Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, นางสาว ปิยวรรณ แสวงวงษ์ เลขที่…
การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
เด็ก
ราชบัณฑิตยสถาน
บุคคลอายุเกิน 7 ปี แต่ไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์
ผู้เยาว์ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์
อายุไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ และยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
ด้านสุขภาพ
บุคคลตั้งแต่แรกเกิดถึง 15 ปี
ช่วงวัยเด็ก
Toddler
เด้กวัยเดิน อายุ 1-3 ปี
Preschool
age
เด็กวัยก่อนเรียน 3-5 ปี
Infant
ทารกอายุมากกว่า 28 วัน ถึง 1 ปี
School age
เด็กวัยเรียยน 6 - 12 ปี
Aldolescent
วัยรุ่น 13-15 ปี
Newborn
ทารกแรกเกิด 28 วัน หลังคลอด
สิทธิเด็ก
สิทธิที่จะได้รับ
การปกป้องคุ้มครอง
จากการทารุณกรรม
ร่างกาย
ทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศ
จืตใจ
สิทธิในด้านพัฒนาการ
ทุกคนจะได้รับสิทธิให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ร่างกาย จิตใจ สังคม ความพึงพอใจและความสุข
สิทธิในการมีชีวิต
สิทธิของเด็กที่คลอดออกมาแล้วต้องมีชีวิตอยุ๋รอดอย่างปลอดภัย
สิทธิในการมีส่วนร่วม
สิทธิที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกทั้งในด้านความคิดและการกระทำของเด็ก การเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่อาศัยอยู่
วันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปีกำหนดให้เป็น วันสิทธิเด็ก
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546
คณะกรรมการคุ้งครองเด็ก
การปกป้องคุ้มครองเด็ก
กฏหมายได้กำหนดหน้าที่ผุ้ปกครองและบุคคลผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติต่อเด็กที่เหมาะสมไว้อย่างชัดเจน
ความคิดรวบยอดเกี่ยว
กับการเจ็บป่วยของเด็ก
ระดับปฏิบัติการด้วยนามธรรม
อายุ 11-12 ปีจนถึงวัยผู้ใหญ่
ประเภท
ประเภทที่ 6เข้าใจถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยที่พัฒนาถึงขึ้นสูงสุด
ประเภทที่ 5 ความเจ็บป่วยเกิดจากอวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่ดี หรือไม่ทำงาน
ระดับความคิดความ
เข้าใจก่อนขั้นปฏิกิริยา
ประเภท
ประเภทที่ 2 สาเหตุสัมพันธ์กับวัตถุ หรือบุคคลใกล้ๆ
ประเภทที่ 1 ตอบตามปรากฏการณ์
อายุ 18 เดือน - 7ปี
ประเภท 0
ประเภทที่ 0 ตอบแบบไม่เข้าใจ
ระดับความคิดความเข้าใจ
ในขั้นปฏิบัติการด้วยรูปธรรม
ประเภท
ประเภทที่ 4 ภายในร่างกาย
ประเภทที่ 3 การปนเปื้อน
อายุ 7ปี - 11 ปี
ความเข้าใจเกี่ยว
กับความตายของเด็ก
วัยแรกเกิดและวัยทารก
อายุ <6 เดือน ไม่เข้าใจเกี่ยวกับความตาย
อายุ > 6 เดือน ผูกพันกับผู้เลี่ยงดู รู้สึกแยกจาก
หากเด็กอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต ไม่ปล่อยให้เด็กเผชิญความตายเพียงลำพัง
วัยเดินและวัยก่อนเรียน
เข้าใจว่าตายแล้วสามารถฟื้นคืนกลับมาได้
เด็กบางคนเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายเกือบสมบูรณ์ จากการเผชิญความตายาจกสัตว์เลี้ยงหรือผู้ใหญ่
วัยเรียน
เข้าใจว่าความตายเ้นสภาะที่ร่างกายหยุดทำงาน ไม่สามารถฟื้นคืนมาได้
เข้าใจได้ว่าตัวเองก็อาจจะตายในวันหนึ่ง
มีการจินตนาการเรื่องความตาย
วัยรุ่น
เข้าใจความตายใกล้เคียงกับผู้ใหญ่
มองความตายเป็นเรื่องไกลตัว ยอมรับความตายตัวเองได้ยาก เหมือนการถูกลงโทษ
ชวงระยะสุดท้ายของชีวิตเด็ก ผู้ดูแล ควรให้ความรัก ดูแลแม้ว่าเด็กไม่ได้ร้องขอ ทำให้เด็กยอมรับการดูแลโดยไม่รู้สึกเสียศักดิ์ศรีความเป็นตัวของตัวเอง
เด็กป่วยกับการเข้ารับ
การรักษาในโรงพยาบาล
การปรับตัวของเด็ก
และครอบครัว
ขึ้นอยู่กับ
ความสามารถของเด็กต่อการปรับตัวต่อความเครียด
ความรุนแรงของความเจ็บป่วย
ประสบการณ์เดิมของเด็กที่เคยเจ็บป่วยครั้งก่อน
ระบบการดูแลและการช่วยเหลือเด็ก
พัฒนาการตามวัยของเด็ก
ผลกระทบของความเจ็บป่วย
วัยก่อนเรียน
เด็กจะคิดว่าความเจ็บป่วยและต้องอยู่ในโรงพยาบาลเป็นการถูกลงโทษ
วัยเรียน
ทำให้สูญเสียการนับถือตนเอง รู้สึกมีปมด้อย จากการหย่อนความสามารถในการเรียน การเลนกีฬา หรือการที่ไม่ยอมรับเข้ากลุ่ม
วัยเดิน
เด็กคิดว่าพ่อ แม่ทอดทิ้ง เนื่องจากการไม่เข้าใจเเพราะเมื่อเจ็บป่วยต้องพรากจาก พ่อ แม่
เมือเจ็บป่วย พ่อ แม่ จะปกป้องคุ้มครองเกินไป จะทำให้รู้สึกกลัว และไม่สามารถเริ่มทำอะไรด้วยตัวเอง
วัยรุ่น
มีผลต่อความเชื่อมั่นต่อตัวเอง ภาพลักษณ์ บุคลิกภาะเนื่องจากวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องการอิสระ
วัยทารก
ทำให้รุูสึกไม่สุขสบาย ส่งผลต่อความต้องการของทารก
เด็กขาดการกระตุ้นประสาทสัมผัสจากมารดา เนื่องจากเด็กต้องอยู่โรงพยาบาล มารดาไม่ได้อุ้ม เลี้ยงดู
ปฏิกิริยาของเด็กต่อการเจ็บป่วย
ความวิตกกังวลเนื่องจากการแยกจาก
(separation anxiety)
พบมากในเด็กอายุ 6เดือน - 3 ปี
มี 3 ระยะ
ระยะสิ้นหวัง
(despair)
อาการโศกเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้ง
แยกตัวอยู่เงียบ ๆ ร้องไห้น้อยลง ท่าทางอ่อนเพลีย
ระยะนี้เด็กจะยอมร่วมมือในการรักษาที่เจ็บปวดเมื่อมารดามาเยี่ยม
เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรง แสดงพฤติกรรมโมโห
ระยะปฏิเสธ(denial)
ระยะนี้เด็กจะหันกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เหมือนกับว่าเด็กปรับตัวได้แต่เด็กเพียงเก็บกดความรู้สึกที่มีต่อมารดาไว้
จะหันไปสร้างสัมพันธภาพอย่างผิวเผินกับเจ้าหน้าที่พยาบาลหลายๆคน แต่ไม่กล้าเสี่ยงที่จะไว้ใจใคร
ระยะประท้วง(protest)
เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรงมาก
การร้องไห้ประท้วงรุนแรงมากขึ้นเมื่อมารดาจะจากไปเด็กพยายามที่จะให้มารดาอยู่ด้วย
ไม่ยอมร่วมมือในการรักษา ไม่ยอมกิน ไม่ยอมนอน
วัยรุ่น
สื่อสารให้ผู้อื่นทราบถึงความต้องการได้
มีความคิดด้วยนามธรรมได้มาก
วัยรุ่นอาจปฏิเสธการรักษาเพราะเชื่อตามเพื่อนมากกว่าความเชื่ออื่น
ต้องใช้ความเครียดในอดีตช่วยเผชิญภาวะเครียดในปัจจุบัน
การแยกจากที่สำคัญ คือ แยกจากเพื่อนรุ่นเดียวกัน
วัยเรียน
เผชิญความเครียดได้ดีกว่าเด็กเล็ก แต่จะกังวลเกี่ยวกับการไม่ได้ปฏิบัติเกี่ยวกับกิจกรรม อาจจะมีอาการเหงา เบื่อ ซึมเศ้า
พฤติกรรมถดถอย(regression)
กลไกปรับตัวในเด็กวัยเดินและเด็กก่อนวัยเรียน
แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความเครียดและระดับควมขับข้องใจ
การสูญเสียการควบคุมตัวเอง
(loss of control)
เด็กวัยเรียน
สามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยอิสระ
ความกลัวคือ ภาวะที่คุกตามสูญเสียการควบคุม เนื่องจากเด็กสามารถช่วยเหลือตัวเองได้โดยอิสระ มีความมั่นใจ
วัยรุ่น
จะทำให้เกิดการสูญเสียการควบคุม อาจจะมีการปฏิเสธ ไม่ยอมร่วมมือ โดยไม่คำนึงว่าจะแสดงออกอย่างไร เนื่องจากมีความเป็นอิสระ เอาแต่ใจ หาเอกลักษณ์ของตน
เด็กวัยก่อนเรียน
เหตุการที่ทำให้สูญเสียการควบคุม
ให้เด็กนอนหงายนิ่ง
การได้รับสารน้ำทางหลอดเลือดดำ
การจำกัดการเคลื่อนไหว
ทำให้เด็กขาดความมั่นคง เด็กจะไม่ร่วมมือในการรักษา
การบาดเจ็บและความเจ็บปวด
เด็กวัยก่อนเรียน
เด็กจึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงและมองการปฏิบัติต่าง ๆ เป็นการลงโทษ
วิธีการเตรียมก่อน
ปฏิบัติการพยาบาล
ต้องบอกเด็กว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วต้องรีบทําทันที
เด็กจินตนาการเกี่ยวกับความกลัวอย่างรุนแรง
เด็กจะเข้าใจเกี่ยวกับร่างกายของตนเองแต่เพียงภายนอก ทำให้กลัวการตัดอวัยวะ
เด็กวัยเรียน
กลัวการบาดเจ็บ กลัวความตาย กลัวการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้แตกต่างจากเพื่อน
ต้องการคําอธิบายที่เป็นวิทยาศาสตร์ในการอธิบายเกี่ยวกับโรค ความรู้สึก การรักษาพยาบาล
เด็กวัยนี้รับรู้เกี่ยวกับความเจ็บป่วยเป็นการถูกลงโทษ
วัยรุ่น
การปรับตัวของวัยรุ่น
ปรับตัวโดยการเข้าหาผู้อื่น
ยอมรับความอ่อนแอของตัวเองพยายามที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นสงสารและเห็นใจ
ปรับตัวโดย
การต่อสู้และต่อต้าน
ต้องการที่จะเป็นคนที่เข้มแข็งและมีอิสระภาพ
ปรับตัวโดยการถอยหนีจากคนอื่น
สร้างโลกของตนเอง อยู่ห่างจากคนอื่น
เพราะคิดว่าคนอื่นไม่เข้าใจในตัวเขา
ปฏิกิริยาของครอบครัวผู้ป่วย
การปรับตัวขึ้นอยู่กับปัจจัย
ความเข็มแข้งของบิดามารดา
ความสามารถในการปรับตัวครั้งก่อน ๆ
ปัจจัยการช่วยเหลือค้ําจุน
ความเคร่งเครียดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากระบบครอบครัว
วิธีปฏิบัติเพื่อการวิเคราะห์โรคและการรักษา
ความเชื่อถือเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา
ประสบการณ์เกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการอยู่ในโรงพยาบาล
แบบแผนการสื่อสารของสมาชิกในครอบครัว
ความรุนแรงของการรักษา
ปฏิกิริยาของบิดา มารดา
การปฏิเสธ และไม่เชื่อ ในระยะแรกที่ทราบว่าบุตรเจ็บป่วย
ความรู้สึกโกรธและโทษตัวเอง เมื่อรู้แน่ชัดว่าเด็กป่วยจริง
ความรู้สึกกลัว และวิตกกังวล มักจะมีความสัมพันธ์กับอาการรุนแรงของโรคที่เด็กเป็น
ความรู้สึกหงุดหงิด คับข้องใจ และการขาดอํานาจต่อรอง
ความรู้สึกเศร้า
ปฏิกิริยาโต้ตอบของพี่น้อง
ความโกรธ
ความอิจฉาริษยา
ความรู้สึกผิด
ความสามารถในการปรับตัวของพี่น้องขึ้นอยู่กับระดับขั้นของพัฒนาการ
หลักการพยาบาลใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
เป็น “best practice” ในการดูแลเด็กป่วย
องค์ประกอบ
การตระหนักและการเคารพ (Respect)
การร่วมมือ (Collaboration)
ครอบครัวและบุคลากรวิชาชีพมีความเท่าเทียมกันในการดูแล(Partnership)
การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ของเด็กครอบครัว
ยอมรับว่าผู้ป่วย//บุคคลที่มีความสําคัญต่อผู้ป่วยว่าเป็นส่วนหนึ่งของทีมสุขภาพ
ตระหนักว่าบิดามารดามีความต้องการในการมีส่วนร่วม
ข้อมูลที่ได้รับจากบุคลากรทีมสุขภาพและบิดามารดามีความสำคัญในการตัดสินใจ วางแผนดูแล
ใช้การปฏิสัมพันธ์ในการสร้างความมั่นใจและเพิ่ม ความสามารถของสมาชิกในครอบครัว
การสนับสนุน (Support)
ตระหนักว่าแต่ละครอบครัวมีวิธีการเผชิญปัญหาที่เป็น ลักษณะเฉพาะแตกต่างกัน
ตระหนักถึงอิทธิพลของการที่เด็กที่มีต่อพัฒนาการของเด็ก และบทบาทของ บิดามารดา
ให้ช่วยเหลือเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายและ อารมณ์ของเด็กและครอบครัว
ปรับบทบาทจากผู้กระทําโดยตรงมาเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้ป่วย และครอบครัวกระทําด้วยตนเอง
กระตุ้นและช่วยเหลือให้ครอบครัวเหล่านี้ให้มีการช่วยเหลือซึ่ง กันและกัน
หลักการดูแลเด็ก
โดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
1.เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็ก ในขณะที่บุคลากรด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
ให้ความสําคัญกับสิ่งที่ครอบครัวกังวลหรือเห็นว่าสําคัญ
สนับสนุนครอบครัวให้ทําหน้าที่ผู้ดูแลเด็กขณะเจ็บป่วยใน โรงพยาบาล
ให้ความสําคัญกับการตัดสินใจของสมาชิกในครอบครัว และ ช่วยเหลือ ครอบครัวในการตัดสินใจในการดูแลเด็ก
ร่วมกับครอบครัวในการค้นหาทางเลือกต่างๆ ในการดูแลต่างๆ
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือ
ระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพ
ในทุกระดับของการบริการดูแลสุขภาพ
ทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และให้ความไว้วางใจ
สื่อสารทําความเข้าใจถึงบทบาท และความคาดหวังของกันและกัน
มีการสื่อสารในทางที่ดีเปิดเผย และต่อเนื่อง
วางแผนการดูแลรักษา และตัดสินใจร่วมกัน
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
ที่จําเป็นและสมบูรณ์แก่บิดามารดา
อย่างต่อเนื่องและไม่ลําเอียงด้วยท่าที
ที่เหมาะสมในลักษณะของการสนับสนุน
อธิบายคําศัพท์ทางการแพทย์ให้ครอบครัวให้เข้าใจ
ให้ข้อมูลบิดามารดาทั้งทางวาจาและลายลักษณ์อักษร
อธิบายเป้าหมายและเหตุผลของการพยาบาล
ตอบข้อสงสัยของบิดามารดา
4.เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการ ของ บุคคลและครอบครัวเข้าในระบบบริการสุขภาพ
ลงมือปฏิบัติสนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และ เศรษฐกิจ เช่น ส่งปรึกษา สงคมสงเคราะห์เรื่องเงิน ส่งหน่วยปรึกษาเมื่อเกิดปัญหา การปรับตัวหรือ ความคับข้องใจ
ยอมรับว่าครอบครัวมีจุดแข็ง
และมีลักษณะเฉพาะ รวมทั้งเคารพ
วิธีการเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน
ประเมินจุดแข็ง และมีวิธีการเผชิญปัญหาของครอบครัว
เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของครอบครัว ค่านิยม ความเชื่อและการตัดสินใจของครอบครัว
เสริมสร้างพลังอํานาจ (Empowerment) ของ ครอบครัว โดยเริ่มจากจุดแข็งที่ครอบครัวมีอยู่
เคารพยอมรับในความหลากหลายของเชื้อชาติวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ และสังคม เศรษฐกิจของ ครอบครัว
กระตุ้นและสนับสนุน
ให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครอง
ให้คุณค่า ความสําคัญของการช่วยเหลือระหว่าง ครอบครัว
สนับสนุนความร่วมมือของเครือข่ายระหว่างกลุ่มแพทย์และเครือข่ายผู้ปกครอง
ส่งต่อครอบครัวไปยังเครือข่ายผู้ปกครอง
9.จัดบริการให้มีความความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และ ตอบสนองความต้องการของครอบครัว
จัดหาวิธีการและทางเลือกของการรักษาให้กับบิดามารดา
สนับสนุน/กระตุ้นให้เกิดการดูแลแบบสหสาขา เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลที่สําคัญเกี่ยวกับการดูแลเด็กกับวิชาชีพอื่น
บทบาทของพยาบาลเด็ก
ในการใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
เสริมสร้างความสามารถของครอบครัว โดยให้โอกาสบิดามารดาแสดงความสามารถและสมรรถนะ
เสริมสร้างพลังอํานาจแก่ครอบครัวเปลี่ยนแปลงในทางบวก
3.มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทักษะ และทรัพยากรกับครอบครัว โดยพยาบาลต้องตระหนักว่าบิดามารดามีความเสมอภาคกับตน
พยาบาลสร้างกลไกความสัมพันธ์กับบิดามารดาเป็นแบบหุ้นส่วน
Preparation for Hospitalization and Medical Procedures
Preparing Infants
Stressors:
Separation from parents
Having many different caregivers
Seeing strange sights, sounds, smells
New, different routines
Interrupted sleep
Day and night confusion
Keep routines
Bring favorite security item
Let nursing staff know about baby’s schedule
Parents remain calm
Be patient with infant
Hard to comfort
console
clingy
Distract, rock, comfort
Preparing Toddlers
/Preschoolers
Stressors
Being left alone
Having to stay in strange bed/room
Loss of comforts of home, family
Being in contact with unfamiliar people
Painful procedures
Medical equipment that looks scary
Read books about going to hospital
Interactive play with dolls
Simple explanations
Establish “procedure free zones”
Stay with child during hospitalization
Preparing School Age
Stressors
Being away from school/friends
Thinking he/she is in hospital
because he/she is being punished
Loss of control
Pain
Needles/shots
Dying during surgery
Take tour
Make sure child knows why is
having surgery in words they
understand
Have child explain back their understanding
Read books
Give as many choices as possible
Explain benefits of surgery
“after your knee is healed, you will be able to play soccer again.”
Encourage child’s friends to visit
Have someone stay with child as much as possible
Let child know it’s acceptable to cry and be
Preparing Teenager
Stressors
Loss of control
Being away from school/friends
Having a part of his/her body damaged or changed in
appearance
Fear of surgery and risks
Pain
Dying during surgery
Fear of the unknown
Fear of what others will think about them being sick in hospital
Allow teen to be part of decision making process
Read books
Ask friends to visit/send cards
Journal
Bring comfort/game items from home
Be patient with mood swings – allow them to be alone if needed
Let them know it’s acceptable to cry/be afraid
Be truthful
Honor privacy requests
นางสาว ปิยวรรณ แสวงวงษ์ เลขที่ 71 รุ่น 36/1 612001072