Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, นางสาวสโรชา ยาวิใจ เลขที่35…
การพยาบาลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเด็ก
ประเภท 0 : ตอบแบบไม่เข้าใจ
ระดับความคิดความเข้าใจก่อนขั้นปฏิกิริยา
(อายุ 18 เดือน – 7 ปี) มี 2 ประเภท
ประเภทที่ 1 : ตอบตามปรากฏการณ์
ประเภทที่ 2 : สาเหตุสัมพันธ์กับวัตถุ หรือบุคคลที่อยู่ใกล้ๆ
ระดับความคิดความเข้าใจในขั้นปฏิบัติการด้วยรูปธรรม(อายุ 7-11 ปี) มี 2 ประเภท
ประเภทที่ 3 : การปนเปื้อน
ประเภทที่ 4 : ภายในร่างกาย
ระดับปฏิบัติการด้วยนามธรรม(อายุ 11-12 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่ )มี 2 ประเภท
ประเภทที่ 5 : ความเจ็บป่วยเกิดจากอวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่ดี หรือไม่ทำงาน
ประเภทที่ 6 : เข้าใจถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยที่พัฒนาถึงขึ้นสูงสุด
ปฏิกิริยาของเด็กป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ความเครียดส่งผลทำให้ต้องมีการปรับตัวการปรับตัวของเด็กและครอบครัวของเด็กขึ้นอยู่กับ
พัฒนาการตามวัยของเด็ก
ประสบการณ์เดิมของเด็ก
ความสามารถของเด็กต่อการปรับตัว
ในการเผชิญความเครียด
ความรุนแรงของความเจ็บป่วย
ระบบการดูแลและการช่วยเหลือเด็ก
ผลกระทบของความเจ็บป่วยของเด็กแต่ละช่วงวัย
วัยทารก
การเจ็บป่วยทำให้เด็กรู้สึกไม่สุขสบาย
กินได้น้อยลง
ถูกจำกัดกิจกรรม
ผลกระทบต่อความผูกพันระหว่างมารดาและทารก
จะทำให้บิดามารดา คำนึงถึงความไม่สมบูรณ์ของร่างกายบุตร
เด็กก็จะขาดการกระตุ้นประสาท
สัมผัสจากมารดา
อาจส่งต่อพัฒนาการของเด็กได้
วัยเดิน
เป็นวัยอิสระ
อยากรู้อยากเห็น
ไม่เคยแยกจากบิดามารดา
อาจทำให้คิดว่าบิดามารดา ทอดทิ้ง
บิดามารดาปกป้องมากเกินไป
จะรู้สึกหวาดกลัวหรือไม่ยอมอยู่ในอำนาจไม่สามารถริเริ่มทำอะไรได้ด้วยตัวเอง
วัยก่อนเรียน
เด็กวัยนี้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
หวังที่จะประสบผลสำเร็จในงานบางอย่าง
เด็กที่ป่วยบ่อยหรือเจ็บป่วยเรื้อรังจะมีความยากลำบากในการเรียนรู้
เด็กจะคิดว่า
ความเจ็บป่วยและการต้องอยู่ในโรงพยาบาลเป็นการถูกลงโทษ
วัยเรียน
เด็กวัยนี้จะเป็นวัยที่มุ่งมั่นต่อผลสำเร็จ
มีการสังคมนอกบ้าน
ในกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน
การเจ็บป่วยทำให้หย่อนความสามารถเรื่องการเรียน
ทำให้รู้สึกสูญเสียการนับถือตนเองรู้สึกมีปมด้อย
วัยรุ่น
มีการค้นหาเอกลักษณ์ความเป็นตัวของตัวเอง
มีความเป็น
อิสระเด็กที่เจ็บป่วยบ่อย
จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในตนเอง
ภาพลักษณ์
ปฏิกิริยาของเด็กต่อการเจ็บป่วย
ความวิตกกังวลจากการแยกจาก (separation anxiety)
ความเจ็บปวดทางกายเนื่องจากการตรวจรักษา (body injury and pain)
ความเครียดและการปรับตัวของเด็กและครอบครัว
การสูญเสีย
ความสามารถในการควบคุม (loss of control)
การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ (body image)
ความตาย
ความเข้าใจของเด็กเกี่ยวกับความตาย
วัยแรกเกิดและวัยทารก
อายุ < 6 เดือน ไม่เข้าใจความหมาย ไม่มีความหมายอายุ
6 เดือน ผูกพันกับผู้เลี้ยงดู รู้สึกแยกจาก
ทารกจะเชื่อมโยงกับคนรอบข้างโดยผ่านทางการสัมผัส กลิ่น เสียง
ร้องเมื่อหิว
หากเด็กอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต
มีปฏิกิริยาด้วยการตอบสนองของ physiological reflex
เพื่อต่อสู้ให้ตนเองมีชีวิตรอด
วัยเดินและวัยก่อนเรียน
คิดว่าตายแล้วสามารถกลับคืนมาได้(Reversible)
เหมือนการไปเที่ยวชั่วคราว
ความตายเปรียบเหมือนการนอนหลับ
ทำให้เด็กบางคนกลัวการนอน
กลัวว่าหลับแล้วอาจจะตายแล้วไม่ตื่นอีก
เด็กวัยนี้บางคนอาจเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตเกือบสมบูรณ์
โดยเฉพาะเด็กที่เคยเผชิญการตายของสัตว์เลี้ยงหรือผู้ใหญ่
วัยเรียน
เข้าใจความเป็นตัวของตัวเอง
มองความตายที่มีต่อตนเองได้ชัดขึ้น
เข้าใจความหมายของความตาย
เข้าใจเรื่องของเวลา
อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ตนเองอาจจะมีชีวิต เติบโต หรือตายจากไป
สามารถจินตนาการเรื่องความตาย
เข้าใจได้ว่าตัวเองก็อาจจะตาย
ในวันหนึ่ง
สามารถเข้าใจเรื่องโรค การวินิจฉัย และการพยากรณ์โรคได้
สนใจพิธีการในงานศพ
กลัวการสูญเสียตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก
วัยรุ่น
เป็นวัยที่มีความเป็นส่วนตัว เป็นตัวของตัวเองมาก
ไม่ต้องการการบังคับ หรือควบคุม
เป็นวัยที่ยังมองความตายเป็นเรื่องที่ไกลตนเอง
ยอมรับความตายของตนเองยาก
ที่สุดเหมือนการลงโทษ
จะรู้สึกโกรธ
เศร้าใจ โดยแสดงความรู้สึกต่อพ่อแม่
ปฏิกิริยาของบิดามารดาต่อการเจ็บป่วยของเด็ก
การปฏิเสธ และไม่เชื่อ ในระยะแรก
ความรู้สึกโกรธและโทษตัวเอง เมื่อรู้แน่ชัดว่าเด็กป่วยจริง
ความรู้สึกกลัว และวิตกกังวล
มักจะมีความสัมพันธ์กับอาการรุนแรง
ของโรค
ความรู้สึกหงุดหงิด คับข้องใจ และการขาดอ านาจต่อรอง
ความรู้สึกเศร้า
แนวคิดและหลักการพยาบาลใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
องค์ประกอบที่สำคัญ
การตระหนักและการเคารพ (Respect)
เคารพและยอมรับในความแตกตางทางวัฒนธรรม
ความเป็นบุคคล
ค่านิยม
ความมีอิสระ ทางความคิดและการกระทำ การตัดสินใจ
การร่วมมือ (Collaboration)
การสนับสนุน (Support)
หลักการดูแลเด็กโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็กในขณะที่บุคลากรด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
ให้สำคัญกับสิ่งที่ครอบครัวกังวลหรือเห็นว่าสำคัญ
ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของสมาชิกในครอบครัว
สนับสนุนครอบครัวให้ทำหน้าที่ผู้ดูแลเด็กขณะเจ็บป่วยในโรงพยาบาล
ร่วมกับครอบครัวในการค้นหาทางเลือกต่างๆในการดูแลต่างๆ
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพในทุกระดับของการบริการดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
มีการสื่อสารในทางที่ดี เปิดเผย และต่อเนื่อง
ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และให้ความไว้วางใจ
วางแผนการดูแลรักษา และตัดสินใจร่วมกัน
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและสมบูรณ์แก่บิดามารดาอย่างต่อเนื่อง และไม่ลำเอียง
อธิบายคำศัพท์ทางการแพทย์ให้ครอบครัวให้เข้าใจ
อธิบายเป้าหมายและเหตุผลของการพยาบาล
ตอบข้อสงสัยของบิดามารดา
เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการ ของ บุคคลและครอบครัวเข้าในระบบบริการสุขภาพ
สนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาด้านอารมณ์และเศรษฐกิจ
ส่งปรึกษา
สังคมสังเคราะห์เรื่องเงิน
ยอมรับว่าครอบครัวมีจุดเข็ง และมีลักษณะเฉพาะ รวมทั้งการเคารพวิธีการเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน
ประเมินจุดแข็ง และมีวิธีการเผชิญปัญหาของครอบครัว
เปิดใจรับฟังปัญหาครอบตรัว ค่านิยม ความเชื่อและการตัดสินใจ
เสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) ของครอบครัว
เคารพยอมรับบในความหลากหลายของเชื้อชาติวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ
กระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครอง
ให้คุณค่า ความสำคัญของการช่วยเหลือระหว่าง ครอบครัว
สนับสนุนความร่วมมือของเครือข่ายระหว่างกลุ่มแพทย์และเครือข่าย
ส่งต่อครอบครัวไปยังเครือข่ายผู้ปกครอง
จัดบริการให้มีความความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และตอบสนอง
ความต้องการของครอบครัว
จัดหาวิธีการและทางเลือกของการรักษาให้กับบิดามารดา
แลกเปลี่ยนข้อมูลที่
สำคัญเกี่ยวกับการดูแลเด็กกับวิชาชีพอื่น
การพยาบาลเด็กแต่ละระยะของการเจ็บป่วย
การพยาบาลเด็กระยะเฉียบพลันและระยะวิกฤติ
Separation anxiety
ระยะประท้วง (protest)
เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรงมาก
จะหยุดร้องเฉพาะเวลานอนเท่านั้น
เด็กพยายามที่จะให้มารดาอยู่ด้วย
ไม่ยอมร่วมมือในการรักษา
จะร้องค่อยลงเมื่อร้องจนเหนื่อยแล้ว
ระยะสิ้นหวัง(despair)
ความสิ้นหวังแสดงออกโดยอาการโศกเศร้า
เสียใจอย่างลึกซึ้ง
แยกตัวอยู่เงียบ ๆ ร้องไห้น้อยลง
มีพฤติกรรมที่ถดถอย
(regression)
ระยะนี้เด็กจะยอมร่วมมือในการรักษาที่เจ็บปวด
ไม่ส่งเสริมให้มารดามาเยี่ยม
ระยะปฏิเสธ(denial)
ถ้าเด็กป่วยต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานวัน
ระยะนี้เด็กจะหันกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เหมือนกับว่าเด็กปรับตัวได้
แต่เด็กเพียงเก็บกด
ความรู้สึกที่มีต่อมารดาไว้
เด็กแสดงท่าทางราวกับว่าไม่เดือดร้อนไม่ว่ามารดาจะมาหรือจะไป
จะหันไปสร้างสัมพันธภาพอย่างผิวเผินกับเจ้าหน้าที่พยาบาลหลายๆคน
Pain management
Critical care concept
Stress and coping
การพยาบาลเด็กระยะเรื้อรังและระยะสุดท้าย
Body image
Death and dying
เด็ก
คนที่มีอายุยังน้อย
เด็กที่มีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน14ปีบริบูรณ์
บุคคลที่มีอายุแต่ 15ปีลงมา
ความหมายด้านสุขภาพ
หมายถึงบุคคลตั้งแต่แรกเกิด ถึง 15 ปี
ช่วงวัยของเด็ก แบ่งตามระยะพัฒนาการ
Newborn ทารกแรกเกิด 28 วันหลังคลอด
Infant ทารกอายุมากว่า 28 วันถึง 1 ปี
Toddler เด็กวัยเดิน อายุ 1-3 ปี
Preschool age เด็กวัยก่อนเรียน 3-5 ปี
School age เด็กวัยเรียน 6-12 ปี
1 more item...
สิทธิเด็ก (Convention on the Right of the Child)
วันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี
ประเทศเกือบทั้งโลกร่วมลงสัตยาบรรณกำหนดให้เป็นวันสิทธิเด็ก
ประเทศไทยลงนามเข้าเป็นภาคี อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535
มีทั้งหมด 4ด้าน
สิทธิในการมีชีวิต
สิทธิของเด็กที่คลอดออกมาแล้วจะต้องมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย
สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
สิทธิที่เด็กได้รับปกป้องคุ้มครองจากการทารุณกรรมทุกรูปแบบ
การทารุณกรรมทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศ
การค้าประเวณีเด็ก
เด็กที่ลี้ภัยจากอันตรายเข้ามาในประเทศของรัฐภาคี
จะต้องได้รับการคุ้มครองและช่วยเหลือ
สิทธิในด้านพัฒนาการ
ทุกคนจะได้รับสิทธิให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับพัฒนาการ
ร่างกาย
จิตใจ
สังคม
การมีส่วนร่วมใน
กิจกรรมครอบครัวในโรงเรียน
และที่สำคัญที่สุดก็คือเด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาขั้น
พื้นฐาน 12 ปี
สิทธิในการมีส่วนร่วม
เป็นสิทธิที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออก
ด้านความคิด
และ
กระทำของเด็ก
สิทธิในการปกป้องเรียกร้อง
ผลกระทบที่เกิดกับชีวิตความเป็นอยู่ของเด็ก
ระยะของการเจ็บป่วย
ระยะเฉียบพลัน (Acute)
ในทันทีทันใดเฉียบพลัน
รุนแรงมาก
อาการหัวใจวาย
ระยะเรื้อรัง (Chronic)
เป็นระยะที่รักษาไม่หายขาด
ต้องเผชิญกับความเครียดเป็นเวลานาน
มีผลกระทบต่อการปรับตัวของบุคคลและครอบครัวอย่างมาก
ระยะวิกฤต (Crisis)
เป็นระยะที่มีโอกาสเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วการ
ดูแลเน้นการรักษา
ดูแลประคับประคองทั้งร่างกายจิตใจ
การตัดสินใจดีมีความไวต่อสถานการณ์
ระยะสุดท้าย / ใกล้ตาย (Death / Dying)
เป็นระยะที่ได้รับการวินิจฉัยการเจ็บป่วยขั้นสูญเสียชีวิต
ภายใต้การรักษาด้วยยา
อยู่ได้ประมาณ6เดือนหรือน้อยกว่า
Preparation for
Hospitalization and Medical Procedures
Preparing Infants
Stressors
Separation from parents
Having many different caregivers
Seeing strange sights, sounds, smells
New, different routines
Interrupted sleep
Day and night confusion
Keep routines
Bring favorite security item
Let nursing staff know about baby’s schedule
Parents remain calm
Be patient with infant
Hard to comfort, console, clingy
Distract, rock, comfort
Preparing Toddlers/Preschoolers
Stressors
Being left alone
Having to stay in strange bed/room
Loss of comforts of home, family
Being in contact with unfamiliar people
Painful procedures
Medical equipment that looks scary
Read books about going to hospital
Interactive play with dolls
Simple explanations
“The doctor will fix your arm” vs. “The doctor is going to make a cut in your arm.”
Establish “procedure free zones”
Stay with child during hospitalization
Preparing School Age
Take tour
Make sure child knows why is having surgery in words they understand
Have child explain back their understanding
Read books
Give as many choices as possible
Preparing Teenager
Stressors
Loss of control
Being away from school/friends
Having a part of his/her body damaged or changed in appearance
Fear of surgery and risks
Pain
Ask friends to visit/send cards
Journal
Be patient with mood swings – allow them to be alone if needed
Be truthful
Pain assessment
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยา
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
การประเมินความเจ็บปวดด้วยตนเอง
เครื่องมือที่ใช้ประเมินpainในเด็ก
การประเมินความเจ็บปวดควรถามเกี่ยวกับ
ความรุนแรงของความปวด
ตำแหน่งที่ปวด
รูปแบบ ระยะเวลาความเจ็บปวด :เจ็บตลอดเวลา เป็นๆหายๆ
ลักษณะการเจ็บปวด:
เจ็บ ปวด แสบ ปวดแสบ ปวดร้อน
CRIES Pain Scale
พฤติกรรม
การแสดงออก
0 = ไม่มี
1= หน้าเบ้
2=หน้าเบ้/คราง
Vital signs
0=HRorBP</=preop
1=HRorBP<20
% preop
2=HRorBP>20%
preop
ร้องไห้
0 = ไม่ร้อง
1=เสียงสูง
2=ปลอบไม่หยุด
การนอนไม่หลับ
0=ไม่มี
1=ตื่นบ่อย
2=ตื่นตลอด
Neonatal Infants Pain Scale (NIPS)
สีหน้า
0=เฉยๆสบาย
1=แสยะปากเบะจมูกย่นคิ้วย่น ปิดตาแน่น
ร้องไห้
0=หายใจสม่ำเสมอ
1=ร้องคราง
2=กรีดร้อง
การหายใจ
0=หายใจ
สม่ำเสมอ
1=หายใจเร็วหรือช้าหรือกลั้นหายใจ
แขน ขา
0=วางสบายๆ
1=งอ
ระดับการตื่น
0=หลับ/ตื่น
1=กระสับกระส่ายวุ่ยวาย
0-7 คะแนน > 4 = pain ให้ยาแก้ปวด
CHEOPS (Children’s Hospital of Eastern Ontario Pain Scale )
สีหน้า
0=ยิ้ม
1=เฉย
2=เบ้
ร้องไห้
1=ไม่ร้อง
2=ครางร้องไห้
3=หวีดร้อง
การส่งเสียง
0=พูดสนุกร่าเริง ไม่พูด
1= บ่นอื่นๆ ร้องหาแม่
2=บ่นปวดบ่นอื่นๆ
ท่าทาง
(ลำตัว)
1=ธรรมดาสบายๆ
2=ดิ้น เกร็ง สั่น ยืน
การสัมผัส
แผล
1=ไม่สัมผัส
2=เอื้อมมือมา แตะ ตะปบ
ใช้กับเด็ก 1-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
การแปลผล
4 = ไม่ปวด
5-7 = ปวดน้อย
8-10 = ปวดปานกลาง
11-13 = ปวดมาก
FLACC Scale (Face ; Legs ; Activity ; Cry ; Consolability Scale)
สีหน้า
0=เฉยๆไม่ยิ้ม
1=แสยะปากเบะ,ขมวดคิ้ว, ถอยหนี
2=คางสั่น,กัดฟันแน่นเป็นบ่อยๆ
การเคลื่อนไหว
0=นอนเงียบๆท่าปกติ
1=บิดตัวไปมา
2=ตัวงอ เกร็งจนตัวแข็ง
ร้องไห้
0=ไม่ร้อง(ตื่นหรือหลับก็ได้)
1=ครางฮือๆครางเบาๆ
2=ร้องไห้ตลอด
การตอบสนองต่อการปลอบโยน
0=เชื่อฟังดี สบายๆ
1=สามารถปลอบโยนด้วยการสัมผัส
2=ยากที่จะปลอบหรือทำให้สบาย
ใช้กับเด็ก 1เดือน-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
การแปลผล
0 = ไม่ปวด
1-3 = ปวดน้อย
4-6 = ปวดปานกลาง
7-10 = ปวดมาก
Faces scale
การใช้รูปภาพแสดงสีหน้าบอกความรู้สึกปวด
นิยมใช้ในผู้ป่วยเด็กเด็กคนชราหรือคนที่ไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยคำพูด โดยพยาบาลให้ชี้ภาพตามความรู้สึก
Numeric rating scales
ใช้ได้ตั้งแต่เด็กวัยเรียนขึ้นไป
ซักถามถ้าไม่ปวดเลย ให้ 0 ปวดมาก ที่สุดให้ 10 ขณะนี้ปวดเท่าใด
การแปลผล
0 = ไม่ปวด
1-3 = ปวดน้อย
4-6 = ปวดปานกลาง
7-10 = ปวดมาก
หลักการประเมินความปวด
ประเมินก่อนให้การพยาบาลเพื่อเป็นสมมติฐาน และหลังให้การพยาบาล เพื่อประเมินผล
ควรประเมินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยประเมินทั้งขณะพักและขณะทำกิจกรรม
เลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และควรใช้วิธีเดียวกันตลอดการให้การพยาบาลนั้นๆ
มีการบันทึกเป็นหลักฐาน
หลีกเลี่ยงคำถามอันเป็นเหตุให้บดบังข้อเท็จจริง
บทบาทของพยาบาลกับการประเมินความปวด
สร้างสัมพันธภาพที่ดี ใช้คำพูดสุภาพ เข้าใจง่าย
ให้ความสนใจโดยเป็นผู้ฟังที่ดี และเชื่อในคำบอกเล่าของผู้ป่วย
ระหว่างการประเมินควรบันทึกพฤติกรรมแนวคิด สภาพอารมณ์ จิตใจและบุคลิกภาพของผู้ป่วย เพื่อเป็นข้อมูล
ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถตอบข้อซักถามได้อาจใช้ วิธีสัมภาษณ์จากคนดูแลใกล้ชิด
นางสาวสโรชา ยาวิใจ เลขที่35 รุ่น36/2