลังการปรับหยด 2 – 3 นาที
ปรับเพิ่มหยดทุก 15 – 30 นาที โดยเพิ่มครั้งละ 1 – 2 มิลลิยูนิต/นาที (Duration = 40 – 60 นาที, Interval = 2 – 3 นาที )
ฟัง FHS ทุก 30 นาที
ดูแลใกล้ชิด หากได้รับยาเกิน 24 ชม. ให้สังเกต Bandl’s ring ความดันโลหิตต่ำ ภาวะสารน้ำเป็นพิษ คลื่นไส้อาเจียน กระสับกระส่าย
ระยะหลังคลอด ดูแลการได้รับยาต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อป้องกัน PPH
Emergency delivery (การทำคลอดในภาวะฉุกเฉิน)
นางสาวปรีดานันท์ อินทรา เลขที่ 37 ชั้นปีที่ 3 รุ่นที่ 28