Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบประสาท, กรวดี ยิ่งยศกำจรชัย 613601001 เลขที่ 1…
การพยาบาลเด็กที่มีปัญหาระบบประสาท
บทบาทพยาบาลในการดูแลเด็กที่มีความผิดปกติของระบบประสาท
การรวบรวมข้อมูลภาวะสุขภาพ
การประเมินสัญญาณชีพ
การประเมินทางระบบประสาท
ระดับความรู้สู้สึกตัว
ระดับความรู้สึกตัวดี (full consciousness)
ความรู้สึกสับสน (confusion)
การรับรู้ผิดปกติ (disorientation)
ความรู้สึกง่วงงุน (drowsy)
ไม่รู้สึกตัว (sttupor)
ท่าทาง(posturing)ของเด็กในภาวะไม่รู็สึกตัว
Decorticate postturing
มีการทำลายของเนื้อสมองส่วน cerebral cortax
Decerebrate posturing
สมองส่วน midbrain ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
ช่วงหมดสติระดับลึก (deep coma) พบว่า reflexes ต่างๆของเด็กจะหายไป
หมดสติ(coma)
การสื่อสารทางคำพูด
การเคลื่อนไหวและการทรงตัว
การลืมตาและรูม่านตา
การตรวจพิเศษต่างๆ
การตรวจน้ำไขสันหลัง
การตรวจคลื่นสมอง
MRI
การดูแลเด็กที่มีความผิดปกติทาระบบประสาท
การให้คำแนะนำบิดามารดาของเด็กโรคระบบประสาท
ภาวะไม่รู้สึกตัวร่วมกับการเคลื่อนไหวผิกปกติ
อาการสำคัญ
ชักเกร็ง ซึม ไม่ดูดนม
3 กรณี
ไม่มีไข้ , Head injury , Brain Tumor , โรคลมชัก (Epilepsy)
มีไข้ นึกถึงการติดเชื้อที่เยื่อหุ้มสมอง สมองและไขสันหลัง
มีไข้สูง เกิน 38 องศา อายุ 6 เดือน - 5 ปี ไม่มีการ
ติดเชื้อของระบบประสาทนึกถึง Febrile convulsion
ภาวะชักจากไข้สูง (Febrile convulsion)
ปัจจัยเสี่ยงของการชักซ้ำ
อายุ โดยเฉพาะเด็กที่มีอาการชักครั้งแรกตอนอายุก่อน 1 ปี
มีความผิดปกติของระบบประสาทก่อนมีอาการชัก
ประวัติการชักของสมาชิกในครอบครัว
ไข้ที่เกิดร่วมกัยการติดเชื้อ
สาเหตุ
การติดเชื้อที่ระบบต่างๆ ที่ไม่ใช่ระบบประสาท
อาการ
เด็กจะมีอาการชักเมื่ออุณหภูมิสูงกว่า 39 องศาเซลเซียส อาการชัก
เกิดขึนภายใน 24 ชม.แรกที่เริ่มมีไข้ มักเกิดในเด็กอายุ 3 เดือน ถึง 5 ปี
พบมากช่วงอายุ 17 – 24 เดือน
ชนิดของการชักการไข้สูง
Simple febrile seizure (primary febrile seizure)
มีไข้ร่วมกับชักในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี
การชักเป็นแบบทั งตัว (generalized seizure)
ระยะเวลาการชักเกิดช่วงสั น ๆ ไม่เกิน 15 นาที
ไม่มีการชักซ าในการเจ็บป่วยครั งเดียวกัน
ก่อน – หลัง ชักไม่มีอาการทางระบบประสาท
Complex febrile seizure
การชักเป็นแบบเฉพาะที่หรือทั งตัว
(Local or Generalized seizure)
ระยะเวลาการชักเกิดนานมากกว่า 15 นาที
เกิดการชักซ าในการเจ็บป่วยครั งเดียวกัน
หลังชักจะมีความผิดปกติของระบบประสาท
เด็กที่ชักชนิด complex มีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรคลมชัก แพทย์
จะให้ยาป้องกันการชัก เช่น Phenobarbital หรือ Valproic acid
การประเมินสภาพ
การซักประวัติ
ไข้ , การติดเชื้อ , ประวัติครอบครัว , การได้รับวัคซีน , โรประจำตัว,
ประวัติการชัก , ระยะเวลาของการชัก เป็นต้น
ประเมินสภาพร่างกาย
การตรวจร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจพิเศษอื่นๆ
โรคลมชัก (Epilepsy)
ภาวะทางระบบประสาทที่ทำให้เกิดอาการชักซ้ำๆ อย่าง
น้อย 2 ครั้งขึ้นไป และอาการชักครั งที่ 2 ต้องห่างกันมากกว่า 24
ชั่วโมง โดยไม่ได้เกิดจากสาเหตุมีปัจจัยกระตุ้น
อุบัติการณ์
พบได้บ่อยในเด็กโรคระบบประสาท พบได้ร้อยละ 4-10 ของเด็กทั่วไป
อายุที่มีอุบัติการณ์บ่อยคือ 2-5 ปี
อัตราการเกิดพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง
สาเหตุ
ติดเชื้อระบบประสาทส่วนกลาง,ภยันตรายระหว่างการคลอดหรือหลังคลอด,ภยันตรายที่ศีรษะ,ความผิดปกติของสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย,น้ำตาลใน
เลือดต่ำ,ความผิดปกติพัฒนาการทางสมอง,โรคหลอดเลือดสมอง,สารพิษและยา,โรคระบบประสาทร่วมกับความผิดปกติของผิวหนัง,โรคทางพันธุกรรม
ไม่ทราบสาเหตุ
จากความผิดปกติของ Neurotransmission
ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของยีน
กลุ่มที่หาสาเหตุไม่ได้
มีพยาธิสภาพภายในสมอง จัดอยู่ใน
กลุ่ม Symtomatic epilepsy
อาการ
Preictal period คือ ระยะก่อนอาการชัก
อาการนำ (Seizure prodromes)
อาการเตือน (Aura)
ลักษณะอาการเตือนแตกต่างกันตาม
ตำแหน่งของสมอง
มีอาการปวด ชา เห็นภาพหลอน
Ictal event หรือ Peri-ictal period คือ ระยะที่เกิดอาการชัก
มีระยะเวลาตั้งแต่วินาที จนถึงนาที มักจะไม่นานเกินครึ่งชั่วโมง
เกิดขึ้นทันทีทันใด
เกิดในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 5 นาทีและหยุดเอง
เกิดขึ้นเองแต่บางครั้งมีปัจจัยกระตุ้น
ส่วนใหญ่มีลักษณะเหมือนกันทุกครั้ง
Postictal peroid คือ ระยะเวลาเมื่อการชักสิ้นสุดลง ระยะนี้ อาจเกิดนาน
หลายวินาทีถึงหลายวันก็ได้ ส่วนใหญ่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง มีอาการได้แก่
สับสน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
Postical paralysis หรือ Todd’s paralysis กล้ามเนื้ออ่อนแรงเฉพาะที่
Automatism
การเคลื่อนไหวร่างกายไปโดยอัตโนมัติขณะชัก มักเป็นการเคลื่อนไหวหรือพฤติกรรมที่มีความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อไม่มี
จุดประสงค์แต่เลียนแบบท่าทางปกติ
Interictal peroid คือ ช่วงเวลาระหว่างการชัก เริ่มตั้งแต่ระยะเวลา
หลังการชักหนึ่งสิ นสุดลงไปจนถึงเริ่มเกิดชักครั้งใหม่ โดยทั่วไปจะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่อาจพบคลื่นไฟฟ้าสมองที่ผิดปกติ
ชนิดของโรคลมชักและกลุ่มอาการชัก
จำแนกตามลักษณะของอาการชัก
อาการชักเฉพาะที่ (Partial / Focal seizure)
1.ชักเฉพาะที่แบบมีสติ (simple partial seizures/simple focal seizure)
2.ชักเฉพาะที่แบบขาดสติ (complex partial seizures/complex focal seizure)
เมื่อสิ้นสุการชักจะเหตุการณ์ขณะชักไม่ได้
3.ชักเฉพาะที่ตามด้วยอาการชักทั้งตัว (focal with secondarily genereliezed seizures)
อาการชักเริ่มจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายแล้วค่อยๆ กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคือง
อาการชักทั้งตัว (Generalized seizures) เกิดจาการเสียหน้าที่ของสมองทั้ง 2 ซีก
อาการชักเหม่อ (Absence)
อาการชักเหม่อที่มีอาการกระตุกหรือสะดุ้งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ อาจมีหนังตา
กระตุกร่วมด้วย
กลุ่มอาการชักเหม่อแบบตรง (Typical absence seizures) ชักเเบบเหม่อลอยไม่รู้สึกตัว ระยะเวลาที่เกิดอาการประมาณ 5 – 10 วินาที อาการ
เกิดขึ นทันทีและหายทันที
อาการชักเหม่อที่ไม่รู้ตัวหรือไร้สติเท่านั้น
อาการชักเหม่อที่มีอาการตัวอ่อนร่วม
อาการชักเหม่อที่มีอาการเกร็งกล้ามเนื้อร่วม อาการเกร็งเฉพาะที่กล้ามเนื้อใบหน้าหรือคอ
อาการเกร็งกระตุก (Tonic clonic seizures)
ชักเกร็งกระตุกทั้งตัว ผู้ป่วยจะหมดสติ ร่วมกับมีอาการเกร็งกล้ามเนื้อทั้งตัวนานไม่เกิน 30 วินาทีตามด้วยกล้ามเนื อกระตุกเป็นจังหวะ นานประมาณ 1 – 2 นาที โดยทั่วไปอาการจะมีระยะเวลารวมไม่เกิน 5 นาที
อาการชักกระตุก (Clonic seizures) เป็นการชักมีลักษณะกระตุก
เป็นจังหวะของอาการชัก
อาการชักเกร็ง (Tonic seizures) เกิดนานประมาณ 2 – 10 วินาที เมื่อ
มีอาการจะมีลัษณะแขนขาเหยียดตรง อาจเกิดทันทีหรือค่อยเป็นไป
อาการชักตัวอ่อน (Atonic seizures)
เสียความตึงตัวของกล้ามเนื ออย่างทันทีเมื่อเกิดอาการชัก เวลา
ประมาณ 1-2 วินาที มักพบในผู้ป่วยอายุน้อยกว่า 5 ปี และในรายที่
มีพัฒนาการช้า
อาการชักสะดุ้ง (Myoclonic seizures)
การชักที่มีลักษณะสะดุ้ง มีการหดตัวของกล้ามเนื ออย่างรุนแรงและรวดเร็วมาก อาการคล้ายสะดุ้งตกใจ อาการชักแต่ละครั้งสั้นมากใช้เวลาไม่กี่วินาที
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)
อุบัติการณ์
พบเกิดในช่วงหน้าหนาว
เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส
H. Influenzae และเมนิงโกคอคคัส ซึ่งพบได้ทั่วโลก
เพศชายมากกว่าเพศหญิง
เชื้อ H.influenzae มักก่อให้เกิดโรค ในเด็กอายุ
ระหว่าง 2 เดือน ถึง 7 ปี เชื้อมักจะเข้าทางหูชั นกลางอักเสบ (Otitis media) โพรงอากาศจมูกอักเสบ (Sinusitis)
เชื้อ Neisseria meningococcus พบได้
ทั้งในเด็กและวัยรุ่น
เชื้อจะติดต่อทางเดินหายใจ น้ำมูก น้ำลาย
อาการและอาการแสดง
สาเหตุจากติดเชื้อแบคทีเรีย
มีอาการไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะรุนแรง ปวดข้อ ชักและซึมลงจนหมดสติคอแข็ง (Nuchal rigidity คือ มีแรงต้านเมื่อก้มคอผู้ป่วย)
ตรวจพบ Kernig sign และ
Brudzinski sign ให้ผลบวก
รีเฟล็กซ์ลึกไวเกิน มีอาการที่แสดงว่าเส้นประสาทสมอง
ถูกรบกวนหรือท าลาย (คู่ที่ 3, 4, 5, 6, 7, 8)
ตรวจ Babinski ได้ผลบวก
ในรายที่เกิดจากเชื้อเมนิงโกคอคคัส
จะตรวจพบผื่นแดงที่ผิวหนัง จุดเลือดออก
กระจายทั่วๆ ไป รวมทั้งมีเลือดออกที่ต่อมหมวกไตด้วย
พบNeutrophilถึง ร้อยละ 85-
95 ใน CSFประมาณ 1,000-100,000 เซลล์/คิวบิคมิลลิเมตร
เมื่อนำน้ำหล่อสมองเลือด
และเนื อเยื่อตรงบาดแผลทางเข้าของเชื้อไปทำการเพาะเชื้อ จะพบเชื้อชนิดที่อยู่ในเซลล์ และนอกเซลล์
ชนิดของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
เฉียบพลันจากแบคทีเรีย
กลูโคสต่ำ โปรตีนสูง พีเอ็มเอ็น มัก > 300/mm3
เฉียบพลันจากไวรัส
กลูโคสปกติ โปรตีนปกติหรือสูง โมโนนิวเคลียร์ <300/mm3
วัณโรค
กลูโคสต่ำ โปรตีนสูง โมโนนอวเคลียร์และพีเอ็มเอ็น < 300/mm3
โรคกาฬหลังแอ่น (Meningococcal Meningitis)
เชื้อสาเหตุ
เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria meningitides
การเก็บและส่งตัวอย่างตรวจ
วิธีทางชีวเคมี และวิธี PCR (กรณีเก็บตัวอย่างเชื้อบริสุทธิ์)
วิธีตรวจหาค่า Minimum inhibition concentration (MIC)
วิธี seminested-PCR
ระยะติดต่อ
ผู้ที่สามารถแพร่เชื้อได้ คือ ผู้ที่ไม่มีอาการ(พาหะ)
ผู้ป่วยสามารถแพร่โรคได้
จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อในน้ำมูก น้ำลายแล้ว
วิธีการติดต่อ
เชื้อนี้ติดต่อจากคนไปสู่คน โดยเชื้อจะออกมาทางละอองน้ำมูก น้ำลาย(droplet)โดยมีระยะฟัก
ตัวประมาณ 2-10 วัน (เฉลี่ย 3-4 วัน)
เชื้อกระจายจากช่องปาก ช่องจมูกจากคนหนึ่งสู่อีกคนโดยตรง ผ่านระบบทางเดินหายใจ เชื้อนี้ทำให้เกิดโรคได้ 3 แบบ
1.แบบไม่มีอาการหรืออาการน้อย เชื้อเจริญในเนโซฟาริ้งซ์ มักไม่มีอาการ ส่วนใหญ่พบกลุ่มนี้มากและมักเป็นต้นตอของการแพร่เชื้อต่อไปได้อีก
2.แบบเชื้อแพร่เข้ากระแสเลือดหรือเลือดเป็นพิษ (meningococcemia) ผู้ป่วยจะมีผื่น เลือดออกตามผิวหนัง ในรายที่รุนแรงจะมีเลือดออกในลำไส้และต่อมหมวกไต
3.แบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitidis) เชื้อที่เข้าเยื่อหุ้มสมองทำให้เกิดอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
อาการและอาการแสดง
ไข้ ปวดศีรษะรุนแรง อาเจียน คอแข็ง อาจมีผื่นแดง จ้ำเลือด
(pink macules) ขึ้นตามผิวหนังร่วมด้วย และอาจเกิดภาวะช็อกอย่าง รวดเร็ว ส่วนใหญ่มาด้วยอาการสำคัญ 2 อย่าง
Meningococcemia
Acute Meningococcemia
Chronic Meningococcemia พบได้น้อย
Fulminant Meningococcemia เป็นอย่างรุนแรง ระบบไหลเวียนโลหิตไม่ทำงาน อาจช็อคถึงเสียชีวิตได้
Meningitis
มีอาการไข้ ปวดศีรษะ คอแข็ง ซึมและสับสน อาการจะแย่
ลงอย่างรวด อาจพบอาการที่แสดงถึงการระคายเคืองของเยื่อหุ้มสมอง ผู้ป่วยส่วนหนึ่งจะมีจ้ำเลือดออกตามผิวหนัง
การรักษา
Glucocorticoid therapy ก่อนการให้ยาปฏิชีวนะ 15 นาที
ยาปฏิชีวนะ เช่น Ceftriaxone /PGS/Chloramphenicol
การรักษาแบบประคับประคองและตามอาการอื่นๆ
การป้องกันผู้สัมผัสโรค
อยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ
ต้องได้รับยาป้องกันได้แก่
Rifampicin หรือ ceftriaxone หรือ ciprofloxacin
การควบคุมเเละป้องกันโรค
ให้ความรู้และประชาสัมพันธ์การป้องกันโรคแก่ประชาชน โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับละอองน้ำมูก น้ำลาย จากปากหรือจมูกของผู้ป่วย หลีกเลี่ยงสถานที่ผู้คนแออัด
ใช้วัคซีนป้องกันโรค
ใน Serogroups A, C, Y และ W135 ทั้งผู้ใหญ่และเด็กโต
ขณะนี้ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกันการติดเชื้อ ซีโรกรุ๊ป B
แนะนำให้ฉีดในกลุ่มเสี่ยงสูง
ผู้ที่อยู่หรือเข้าไปในพื้นที่ที่เกิดการระบาด
พิธีฮัจย์ กลุ่มทหาร และกลุ่มที่มีภูมิต้านทานต่ำ
สำหรับนักท่องเที่ยวผู้ที่จะเดินทางไปในที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ และจะอยู่ในพื้นที่นั้นเป็นเวลานาน
รีบให้ยาฆ่าเชื้อแก่ผู้สัมผัสที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยทันที
โดยเลือกใช้ยาที่ไวต่อเชื้อ เช่น rifampicin
การรักษา ยา penicillin และ chloramphenical มีประสิทธิผลดีต่อการรักษาโรค
มาตราการป้องกันเมื่อเกิดการระบาด
ต้องดำเนินการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด วินิจฉัยโรคและให้การรักษาแก่ผู้ป่วยทันที
ลดความแออัดหนาแน่นของผู้ที่ต้องอยู่ร่วมกัน จัดที่อยู่และห้องนอนให้มีการระบายอากาศได้ดี
ใช้ยา rifampicin แก่ผู้สัมผัสใกล้ชิดเพื่อลดจำนวนผู้เป็นพาหะ และกำจัดการแพร่โรค
การใช้วัคซีนป้องกันโรคในประชาชนทุกกลุ่มอายุ ควรมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ
ให้คำแนะนำการป้องกันสำหรับประชาชน
มาตรการควบคุมป้องกันโรคระหว่างประเทศ
ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ที่ซาอุดิอาระเบีย ต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องก้นโรคไข้กาฬหลังแอ่น
ข้อแนะนำผู้เดินทางไปต่างประเทศ
ประเทศซาอุดิอาระเบีย ออกกฎให้ผู้ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์และอุมเราะห์ ต้องได้รับการฉีดวัคซีนและแสดงเอกสารใบรับรองการได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 10 วัน และไม่เกิน 2 ปีก่อนออกเดินทาง
ผู้ที่จะเดินทางไปในพื้นทีมีความชุกของโรค ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการฉีดวัคซีนป้องกันก่อนเดินทาง
ภาวะไม่รู้สึกตัวร่วมกับความดันในสมองสูง
โรคอุทกเศียร : น้้าไขสันหลังคั่งในโพรงสมอง :
ภาวะน้้าคั่งในกะโหลกศีรษะ (Hydrocephalus)
อาการแสดงทางคลินิค
1.หัวบาตร(Cranium enlargement)
2.หัวโตกว่าปกติเมื่อเทียบกับGrowth curve ปกติ
(Disproportion Head circumference:chest circumference,height development )
3.รอยต่อกะโหลกศีรษะแยกออกจากกัน (Suture separation)
4.รอยเปิดกะโหลกโป่งตึง (Fontanelle bulging)
5.หนังศีรษะบางและเห็นเส้นเลือดด า(Enlargement &
engorgement of scalp vein)
6.เสียงเคาะกะโหลกเหมือนหม้อแตก ( Macewen sign Cracked pot sound)
7.อาการแสดงของความดันในกะโหลกศีรษะสูง ( Sign of increase
intracranial pressure) ปวดศีรษะ , ตามัว , อาเจียน
8.ตากลอกลงล่าง กลอกขึ้นบนไม่ได้ (Setting Sun sign (Impaired
upward gaze) เนื่องจากมีการกดบริเวณ Mid brain ที่Superior colliculs
9.ตาเขเข้าในมองไปด้านข้างไม่ได้เนื่องจากCN 6TH Palsy มองเห็นภาพซ้อน(Diplopia)
10.รีเฟลกซ์ไวเกิน(Hyperactive reflex)
11.การหายใจผิดปกติ(Irregular respiration)
12.การพัฒนาการช้ากว่าปกติ(Poor development ,failure
to achieve milestones)
13.สติปัญญาต่ ากว่าปกติ,ปัญญาอ่อน(Mental retardation)
14.เด็กเลี้ยงยากไม่รับประทานอาหาร(Failure to thrive)
การรักษา
1.การรักษาด้วยยา ยาขับปัสสาวะ Acetazolamide ช่วยลดการสร้างน้ำหล่อสมองและไขสันหลัง ประมาณ 25-50%
2.การรักษาด้วยการผ่าตัด
1.) การผ่าตัดใส่สายระบายน้ำในโพรงสมองออกนอกร่างกาย (ExternalVentricularDrainage,EVD,Ventriculostomy)
2.) การผ่าตัดใส่สายระบายน้ำในโพรงสมองสู่ช่องในร่างกาย ใส่สายระบายจากหลากหลายทาง
โพรงสมองลงช่องท้อง(Ventriculo-peritoneal shunt)
โพรงสมองลงช่องหัวใจ(Ventriculo-atrial shunt)
โพรงสมองลงช่องปอด(Ventriculo-pleural shunt)
โพรงสมองลงช่องใต้เยื่อหุ้มสมอง (Ventriculo-cistern magna shunt(Torkildsen shunt)
โพรงสมองทารกในครรภ์ลงถุงน้ำคร่ำ (Transabdominal percutaneous Ventriculo-amniotic
shunt)
สายระบายน้ำในโพรงสมอง(CSF Shunt)
สายระบายน้ำในโพรงสมองประกอบด้วย 3 ส่วน
1.สายระบายจากโพรงสมอง(Ventricular shunt)
วาล์ว(Valve)และส่วนที่เก็บน าหล่อสมอง(Reservoir)
สายระบายลงช่องท้อง(Peritoneal shunt)
โรคแทรกซ้อนจากการผ่าตัด
1.การทำงานผิดปกติของสายระบายน้ำในโพรงสมอง(Shunt malfunction) มีการอุดตันหรือระบายมากเกิน
2.การติดเชื้อของสายระบายน้ าในโพรงสมอง(Shunt infection)Epidermidis
3.การอุดตันสายระบายน้ าในโพรงสมอง(Shunt obstruction)
4.ภาวะระบายน้ าในโพรงสมองมากเกิน(Overdrainage)
5.ภาวะโพรงสมองตีบแคบ(Slit ventricle)
6.ภาวะเลือดออกในศีรษะ เกิดเลือดออกในโพรงสมอง(Intraventricular hemorrhage)
7.ไตอักเสบ(Shunt nephritis)
การรักษา ภาวะความดันในกะโหลกศีรษะสูง (increased intracranial pressure : IICP)
1.รักษาเฉพาะ : รักษาสาเหตุที่ท าให้เกิด IICP เช่น เนื้องอก การอุดกั้นทางเดินน้ำไขสันหลัง
2.การรักษาเบื้องต้น กรณีมีIICPสูงอย่างเฉียบพลัน
การจัดท่านอนนอนราบศีรษะสูง 15 – 30 องศา เพื่อช่วยให้การไหลเวียนของน้ำไขสันหลังกลับสู่หลอดเลือดดำได้ดีขึ้น
กรณีผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทอย่างรวดเร็ว ซึม ไม่รู้สึกตัว แพทย์จะรักษาโดยการใส่ท่อหลอดลมคอและช่วยหายใจ เพื่อลดความดัน PaCO2 ในหลอดเลือดแดงให้อยู่ระหว่าง 30 – 35 mmHg
การให้ยาขับปัสสาวะ (Diuretic) ทางหลอดเลือดดำ
Furosemide เพื่อช่วยลดปริมาตรเลือดในระบบไหลเวียน
Osmotic diuritics ได้แก่ 20 % Manitaol , 105 Glycerol , 3% NaCl เป็นต้น
Corticosteroids ได้แก่ Dexamethasone
Hypothermia เพื่อช่วยลด Cerebral Metabolism โดยพยายามควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้อยู่ระหว่าง 27 – 31 องศาเซลเซียส
3.การรักษาความผิดปกติที่เกิดต่อเนื่องจากพยาธิสภาพเดิมหรือที่เกิดร่วม
Hydrocephalus : Obstructive , Communicating
ภาวะสมองบวม
ภาวะไม่รู้สึกร่วมกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง
อาการสำคัญ
มีก้อนที่หลัง หรือที่หน้าผาก ขาอ่อน
แรงทั้งสองข้าง ปัสสาวะ อุจจาระ ตลอดเวลา นึกถึง Congenital Spina bifida occulta
Meningocele Meningomyelocele
ไข้ร่วมกับกล้ามเนื้ออ่อนแรง มีประวัติ ไม่ได้รับวัคซีน ไม่มีประวัติการคลอดในรพ.เป็นชนต่างด้าว นึกถึง Poliomyelitis
Spina Bifida เป็นความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง มีถุงยื่นผ่านจากกระดูกไขสันหลัง ออกมาตามต าแหน่งที่บกพร่องนั้นพบบ่อยที่สุดที่บริเวณ lumbosacrum
Spina bifida occulta
Spina bifida cystica
2.1 Meningocele
2.2 Myelomeningocele หรือ Meningomyelocele
การวินิจฉัย
การซักประวัติ : มารดาไม่ได้รับกรดโฟลิคขณะตั้งครรภ์, ได้ยากันชัก ประเภท Valporic acid
การตรวจร่างกาย : แขนขาอ่อนแรง พบก้อนหรือถุงตามแนวกระดูกสันหลัง
การตรวจพิเศษ : การตรวจระดับ alpha fetoprotein ขณะตั้งครรภ์
ผิดปกติ เป็นต้น
การรักษา
spida bifida occulta ไม่จ าเป็นต้องรักษาแต่ชนิด Cystica ต้อง
ผ่าตัดภายใน 24 – 48 ชั่วโมงภายหลังเกิด เพื่อลดการติดเชื้อ
หลังผ่าตัดความผิดปกติขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค พัฒนาการอาจเป็นไปตามวัย หรือเป็นอัมพาตครึ่งล่าง มักทำ V P Shunt ภายหลังทารกมักต้องผ่าตัดหลายครั้ง
การป้องกัน
ให้กรดโฟลิคแก่หญิงตั้งครรภ์จะช่วยลดการเกิดโรคได้
ภาวะไม่รู้สึกตัวร่วมกับสติปัญญาบกพร่อง
อาการสำคัญ
ไม่รู้สึกตัว เกร็งเมื่อกระตุ้น หายใจ
ไม่มีประสิทธิภาพ การดูดกลืนบกพร่อง เลี้ยงไม่โต ข้อ
ติดแข็ง พัฒนาการล่าช้า
มีประวัติ สมองขาดออกซิเจน นึกถึง Cerebral palsy
สมองพิการ (CP : Cerebral palsy )
ความบกพร่องของสมองให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว การทรงตัว ชนิดของสมองพิการ
1.กล้ามเนื้อหดเกร็ง (Splastic)
1.1 Splastic quadriplegia มีความผิดปกติกล้ามเนื้อแขนขา ทั้ง 2 ข้าง คอและลำตัวอ่อนผิดปกติ ศีรษะเล็ก น้ำลายไหล
1.2 Splastic diplegia มีความผิดปกติกล้ามเนื้อแขนขาทั้ง 2 ข้าง ขาเป็นมากกว่าแขน
1.3 Splastic hemiplegia ผิดปกติที่แขนขาซีกใดซีกหนึ่ง
Extrapyramidol cerebral palsy (athetoidsis)
การเคลื่อนไหวผิดปกติตลอดเวลาขณะตื่น บังคับส่วนต่างๆของร่างกายให้ไปในทิศทางที่ต้องการไม่ได้ กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก
Ataxia cerebral palsy
มีเดินเซ ล้มง่ายกล้ามเนื้อ ตึงตัวน้อย ทรงตัวได้ไมดี สติปัญญาปกติ
4.4. Mixed type
อาการและอาการแสดง
มีการเจริญเติบโตและพัฒนาการช้า โดยเฉพาะด้านกาเคลื่อนไหว การทรงตัวผิดปกติ
ปัญญาอ่อน
อาการอื่นๆ ร่วม เช่น ชัก หูหนวก ตาบอด การรับรู้ผิดปกติปัญหาด้านการพูด
การประเมินสภาพ
ซักประวัติ : มารดามีการติดเชื้อขณะคลอด
ประเมินร่างกาย : เส้นรอบศีรษะไม่เพิ่มขึ้น ท่าทางการเคลื่อนไหวผิดปกติไม่เป็นไปตามวัย
เป้าหมายการพยาบาลเด็กที่ไม่รู้สึกตัว
ระบบหายใจ
การทำทางเดินหายใจให้โล่ง
กิจกรรมทางการพยาบาล
จัดท่านอนของเด็กให้เหมาะสม โดยให้นอนตะแคงข้าง เพื่อ
ป้องกันการส าลัก
ดูแลไม่ให้มีอาหาร หรือเศษอาหารอยู่ในช่องปาก
ดูดเสมหะให้เด็กเป็นระยะๆ
เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือให้พร้อมหากมีปัญหาเกี่ยวกับการอุดกั้นทางเดินหายใจ จะได้ให้การช่วยเหลือได้ทันที
แรงดันภายในสมอง
แรงดันในสมองไม่เพิ่มขึ้น
จัดให้เด็กนอนศีรษะสูง ประมาณ 15 – 30 องศา
หลีกเลี่ยงท่านอนหรือกิจกรรมที่จะทำให้แรงดันภายใน
สมองเพิ่ม
จัดท่านอนให้ข้อสะโพกงอไม่เกิน 90 องศา
ป้องกันไม่ให้ท้องผูก
ติดตามอาการแสดงที่บ่งชี้ว่าเด็กมีการเปลี่ยนแปลงของแรงดันภายในสมอง วัดรอบศีรษะทุกวัน, สังเกต-บันทึกพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของเด็ก
วางแผนการพยาบาล โดยให้มีการรบกวนเด็กให้น้อยที่สุด
ถ้าพบว่า เด็กแสดงอาการเจ็บปวด เช่น มีอาการกระสับกระส่าย หัวใจเต้นเร็ว อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น แรงดันโลหิตเพิ่มขึ้น และความอิ่มตัวของออกซิเจนลดลง พยาบาลควรดูแลให้ยาแก้ปวดตามแผนการรักษา
การดูแลขั้นพื้นฐาน
ด้านอาหาร
ดูแลให้เด็กได้รับอาหารทางหลอดเลือดดำตามแผนการรักษา
ดูแลให้เด็กได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน ตามภาวะสุขภาพของ
แต่ละบุคคล
บันทึกปริมาณน้ำดื่ม และปัสสาวะทุกวัน
ควรชั่งน้ำหนักทุกวันหรือตามแผนการรักษา
ด้านการขับถ่าย
ดูแลให้เด็กได้รับน้ าอย่างเพียงพอและสอดคล้องกับแผนการรักษา
ถ้าเด็กมีสายสวนปัสสาวะ พยาบาลควรดูแลความสะอาดให้เพียงพอ
ทำความสะอาดผิวหนังทุกครั้งหลังการขับถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระ
เปลี่ยนผ้าอ้อมหรือกางเกงทุกครั้งที่เด็กขับถ่าย
ประเมินบริเวณหน้าท้อง เพื่อตรวจสอบว่ากระเพาะปัสสาวะตึงหรือไม่
ดูแลให้ยาระบาย เพื่อป้องกันอาการท้องผูกตามแผนการรักษา
ด้านความสะอาด
อาบน้ำให้เด็กทุกวัน
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เด็ก เพื่อความสะอาดและความรู้สึกสบาย
สระผมให้เด็กบ่อยๆ เพื่อให้ผมสะอาด
ดูแลความสะอาดของปาก ฟัน ผิวหนัง และเล็บ อย่างสม่ าเสมอ
ภาวะแทรกซ้อนจากการไม่เคลื่อนไหว
ภาวะแทรกซ้อนระบบหายใจ
หมั่นพลิกตะแคงตัวเด็กทุก 2 ชั่วโมง ยกเว้นเด็กที่มีปัญหาความดันในสมองสูง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับปอด เช่น ปอดอักเสบ เป็นต้น
ดูแลไม่ให้ผู้ที่มีอาการติดเชื้อทางระบบหายใจ เข้าไปใกล้ชิดเด็ก
ก่อนและหลังสัมผัสเด็ก ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง
ภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับตา
สังเกตและประเมินอาการที่บ่งชี้ว่า จะมีการระคายเคืองหรือการอักเสบของตา
อาจต้องใช้ผ้าปิดตา (eye pad) เพื่อไม่ให้ตาแห้ง
ถ้าตาแห้ง อาจต้องใช้น้ำตาเทียม (artificial tears)
ภาวะเเทรกซ้อนทางผิวหนัง
ประเมินสภาพผิวหนังเป็นระยะๆ เพื่อตรวจสอบว่ามีความผิดปกติของผิวหนังหรือไม่
หมั่นเปลี่ยนท่านอน หรือพลิกตะแคงตัวบ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
ดูแลผิวหนังให้สะอาดและชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา
ควรทาครีมบำรุงผิวหนัง (lotion) และนวดผิวหนังทุกวันเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
ดูแลบริเวณอวัยวะเพศภายนอก ฝีเย็บ(perineum) และทวารหนักให้สะอาด โดยเฉพาะหลังการขับถ่ายทุกครั้ง
ให้ความรู้และคำแนะนำ
ประเมินความต้องการข้อมูลของครอบครัว
รับฟังปัญหาของครอบครัวอย่างตั้งใจและอดทน
ตอบคำถามที่ครอบครัวต้องการทราบอย่างชัดเจน
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งความช่วยเหลือที่ครอบครัวต้องการ
ให้กำลังใจและประคับประคองด้านจิตใจแก่ครอบครัว
กรวดี ยิ่งยศกำจรชัย 613601001 เลขที่ 1 ห้อง 2A