Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Unit 7.3 Psychiatric Nursing with cognitive disorders and behavioral…
Unit 7.3 Psychiatric Nursing with cognitive disorders and behavioral disorders patients
Cognitive disorders: Neurocognitive disorders
ภาวะเพ้อ (Delirium)
เป็นกลุ่มอาการที่มีความผิดปกติของระดับความรู้สึกตัว (consciousness) อยู่ระหว่างภาวะหมดสติ (coma) กับภาวะปกติทําให้มีอาการผิดปกติทั้งด้านความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน (acute) และมีอาการขึ้นๆลงๆ (fluctuation) ในช่วงเวลาสั้นๆ
สาเหตุ
การติดเชื้อในร่างกายทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง (Infectious)
ภาวะเป็นพิษจากการใช้สารเสพติดระยะถอนพิษยา (withdrawal)
ผู้ป่วยที่มีปัญหาระบบเผาผลาญ (Acute Metabolism) ผิดปกติ
การได้รับบาดเจ็บ (trauma)
ความผิดปกติของการทําหน้าที่ของอวัยวะระบบอื่นของร่างกายที่ส่งผลให้มีภาวะเลือดไปเลี้ยงสมองน้อยผิดปกติ(hypoxia)
ความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ (endocrinopathies)
ภาวะภายหลังผ่าตัด จากการได้รับยาระงับความรู้สึก
ภาวะขาดวิตามิน เช่น vitamin B12
อาการและอาการแสดง
มีอาการแสดงตามเกณฑ์การวินิจฉัยตาม DSM-V ดังนี้
A. มีความผิดปกติของความสนใจหรือความตั้งใจ และความรู้สึกตัว
B. ความผิดปกติเกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้น เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
C. มีความผิดปกติของความคิด (cognition) เช่น ด้านความจํา
การรักษาด้านร่างกายและจิตใจ
แก้ไขสาเหตุหรือปัจจัยส่งเสริมการเกิดอาการผิดปกติ
ดูแลด้านกิจวัตรประจําวันทั่วไป
มีการป้องกันอุบัติเหตุ เนื่องจากผู้ป่วยอยู่ในภาวะสับสน
ควรให้การดูแลอย่างใกล้ชิดขณะมีอาการเพ้อ
ดูแลจัดสิ่งแวดล้อมให้มีความปลอดภัย
หากอาการสงบลง เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก
7.อธิบายให้ญาติเข้าใจอาการของโรค
8.สอนและกระตุ้นให้ครอบครัวมีทักษะในการสื่อสารทางบวกกับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและสม่ําเสมอ
รักษาทางด้านจิตใจ
ดูแลให้ได้รับยาตามแผนการรักษา
การประยุกต์กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะเพ้อโดยใช้กระบวนการพยาบาล
การประเมิน
1.1การซักประวัติประวัติ
1.2 การตรวจร่างกาย
1.3 การตรวจสภาพจิต
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล
การปฏิบัติการพยาบาล
การประเมินผลการพยาบาล
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
ภาวะสมองเสื่อม เกิดจากสมองทําหน้าที่ผิดปกติเกิดความเสื่อมถอยทําให้การทํางานด้านความจํา ความคิด การใช้เหตุผล การใช้ภาษา และการรับรู้สิ่งแวดล้อมผิดปกติไป
สาเหตุของการเกิดภาวะสมองเสื่อม
1.ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากความเสื่อมของสมองโดยตรง
2.ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากความเสื่อมของสมองผิดปกติ
ภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การดื่มสุรา
อาการและอาการแสดง
ความผิดปกติของความสนใจหรือความตั้งใจ (attention)
ด้านการทําหน้าที่เชิงนามธรรมเสีย (disturbance in executive functioning)
ด้านการเรียนรู้และความจํา (learning and memory)
ด้านภาษา (language) มีปัญหาในการใช้ภาษา
ด้านความสามารถในการเคลื่อนไหว (perceptual-motor)
ด้านการรู้คิดทางสังคม (social cognition)
ลักษณะอาการของภาวะสมองเสื่อม แบ่งอาการเป็น 3 ระดับ
ระยะแรก (Early Stage) อาจมีช่วงเวลาตั้งแต่ 2-4 ปี เป็นระดับที่มีภาวะสมองเสื่อมเล็กน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการหลงลืม
ระยะกลาง (Middle Stage) (4-6 ปี) ในระยะนี้การสูญเสียการรับรู้ในระดับสูงเริ่มได้รับผลกระทบ ความบกพร่องในความเข้าใจ
ระยะสุดท้าย (Late Stage) (6-8 ปี) ในระยะนี้สภาพร่างกายและสติปัญญาจะเสื่อมลงอย่างมาก หวาดระแวงจําใครไม่ได้ และพูดไม่ได้ เคลื่อนไหวช้า
การประยุกต์กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยที่มีภาวะสมองเสื่อม
การประเมินภาวะสุขภาพ
1.1 การสัมภาษณ์และการซักประวัติเป็นเรื่องสําคัญที่สุด ก. ความจําเสื่อม (Memory impairment) ข. มีความบกพร่องของการรู้คิด (cognitive disturbance)
1.2 การตรวจร่างกาย
1.3 การตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น การตรวจภาพของสมอง (CT Scan) การตรวจคลื่นสมอง(Electroencephalogram, EEG)
การวางแผนและการปฏิบัติการพยาบาล
2.1 การการดูแลให้แก่ผู้ป่วยโดยตรง รับการบําบัดด้วยยา จัดสิ่งแวดล้อมให้มีการกระตุ้นความจํา จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้ระลึกถึงความทรงจําดีๆในอดีต
2.2 การปฏิบัติการดูแลให้แก่ผู้ป่วยร่วมกับญาติผู้ดูแล
ปรับเปลี่ยนที่พักของผู้ป่วยให้เกิดความปลอดภัย สื่อสารกับผู้ป่วยด้วยความอดทน
แนวทางการให้การช่วยเหลือ/ให้การปรึกษาแก่ผู้ดูแล
ประเมินสภาวะจิตใจของญาติผู้ดูแล เพื่อให้การช่วยเหลือในระยะที่เหมาะสม
การสํารวจความเครียดที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ดูแลและญาติ
บอกขีดจํากัดความสามารถของผู้ป่วยให้ผู้ดูแลทราบ
Behavioral disorders
ความผิดปกติของการใช้สารเสพติด (Substance use Disorders)
การวินิจฉัยโรคตามเกณฑ์การวินิจฉัย DSM-V
ใช้สารในปริมาณที่มากกว่าหรือนานกว่าที่ตั้งใจ
มีความตั้งใจอยู่เสมอที่จะลดปริมาณการเสพลง แต่ไม่ประสบผลสําเร็จ
ใช้เวลาอย่างมากและหมดไปกับการได้สารมา การเสพ หรือการพักฟื้นจาการใช้สาร
มีความกระหายหรือความต้องการเป็นอย่างมาก หรือมีแรงขับดันที่จะต้องการเสพสาร
เสพสารซ้ําๆ จนไม่สามารถจัดการกิจวัตรประจําวัน บกพร่องในบทบาททั้งที่บ้าน ที่ทำงาน
ยังคงเสพอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเกิดปัญหาต่อเนื่องหรือเกิดปัญหาซ้ําๆ ไม่ว่าเป็นปัญหาทางสังคมหรือปัญหาทางมนุษยสัมพันธ์
มีความลดลงหรือบกพร่องในกิจกรรมหลักที่เกี่ยวกับสังคม
เสพสารซ้ําๆ แม้ในสถานการณ์ซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อร่างกาย
ยังเสพอย่างต่อเนื่อง
อาการดื้อยา (Tolerance)
10.1 เพิ่มปริมาณของสารเพื่อให้เกิดอาการมึนเมา
10.2ผลของสารลดลงอย่างมาก แม้จะเสพอย่างต่อเนื่องในปริมาณเท่าเดิม
อาการขาดยา (Withdrawal symptom)
อยู่ในช่วงการหายระยะแรก (In early remission)ผู้ป่วยเคยมีอาการเข้าเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติของการใช้สารเสพติดมาก่อน แล้วไม่มีอาการใดๆ ของความผิดปกตินี้อย่างน้อย 3 เดือน ไม่ถึง 12 เดือน
อยู่ในช่วงการหายระยะต่อเนื่อง (In sustained remission) ผู้ป่วยเคยมีอาการเข้าเกณฑ์การวินิจฉัยความผิดปกติการใช้สารเสพติดมาก่อน แล้วไม่มีอาการใดๆ ของความผิดปกตินี้อย่างน้อย 12 เดือนหรือมากกว่า
ความผิดปกติที่เกิดจากสารเสพติด (Substance Induced Disorders)
สาเหตุของการใช้สารเสพติด
ปัจจัยทางชีวภาพ
1.1 ปัจจัยทางพันธุกรรม
1.2 การเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาทในสมอง
1.3 กลไกของสารเคมีประสาท
1.4 กลไกการออกฤทธิ์ของสารเสพติดมีผลต่อ Neuro-receptor ในสมอง ทำให้ต้านยา
1.5 เป็นผลจากการรักษาอันเนื่องมาจากการเจ็บป่วยทางกาย
ปัจจัยด้านจิตใจ และบุคลิกภาพ
2.1 ห้ยาตนเอง ผู้ใช้กระทําลงไปเพื่อลดสภาวะอารมณ์ที่ไม่สามารถทนทานได้
2.2 การลดความตึงเครียด
2.3 มีทัศนคติต่อการใช้สารเสพติดในทางบวก
2.4 การเรียนรู้ทางสังคม
2.5 จิตพลวัตรของผู้ใช้สารเสพติดเกี่ยวข้องกับการเสื่อมเสียและความแปรปรวนของอีโก้อย่างรุนแรง
2.6 พื้นฐานทางอารมณ์หรือ ลักษณะบุคลิกภาพของผู้ที่ติดสารเสพติด
2.7 เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนๆหนังสือไม่ดี เกเร ทําผิดกฎหมาย มีความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าต่ําหรือไม่มีคุณค่า
ปัจจัยด้านสังคม
3.1 การเลี้ยงดูในครอบครัว
3.2 การอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่มีปัญหาพฤติกรรม
3.3 ลักษณะสังคมและวัฒนธรรม
ลักษณะของสารเสพติด
เป็นอันตรายขณะใช้สาร (Intoxication) สารที่เข้าสู่ร่างกายโดยวิธีใดก็ตาม มีผลต่อร่างกาย
ภาวะดื้อหรือทนต่อสาร (Tolerance) เมื่อใช้สารเสพติดไปสักระยะหนึ่ง ร่างกายจะเริ่มเคยชิน
ภาวะติดสารหรือพึ่งพาสาร (Dependence) เมื่อใช้สารนั้นๆ ไปสักระยะบุคคลนั้นมีความต้องการทั้งร่างกายและจิตใจ
การควบคุมบกพร่อง (Impaired control) ควบคุมตนเองให้หยุดใช้สารเสพติดที่ตนเองเคยใช้ไม่ได้ถึงแม้ว่ารู้ว่าสารนั้นเป็นอันตราย
ผลกระทบจากการติดสารเสพติด
1.ผลกระทบต่อผู้เสพ การหันกลับไปใช้สารเสพติดเมื่อเกิด
ปัญหาใหม่
ผลกระทบต่อครอบครัว ผู้เสพอาจสร้างความเดือนร้อนให้กับสมาชิกครอบครัว
ผลกระทบต่อชุมชน ผู้เสพจะแยกตัวออกจากชุมชนและเครือข่ายทางสังคม
ผลกระทบต่องานและอาชีพ ในระยะแรกของการใช้สารเสพติด ฤทธิ์ของสารเสพติดอาจช่วยแก้ปัญหาในการทํางานได้เพราะช่วยให้ผู้ที่เสพสามารถทํางานได้อย่างกระฉับกระเฉง ระยะแรกดูเหมือนจะช่วยแต่เมื่อใช้นานเข้าประสิทธิภาพการทํางานจะลดลง
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เมื่อถูกให้ออกจากงานทําให้ขาดรายได้ปัญหาเศรษฐกิจตามมาและรายได้ที่มีจะนําไปซื้อสารเสพติด ทําให้ครอบครัวประสบปัญหาขาดแคลน
ผลกระทบต่อสังคมและประเทศชาติ
ลักษณะอาการทางคลินิก
Alcohol – Related Disorders
อาการติดสุรา (alcohol dependence) เช่น
1)ต้องดื่มทุกวัน แต่ปริมาณไม่มาก
2) เมื่อดื่มแล้วไม่สามารถหยุดดื่มได้ ต้องดื่มในปริมาณมาก
พฤติกรรมที่พบได้
ผู้ป่วยใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการแสวงหาและดื่มสุรา และดื่มต่อเนื่องแม้จะมีปัญหาทางจิตใจและทางกาย
การช่วยเหลือรักษา
1.การใช้วิธีการล้างพิษ (Detoxification)
2.รักษาโดยการใช้ยา : Disulfuram
3.การให้คําแนะนําและให้การปรึกษา การทําจิตบําบัดแบบ การปรับความคิดหรือมุมมองใหม่ การให้ครอบครัวมีส่วนร่วม
อาการพิษสุรา (alcohol intoxication)
ระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 50-150 mg% จะทําให้การตัดสินใจช้าลง
2.ระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 151-300 mg% จะทําให้ประสาทรับความรู้สึกเสีย
ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดมากกว่า 300 mg% จะทําให้กล้ามเนื้อทํางานไม่สัมพันธ์กัน
พฤติกรรมที่พบได้
ด้านร่างกาย พูดไม่ชัด การทรงตัวเสีย เดินไม่มั่นคง
ด้านจิตอารมณ์ ความคิด
อารมณ์อ่อนไหว เปลี่ยนแปลงง่าย
ด้านพฤติกรรม
มีเพศสัมพันธ์อย่างไม่เหมาะสม
การช่วยเหลือรักษา
1.จัดให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สงบ
2.ระวังการทําร้ายตนเองและผู้อื่น
3.ใช้ Group support จะมีส่วนช่วยผู้ป่วยได้มาก
อาการขาดสุรา (alcohol withdrawal)
ระดับเล็กน้อย จะพบ มือสั่นเหงื่อออกมาก หงุดหงิด ปวดมึนศีรษะ
ระดับปานกลาง มีอาการกระวนกระวาย ผุดลุกผุดนั่ง ตัวสั่น/ มือสั่นมาก
ขึ้น ชีพจรเต้นเร็ว >120 ครั้ง/นาที คลื่นไส้
พฤติกรรมที่พบได้
ผู้ป่วยมักติดสารเสพติดชนิดอื่นด้วย เช่น กัญชา โคเคน เฮโรอีน
ผู้ป่วยมักมีอาการเศร้า วิตกกังวล และนอนไม่หลับ
การช่วยเหลือรักษา
การรักษาโดยการใช้ยา: จะใช้การรักษาจะรักษาตามระดับความรุนแรง
ของอาการขาดสุรา ในระดับเล็กน้อย ดูแลแบบผู้ป่วยนอก และจะให้ยาก
ลุ่มคลายกังวล (benzodiazepine) เช่น diazepam
การรักษาทางด้านจิตสังคม
2.1 การบําบัดแบบสั้น (Brief intervention) การประเมินความรุนแรงของการดื่มและปัญหาที่สัมพันธ์กัน
2.2.การบําบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิด พฤติกรรม (Cognitive
behavioral therapies: CBT)
2.3. การทําพฤติกรรมบําบัด (Behavioral therapies) การทําพฤติกรรม
บําบัดรายบุคคล และแบบคู่สมรส
Amphetamines
1.อาการติดแอมเฟตามีน (Amphetamines Dependence)
ผู้ที่เสพขนา สูงมักมีพฤติกรรมก้าวร้าว
พฤติกรรมที่พบได้
1.เน้นการรักษาทางจิตสังคม ป้องกันการกลับเป็นเสพซ้ํา
2.อาการพิษแอมเฟตามีน (Amphetamines Intoxication)
รู้สึกสบายผิดปกติร่วมกับอารมณ์รื่นเริงสนุกสนาน มีพลัง พูดมาก วิตกกังวล เครียด ในรายที่มีอาการพิษเรื้อรัง อารมณ์จะเป็นแบบเฉย
ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย
พฤติกรรมที่พบได้
1.เน้นป้องกันการทําร้ายตนเองและผู้อื่น
2.ลดอาการกระวนกระวายโดยให้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สงบ มีสิ่งกระตุ้นน้อยโดยทั่วไปอาการจะหายภายใน 1-3 วัน
3.อาการขาดแอมเฟตามีน (Amphetamines withdrawal)
ผู้ป่วยจะเกิดอาการขาดสารภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง
ด้านร่างกาย นอนไม่หลับ
ด้านจิตอารมณ์ ความคิด มีความรู้สึกไม่สบายหดหู่
พฤติกรรมที่พบได้
การรักษาแบบประคับประคองและบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น
4.อาการโรคจิตเนื่องจากแอมเฟตามีน (Amphetamines-Induced Psychotic Disorder) อาการหูแว่ว หรือหลงผิดในขณะที่เสพจนเกิด
อาการพิษ ผู้ป่วยคิดว่ามีคนปองร้าย
พฤติกรรมที่พบได้
โดยใช้ยา : รักษาอาการขาดสารโดยให้ยาต้านเศร้า กลุ่ม Tricyclics เช่น Imipramine
รักษาด้านจิตสังคมร่วม โดยการทําครอบครัวบําบัด จิตบําบัดรายบุคคล
Cocaine
อาการติดโคเคน (Cocaine Dependence)
ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจที่จะไม่เสพเมื่อมีโคเคน
อาการพิษโคเคน (Cocaine Intoxication)
ผู้ป่วยมีอารมณ์ครื้นสนุกสนาน มีพลัง ชอบพบปะผู้คนมีกิจกรรมมาก
อาการทางกาย ที่มักพบร่วมด้วยได้แก่ หัวใจเต้นเร็วหรือช้า ม่านตาขยาย
อาการขาดโคเคน (Cocaine Withdrawal)
อาการขาดสารเฉียบพลัน มักเกิดภายหลัง ผู้ป่วยเสพโคเคน
ขนาดสูงเป็นเวลานานแล้วหยุดเสพ โดยผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายใจ
อาการที่พบร่วม : โคเคนมีฤทธิ์สั้น มีผลอย่างรุนแรงและรวดเร็วต่อระบบประสาท โดยเฉพาะถ้าเสพโดยฉีดเข้าหลอดเลือดดําหรือสูดดมทางจมูกโคเคนจะทําให้เกิดความรู้สึกสบายใจทันที มีความเชื่อมั่นอย่างสูง รวมทั้งมีอารมณ์รื่นเริง
การรักษา ใช้ยารักษาโรคจิต ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์เพิ่ม dopaminergic transmission
Opioid and Heroin
ฝิ่น ชนิดที่ผู้ป่วยเสพมากที่สุด คือ เฮโรอีน วิธีการเสพ คือ ฉีดเข้าหลอดเลือดดํา สูบหรือดมทางจมูกฤทธิ์ของฝิ่น จะทําให้รู้สึกครื้นเครง ลดการเจ็บปวด กดการหายใจ
เฮโรอีน เป็นสารที่ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางเช่นเดียวกับสุรา ใช้เป็นยาแก้ปวด แก้ไอ และแก้อาการท้องเดินและออกฤทธิ์ภายใน 60-120 นาที อาจใช้ฉีดใต้ผิดหนัง เข้ากล้ามเนื้อ หรือเข้าเส้นได้ ใช้สูดดม รมควัน เมตาบอไลซ์ (Metabolize) ที่ตับ เปลี่ยนเป็น Active drug (ตัวออกฤทธิ์) คือ Morphine จะถูกขับออกภายใน 24 ชั่งโมงแรก แต่สามารถตรวจพบในปัสสาวะได้จนถึง 48 ชั่วโมง
อาการติดฝิ่น (Opioid Dependence) ผู้ป่วยเสพฝิ่นโดยขาดการยับยั้งชั่งใจ มีบุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคม
อาการพิษฝิ่น (Opioid Intoxication)
มีอาการร่าเริงสนุกสนานในระยะแรก แล้วเปลี่ยนมาเป็นเฉยเมยรู้สึกไม่สบายใจพลุ่งพล่านกระวนกระวาย หรือเชื่องช้า
การได้รับเกินขนาด (Overdose) ส่วนใหญ่อาจตายได้ เนื่องจากการหยุดหายใจจากฤทธิ์กดการหายใจ
อาการขาดฝิ่น (Opioid withdrawal)
ด้านร่างกาย อาจมีคลื่นไส้หรืออาเจียน ไวต่ออาการปวด ปวดกล้ามเนื้อ น้ําตา น้ํามูกไหล ม่านตาขยาย
ด้านจิตอารมณ์ ความคิด วิตกกังวล หงุดหงิดง่าย กระวนกระวาย
การรักษา
รักษาอาการพิษ : ยาที่ใช้รักษาอาการพิษจากฝิ่น คือ naloxone ฉีดเข้าหลอดเลือดดํา โดยฉีดซ้ําทุก 3 ชั่วโมง
การล้างพิษ: ยาที่นิยมในการล้างพิษ มี2 ชนิด คือ เมธาโดน (methadone) และคลอดินิน (clodinine) เมธาโดน ใช้วิธีรับประทานวันละครั้งโดยละลายในน้ํำ
การให้ฝิ่นระยะยาว - การให้เมธาโดนระยะยาว การให้naltrexone ต้องได้รับการล้างพิษโดยสมบูรณ์แล้วก่อน
Cannabis
อาการติดกัญชา (Cannabis Dependence)
ผู้ป่วยอาจมีอาการทางกาย เช่น ไอเรื้อรัง หรือง่วงนอนมาก
การรักษา เน้นการรักษาด้านจิตสังคม โดยการป้องกันการกลับเป็นซ้ํา
อาการพิษกัญชา (Cannabis Intoxication)
ด้านร่างกาย ตาแดง รับประทานจุ ปากแห้ง และหัวใจเต้นเร็ว
ด้านจิตอารมณ์ ความคิด หัวเราะแบบไม่มีเหตุผล รู้สึกง่วงนอน ผ่อนคลาย มีอารมณ์ทางเพศเพิ่มขึ้น
ด้านพฤติกรรม แยกตัวจากสังคม
รักษาโดยการใช้ยา: ใช้ยากลุ่มคลายวิตกกังวล และ ยารักษาโรคจิต
ช่วยให้ผู้ป่วยสงบ ให้ความมั่นใจว่าอาการจะหายไปได้ในไม่ช้า จัดให้อยู่ในบรรยากาศที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงรบกวน
อาการขาดกัญชา (Cannabis Withdrawal)
ด้านร่างกาย นอนไม่หลับ ความอยากอาหารลดลง น้ําหนักตัวลด ปวดท้อง
ด้านจิตอารมณ์ ความคิด ผู้ป่วยมีอารมณ์เศร้า โกรธ ก้าวร้าว
การรักษา เน้นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
Inhalants
อาการติดสารระเหย (Inhalant Dependence)
นอนไม่หลับ มือสั่น หงุดหงิด เหงื่อออกมาก คลื่นไส้และแปลสิ่งเร้าผิด
การรักษา ป้องกันไม่ให้เปลี่ยนไปใช้สารที่รุนแรงกว่า โดยการให้การปรึกษา การให้ความรู้ร่วมกับการรักษาทางจิตอื่น ๆ
อาการพิษสารระเหย (Inhalant Intoxication)
พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ทําร้ายบุคคลอื่น อารมณ์ครื้นเครงหรือ
อารมณ์เฉยเมย การตัดสินใจเสีย มีความบกพร่องด้านกิจกรรมเกี่ยวกับสังคมหรือหน้าที่การงาน
อาการทางกายร่วม เช่น เวียนศีรษะ มองภาพไม่ชัด หรือมองเห็นภาพเป็นคู่ นัยน์ตากระตุก
การรักษา
ในระยะที่มีอาการพิษจากสาร ไม่ควรให้การรักษาด้วยยาทุกชนิดเพราะจะทําให้เกิดอาการซึมเศร้า
ให้อาหาร วิตามินและน้ํา อย่างเพียงพอ
รักษาโดยการใช้จิตบําบัด พฤติกรรมบําบัด และครอบครัวบําบัด
Caffeine
อาการติดคาเฟอีน (Caffeine dependence)
1.1 ภาวะดื้อคาเฟอีน (caffeinetolerance) พบว่า มีการเพิ่มปริมาณการดื่มที่มากขึ้น เพื่อให้ได้ฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบประสาทหรือเกิดความสบายใจ
1.2 มีความต้องการดื่มคาเฟอีนตลอดหรือไม่สามารถลดปริมาณการดื่มได้
1.3 เมื่อหยุดดื่มจะเกิด caffeine withdrawal
1.4 มีการใช้คาเฟอีนอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีผลข้างเคียงต่อ ร่างกายหรือจิตใจ
อาการพิษคาเฟอีน (Caffeine Intoxication)
กระวนกระวาย ตื่นเต้น นอนไม่หลับ หน้าแดง ปัสสาวะมาก และมีอาการทางระบบทางเดินอาหาร
อาการขาดคาเฟอีน (Caffeine Withdrawal)
ด้านร่างกาย อาการปวดศีรษะ ง่วงนอน อ่อนเพลีย หาวมากกว่าปกติ
ด้านจิตอารมณ์ ความคิด พบมีอารมณ์เกียจคร้าน ซึมลงเล็กน้อย
การรักษาผู้ที่ติดคาเฟอีน ทําได้โดยค่อยๆ ลดปริมาณคาเฟอีนที่ดื่มลงมาตามลําดับ จนสามารถหยุดดื่มในที่สุด ไม่ควรหยุดให้คาเฟอีน ทันที
Nicotine
อาการติดนิโคติน (Nicotine Dependence)
ขณะเสพนิโคติน ผู้เสพอาจมีความใส่ใจ การเรียนรู้ การตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น และความสามารถในการแก้ปัญหาสูงขึ้นผู้ป่วยอาจมีอาการทางกายไม่พึงประสงค์คือ คลื่นไส้ อาเจียน น้ําลายไหลมากขึ้น ซีด อ่อนแรง ปวดท้อง ท้องเดิน มีนงง ปวดศีรษะ
อาการขาดนิโคติน (Nicotine Withdrawal)
มีอารมณ์เศร้า นอนไม่หลับ หงุดหงิด หรือ โกรธง่ายวิตกกังวล สมาธิ
เสีย กระวนกระวาย หรือขาดความอดทน การหยุดสูบได้ยาก คือ สูบทันทีที่ตื่นนอน สูบเวลาไม่สบาย ไม่ยอมเลิกสูบ สูบในเวลาเช้าและบ่าย มีความรู้สึกว่าการงดสูบบุหรี่มวนแรกของวันเป็นสิ่งที่ทําได้ยาก
การรักษา
ระยะประเมิน ควรประเมินเกี่ยวกับประวัติการสูบบุหรี่ ความรุนแรงของอาการติดนิโคติน
ระยะรักษา การรักษาแบ่งออกเป็น 4 ระยะ
2.1 ให้ความรู้ผู้ป่วยเกี่ยวกับ ผลดีของการเลิกสูบ กระบวนการเลิกสูบ
2.2 อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจเกี่ยวกับผลดีของการเลิกสูบ
2.3 พิจารณาวิธีการเลิกสูบ
2.4 พิจารณาวิธีการหยุดสูบร่วมกับผู้ป่วย
2.5 อาจให้เข้ารับการรักษาด้วยนิโคตินทดแทน
ระยะติดตามผล ประเมินผลความคืบหน้าของการเลิกสูบ
Sedative, Hypnotic or Anxiolytic drugs
อาการติดยา (Sedative, Hypnotic or Anxiolytic Dependence)
ผู้ป่วยที่เสพยานอนหลับ หรือยาคลายกังวลเป็นเวลานานจะเกิดอาการชินยาและอาการขาดยา ระยะเวลาที่จะติดและความรุนแรงของอาการ ขาดยาขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของยาแต่ละชนิด
อาการพิษยา (Sedative, Hypnotic or Anxiolytic Intoxication)
ผู้ป่วยเสพยานอนหลับ หรือยาคลายกังวลแล้วเกิดความผิดปกติและพฤติกรรมหรือจิตใจ มีพฤติกรรมก้าวร้าว อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
อาการขาดยา (Sedative, Hypnotic or Anxiolytic Withdrawal)
หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ความดันโลหิตสูง หรืออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
1.รักษาอาการพิษ และอาการขาดสาร
2.รักษาด้านจิตใจ
2.1 สนับสนุนให้กําลังใจผู้ป่วยในการหยุดยา และให้ความมั่นใจว่าอาการขาดยาไม่เป็นอันตราย และหายไปในที่สุด
2.2 ให้ผู้ป่วยได้ปรับตัวและแก้ไขปัญหาชีวิตที่มีอยู่ในปัจจุบัน
บุคลิกภาพผิดปกติ (Personality Disorders)
หลักเกณฑ์ในการจําแนกบุคลิกภาพผิดปกติโดยทั่วไป ตามเกณฑ์ วินิจฉัยโรค DSM-5
A. มีลักษณะการดําเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากบุคคลอื่นที่อยู่ในวัฒนธรรมเดียวกัน โดยมีอาการอย่างน้อย 2 จาก 4 กลุ่ม
Cognitive มีการรับรู้เกี่ยวและเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง
Affectivity มีการตอบสนองทางอารมณ์ที่ไม่เหมาะสม
Interpersonal function มีปัญหาด้านสัมพันธภาพกับผู้อื่น
Impulse Control มีพฤติกรรมที่หุนหันพลันแล่น
B. ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา
C. ลักษณะดังกล่าวส่งผลให้เกิดปัญหาที่ชัดเจนในการทํางาน
D. ลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นสม่ําเสมอและต่อเนื่องยาวนาน
E. ลักษณะอาการดังกล่าวไม่ใช่อาการของโรคทางจิตเวช
F. ลักษณะอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการใช้สารเสพติด ยารักษาโรค หรือโรคทางกาย
บุคลิกภาพผิดปกติในกลุ่ม A (Cluster A Personality Disorders)
Paranoid Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบหวาดระแวง)
Schizoid Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบเก็บตัว)
Schizotypal Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบจิตเภท)
บุคลิกภาพผิดปกติในกลุ่ม B (Cluster B Personality Disorders)
Antisocial Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบต่อต้านสังคม)
Borderline Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบกึ่ง)
Histrionic Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบฮีสทีเรีย)
Narcissistic Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบหลงตัวเอง)
บุคลิกภาพผิดปกติในกลุ่ม C (Cluster C Personality Disorders)
Avoidant Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบหลีกเลี่ยง)
Dependent Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบพึ่งพา)
Obsessive-Compulsive Personality Disorder (บุคลิกภาพแบบย้ําคิดย้ําทํา)
การรักษา 1.ใช้ยา Thiothixine ช่วยลดระดับของ อาการประสาทลวง
ไม่ใช้ยา Cognitive Behavior Therapy (CBT)
กระบวนการพยาบาล
1) การประเมินและรวบรวมข้อมูล
2) การวินิจฉัยทางการพยาบาล
3) การวางแผนการ
4) การปฏิบัติการ
5) การประเมินผล
ความผิดปกติทางเพศ (Sexual Disorders)
1.ระยะต้องการ (Appetitive phase)
1.1 Female sexual interest/arousal disorder
1.2 Male hypoactive sexual desire disorder
ระยะตื่นเต้น (Excitement phase) ระยะนี้บุคคลจะรู้สึกมีความสุขและมีการ
2.1 Female sexual interest/arousal disorder
2.2 Erectile disorder องคชาติของเพศชายจะแข็งตัว ส่วนในเพศ 3. ความเจ็บปวดทางเพศที่ผิดปกติ
ระยะสุขสุดยอด (Orgasm phase)
3.1 Genito-Pelvic pain/penetration disorder
ระยะพัก (Resolution phase) ระยะนี้ ร่างกายและกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ จะผ่อนคลาย
ปัจจัยเหตุ 1.ชีวภาพ 2. ปัจจัยด้านจิตสังคม
การบําบัดรักษาและการช่วยเหลือ
หลีกเลี่ยงการใช้สารที่ส่งผลต่อสมรรถภาพทางเพศ เช่น บุหรี่ สุรา และสารเสพติด
สนับสนุนและเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยได้สํารวจความรู้สึกของตนเองกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ให้ความรู้ ปรับทัศนคติ และฝึกทักษะหรือเทคนิคที่จําเป็นต่างๆ
เอกลักษณ์ทางเพศ (Gender Dysphoria)
การรักเพศตรงข้าม (Heterosexuality)
การรักเพศเดียวกัน (Homosexuality)
การรักสองเพศ (Bisexuality)
Pansexual หมายถึง บุคคลที่ระบุว่าตนเองรักและพึงพอใจบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้โดยไม่มี ข้อจํากัดในเรื่องเพศ ทั้งเพศสรีระ
หลักเกณฑ์ในการวินิจฉัย DSM-5
มีการแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความไม่สอดคล้องกันของเพศที่แสดงออกหรือเพศที่ต้องการเป็นกับเพศที่ถูกกําหนดมาหรือเพศที่เป็นอยู่ โดยมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน
ภาวะในข้อ 1 ส่งผลให้บุคคลนั้นเกิดความรู้สึกทุกข์ใจอย่างมากหรือทําให้เกิดความบกพร่องในหน้าที่
ภาวะพฤติกรรมทางเพศที่วิปริต หรือกามวิปริต (Paraphilic Disorders)
ตามเกณฑ์ของ DSM-5 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ที่มี 8 ชนิดย่อย ได้แก่
Anomalous Activity Preferences ความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นจากลักษณะของกิจกรรมที่ทําให้เกิด อารมณ์ทางเพศ
a. Voyeurism การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการแอบดูผู้อื่นเปลือยกาย หรือ ร่วมเพศ
b. Exhibitionism การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการอวดอวัยวะเพศให้คนแปลกหน้าเพศตรงข้าม
C.Frotteurism การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการถูไถอวัยวะเพศกับเพศตรงข้ามที่ยังสวม เสื้อผ้าและไม่ได้ยินยอม
d. Sexual masochismการเกิดอารมณ์ทางเพศเมื่อตนเองได้รับความเจ็บปวด/เกิดความทุกข์ทรมาน
e. Sexual Sadism การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการทําให้ผู้อื่นเจ็บปวด
Anomalous Target Preferences ความเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นจากลักษณะของเป้าหมายที่มีกิจกรรม ทางเพศด้วย
a. Pedophilia การเกิดอารมณ์ทางเพศกับเด็ก โดยผู้กระทําจะต้องมีอายุ อย่างน้อย 16 ปีขึ้นไป และอายุมากกว่าเด็กอย่างน้อย 5 ปี
b.Fetishism การเกิดอารมณ์ทางเพศกับวัตถุหรืออวัยวะ ที่ไม่ได้ใช้เพื่อกิจกรรมทางเพศ เช่น เท้า เส้นผม
C. Transvestic fetishism การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการสวมใส่เครื่องแต่งกายของเพศตรงข้าม
Other specified paraphilic disorder
a. โทรศัพท์ลามก (telephone Scatophilia or telephone Scatologia) การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการพูดลามกทางโทรศัพท์กับคนที่ไม่เคยรู้จัก
b. เพศสัมพันธ์ระหว่างบุคคลร่วมสายโลหิต Incest)
C. การมีเพศสัมพันธ์กับคท (Necrophilia) การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการหาความสุขจากศพ
d. การมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ (Zoophilia)
e. เวจกาม (Coprophilia) การเกิดอารมณ์ทางเพศโดยการถ่ายอุจจาระรดบนคู่ร่วม
ปัจจัยเหตุ
1.ทฤษฎีชีวภาพ
2.ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมและทฤษฎีการเรียนรู้
3.ทฤษฎีแนวคิดทางปัญญา
4.ทฤษฎีจิตวิเคราะห์
การบําบัดรักษาและการช่วยเหลือ ใช้ยา ยากลุ่ม SSRls, Anticonvulsant การทําจิตบําบัดรายบุคคล เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจตนเองมากขึ้นโดย การทําเพศบําบัด เพื่อแก้ไขพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมให้เป็นพฤติกรรมทางเพศแบบ
ปัญหาการนอน - การตื่น (Sleep-Wake Disorders)
1) โรคนอนไม่หลับ (Insomnia disorder)
สาเหตุ 1. สภาพแวดล้อมขณะนอน เช่น แสง เสียง อุณหภูมิ การรบกวนของคู่นอน
การปรับเปลี่ยนเวลาการทํางาน (Shift work) หรือ Jet tag
การใช้ยา เช่น ยากลุ่ม Stimulant
2) โรคนอนหลับมากผิดปกติ (Hypersomnolence disorder)
สาเหตุ
การอดนอนจากรูปแบบการดําเนินชีวิต หรือตารางการนอนหลับที่ไม่ปกติ
จากโรคทางกาย
ยาหรือสิ่งที่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาท
3) โรคลมหลับ (Narcolepsy) จะมีอาการง่วงนอนที่มากเกิน ไม่สามารถต้านทานความง่วงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้
4) กลุ่มโรคนอนหลับจากปัญหาการหายใจ (Breathing-Related sleep disorder)
ปัญหาการหายใจ
ด้านร่างกาย เช่น ปวดศีรษะบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อตื่นนอน อ่อนเพลียมากอาจผล็อยหลับในขณะ เดินทาง
ด้านจิตใจ เช่น หงุดหงิดง่าย สับสน สมาธิเสีย
5) ความผิดปกติของวงจรเวลาการนอนหลับและการตื่น (Circadian rhythm sleep-wake disorders)
5.1 Delayed Sleep Phase Type คือ ผู้ป่วยจะรู้สึกง่วงช้ากว่าคนทั่วไปเนื่องจาก Circadian เดินช้ากว่าปกติ ทําให้มีปัญหาหลับยาก
5.2 Advanced Sleep Phase Type คือ ผู้ป่วยง่วงนอนและตื่นเร็วกว่าคนทั่วไป
5.3 Irregular Sleep-Wake Type พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ
5.4 Shift Work Type คือ มีปัญหานอนไม่หลับ รู้สึกไม่สดชื่น
6) โรคการตื่นตัวผิดปกติขณะนอนหลับในช่วงไม่มีการกลอกลูกตาอย่างรวดเร็ว (Non-Rapid eye movement sleep arousal disorders)
2 ชนิด คือ ละเมอเดิน (Sleep walking type) และชนิดฝันผวา (Sleep terror type)
7) โรคฝันร้าย (Nightmare disorder) ช่วงของ REM sleep
8) โรคความผิดปกติของพฤติกรรมการนอนหลับในช่วง REM sleep (Rapid eye movement sleep behavior disorder) เกิดการเตะ การต่อย หรือวิ่งลงจาก
9) โรคขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome)
มีความรู้สึกไม่สบายที่ขาทั้ง ข้าง โดยเฉพาะนั่งหรือนอนพัก ทําให้ต้องขยับขาเพื่อบรรเท
10) โรคการนอนที่เกิดจากสารหรือยา (Substance/Medication-induced sleep disorder) เกิดจากการที่ผู้ป่วยใช้สารหรือยาที่มีฤทธิ์ทําให้นอนไม่หลับ เช่น ยาบ้า
สาเหตุ
1.ด้านร่างกาย การมีปัญหาสุขภาพกาย
ด้านจิตใจ เกิดจากการประสบกับเหตุการณ์ที่ทําให้เกิดความเครียด
ด้านสังคม ขาดการได้รับการยอมรับทางสังคม
การบําบัดรักษาและการช่วยเหลือ
การช่วยเหลือผู้ป่วยที่นอนไม่เพียงพอ (Insomnia)
2) การบําบัดโดยใช้การปรับพฤติกรรมโดยยึดแนวคิดของหลักสุขอนามัยของการนอน (Sleep hygiene) ใช้การบันทึกระยะเวลานอน (Sleep diary) โดยบันทึกเวลา
สถานที่ใช้การรักษา และขั้นตอนการรักษาผู้ที่ติดสารเสพติดประเภทต่างๆ
1.สถานที่ใช้ในการรักษา
1.1 รักษาเป็นผู้ป่วยใน (Inpatient settings)
1.2 รักษาในโรงพยาบาลบางช่วงเวลา (Partial hospitalization)
1.3 รักษาแบบผู้ป่วยนอก (Outpatient programs)
1.4 บ้านพักชั่วคราวหรือบ้านกึ่งวิถี(Halfway houses)
1.5 ชุมชนบําบัด (Therapeutic communities)
2.ขั้นตอนการรักษา
2.1 ระยะที่ 1 (Acute phase) ส่วนมากเป็นช่วงของการถอนพิษยาซึ่งถือเป็นภาวะวิกฤต ผู้ป่วยบางคนมีอาการของการขาดสารเสพติดรุนแรงมากและบางคนมีการเจ็บป่วยทางกายร่วม
2.2 ระยะที่ 2 (Rehabilitation phase) เป็นช่วงเวลาการฟื้นฟูสุขภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พยาบาลต้องให้ความสนใจกับปัญหาร่างกายที่มักเป็นปัญหาเรื้อรัง
2.3ระยะที่ 3 (After care or continuing care) มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการกลับไปใช้สารเสพติดซ้ํา จึงเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นรายบุคคลในระยะยาว
การใช้กระบวนการพยาบาลสําหรับผู้ที่มีความผิดปกติที่สัมพันธ์กับการใช้สารเสพติด
การประเมินและการรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยการซักประวัติ
ตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องปฏิบิตการ
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล
การวางแผนการพยาบาล
3.1 เป้าหมายระยะสั้น ช่วยเหลือให้เกิดความปลอดภัยและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมในขณะถอนพิษสารเสพติด
3.2 เป้าหมายในระยะกลาง ประเมินอาการต่างๆ ที่เกิดในตอนถอนพิษสารเสพติด พร้อมกําหนดระยะเวลาช่วยเหลือและแจ้งผลการรักษาต่อผู้ป่วยและครอบครัว
3.3 เป้าหมายระยะยาว กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในแผนการรักษและมุ่งเน้นให้เกิดความเข้าใจในปัญหาของตนเองที่ต้องใช้สารเสพติด
การปฎิบัติการพยาบาล
การรักษาด้วยยา การบําบัดรายบุคคล การบําบัดรายกลุ่ม
ครอบครัวบำบัด การให้ความรู้ การจัดสภาพแวดล้อมเพื่อการบําบัด การให้การปรึกษาด้านอาชีพ การจัดกิจกรรมบําบัด
การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดสารเสพติด
การติดตามผลการช่วยเหลือผู้ติดสารเสพติด
การป้องกันการกลับไปเสพสารเสพติดซ้ํา
โปรแกรมการป้องกันการกลับไปเสพสารเสพติดซ้ําการช่วยเหลือทางด้านพฤติกรรมและการรู้คิด (Cognitive Behavioral Approach) การสนับสนุนประคับประคองทางสังคม (Social Support)การเปลี่ยนแปลงแบบแผนชีวิต (Lifestyle change approaches)
ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Stages of change)
ขั้นที่ 1 ขั้นไม่สนใจปัญหา (Pre-contemplation)
ขั้นที่ 2 ขั้นลังเลใจ (Contemplation)
ขั้นที่ 3 ขั้นตอนการตัดสินใจ (Determination)
ขั้นที่ 4 ขั้นตอนการลงมือปฏิบัติ (Action)
ขั้นที่ 5 ขั้นตอนการลงมืออย่างต่อเนื่อง (Maintenance)
ขั้นที่ 6 ขั้นตอนการกลับไปใช้สารเสพติดซ้ํา (Relapse)
การประเมินผล
ความผิดปกติในการเสพติด (Addictive Disorders)
การเสพติดการพนัน (Gambing disorder)
การวินิจฉัยโรค ผู้ที่เป็นโรคติดการพนันมีพฤติกรรมต่อไปนี้4 ข้อขึ้นไปใน 1ปีที่ผ่านมา
1.1 ต้องเพิ่มจํานวนเงินในการเล่นพนันมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ได้ความตื่นเต้นที่ต้องการ
1.2 เมื่อพยายามลดหรือหยุดเล่น จะมีความรู้สึกกระวนกระวายและหงุดหงิด
1.3 ไม่ประสบความสําเร็จในความพยายามซ้าแล้วซ้ําเล่าในการควบคุม ลด หรือหยุดเล่นการพนัน
1.4 หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับการพนัน
1.5 บ่อยครั้งเล่นการพนันเมื่อเกิดความทุกข์
เมื่อเสียเงินจาการเล่นพนัน บ่อยครังจะกลับมาเล่นต่อไปเพื่อได้เงินที่เสียไปคืนมา
1.7 พูดปดเพื่อปกปิดการเล่นพนันของตนเอง เมื่อมีผู้ถามถึงการเล่นพนัน
การเล่นพนัน ทําให้เกิดปัญหาด้านความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
1.9 ผู้ติดการพนันมักอยู่ภายใต้อาณัติของผู้ให้เงิน
การเสพติดอินเทอร์เนต และ เกม (internet use and gaming disorder)
การวินิจฉัยโรค
1.ใช้อินเทอร์เน็ตนานมากเกินไป ใช้เวลาในอินเนอร์เน็ตมากกว่าที่ตั้งใจไว้ และไม่สามารถหยุดตัวเองหลังจากใช้อินเทอน์เน็ตไปแล้วเป็นเวลานาน
2.ใช้อินเทอร์เน็ตนานขึ้นเรื่อยๆ (tolerance) หรือหมกมุ่นสนใจ application ใหม่ๆ
3.มีอาการผิดปกติเมื่อไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ต (withdrawal) เช่น หงุดหงิด โมโห กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิ ดื้อ ไม่ฟังเพตุผล บางคนซึมเศร้า หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว
4.เกิดผลเสียหายตามมาจากการใช้อินเทอร์เน็ตมากเกินไป
การรักษาผู้ที่ติดการพนัน/ติดอินเทอร์เน็ต
การรักษาด้วยยา (Pharmacological treatment) ใช้ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อ mu-opioid receptorsหรือยากลุ่มต้านเศร้า
การรักษาด้านจิต-สังคม (Psycho-social treatment)
แนวทางในการช่วยเหลือสําหรับครอบครัว
1.การเข้ากลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน
ยอมรับข้อดี/คุณสมบัติที่ดีของผู้ที่ติดการพนันและ
ติดอินเทอร์เน็ต
ใช้น้ําเสียงสงบเมื่อพูดกับผู้เสพติดเกี่ยวกับการติดการ
พนัน หรือติดอินเทอร์เน็ตของเขา/เธอ
บอกให้ผู้เสพติดทราบว่าครอบครัวกําลังค้นหาความ
ช่วยเหลือเกี่ยวโรคติดการพนัน/โรคติดอินเทอร์เน็ต
อธิบายปัญหาที่เกิดจากการติดการพนัน/การติด
อินเทอร์เน็ตกับสมาชิกครอครัว
เข้าใจถึงความจําเป็นในการบําบัดรักษาปัญหาที่เกิด
กําหนดขอบเขตในการจัดการการเงิน
นางสาวสุชานันท์ บุญยี่ 6031901151