Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดและหลักการพยาบาลเด็กปกติ และเจ็บป่วย, จัดทำโดย นางสาวธิดาพร …
แนวคิดและหลักการพยาบาลเด็กปกติ และเจ็บป่วย
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเด็ก
ประเภท 0 : ตอบแบบไม่เข้าใจ เมื่อถามเด็ก เด็กจะตอบไม่สัมพันธ์กันกับคําถาม เป็น คําตอบที่แสดงว่าเด็กไม่เข้าใจ และไม่สามารถจะให้คะแนนได้
ระดับความคิดความเข้าใจก่อนขั้นปฏิกิริยา(อายุ 18 เดือน – 7 ปี)
ประเภทที่ 1 : ตอบตามปรากฏการณ์ สาเหตุของความเจ็บป่วยเป็นปรากฏการณ์ ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่อยู่นอกตัวไม่สามารถอธิบายได้ว่า ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นได้อย่างไร
ประเภทที่ 2 : สาเหตุของความเจ็บป่วยเกิดจากการติดต่อ สัมพันธ์กับวัตถุ หรือบุคคลที่อยู่ ใกล้ๆ แต่ไม่สัมผัสแตะต้องตัวเกิดจากเวทมนต์หรืออํานาจลึกลับ อยู่นอกตัว
ระดับความคิดความเข้าใจในขั้นปฏิบัติการด้วยรูปธรรม(อายุ 7-11 ปี)
ประเภทที่ 3 : การปนเปื้อน สามารถบอกถึงสาเหตุของความเจ็บป่วย เกิดขึ้นจากสิ่งที่อยู่ นอกตัวเอง จากสิ่งที่ไม่ดีหรือเป็นอันตรายมาสัมผัสกับตัว
ประเภทที่ 4 : ภายในร่างกาย ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นภายในร่างกาย แต่ยังอธิบายไม่เฉพาะเจาะจง สาเหตุที่ทําให้เกิดอยู่ข้างนอกตัว แต่เชื่อมโยงกับกระบวนการภายในร่างกาย เช่น จาก การกลืนเข้าไป หรือการสูดดมเข้าไป
ระดับปฏิบัติการด้วยนามธรรม(อายุ 11-12 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่ )
ประเภทที่ 5 : ความเจ็บป่วยเกิดจากอวัยวะภายในร่างกายทํางานไม่ดี หรือไม่ทํางาน
ประเภทที่ 6 : เข้าใจถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยที่พัฒนาถึงขึ้นสูงสุด
ความเข้าใจเรื่องการตายของเด็ก
วัยแรกเกิดและวัยทารก
อายุ < 6 เดือน ไม่เข้าใจความหมาย ไม่มีความหมายอายุ > 6 เดือน ผูกพันกับผู้เลี้ยงดู
มีปฏิกิริยาด้วยการตอบสนองของ physiological reflex เพื่อต่อสู้ให้ตนเองมีชีวิตรอด
ทารกจะเชื่อมโยงกับคนรอบข้างโดยผ่านทางการสัมผัส กลิ่น เสียง จะ ร้องเมื่อหิว เจ็บ หรือมีอาการไม่สุขสบายต่างๆ เกิดขึ้นในร่างกาย
วัยเดินและวัยก่อนเรียน
คิดว่าตายแล้วสามารถกลับคืนมาได้(Reversible) เหมือนการไปเที่ยวชั่วคราว
ความตายเปรียบเหมือนการนอนหลับ ทำให้เด็กบางคนกลัวการนอน กลัวว่าหลับแล้วอาจจะตายแล้วไม่ตื่นอีกเลย
เด็กบางคนอาจเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตเกือบสมบูรณ์ โดยเฉพาะเด็กที่เคยเผชิญการตายของสัตว์เลี้ยงหรือผู้ใหญ่
วัยเรียน
เข้าใจความเป็นตัวของตัวเอง มองความตายที่มีต่อตนเองได้ชัดขึ้น เข้าใจความหมายของความตาย เรียนรู้ว่าตายแล้วจะกลับคืนมาอีก ไม่ได้ เข้าใจเรื่องของเวลา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
ตนเองอาจจะมีชีวิต เติบโต หรือตายจากไป
จินตนาการเรื่องความตาย
เข้าใจเรื่องโรค การวินิจฉัย และการพยากรณโ์รคได้
สนใจพิธีการในงานศพ
กลัวการสูญเสียตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก
วัยรุ่น
มีความเป็นส่วนตัว เป็นตัวของตัวเองมาก ต้องการจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นและ เกี่ยวข้องกับตัวเองด้วยตัวเอง ไม่ต้องการการบังคับ หรือควบคุม
มองความตายเป็นเรื่องที่ไกลตนเอง ยอมรับความตายของตนเองยาก ที่สุดเหมือนการลงโทษ
เด็กป่วยกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
การปรับตัวขึ้นอยู่กับ
พัฒนาการตามวัยของเด็ก
ประสบการณ์เดิมของเด็กที่เคยเผชิญในการเจ็บป่วยครั้งก่อน
ความสามารถของเด็กต่อการปรับตัวในการเผชิญความเครียด
ความรุนแรงของความเจ็บป่วย
ระบบการดูแลและการช่วยเหลือเด็ก
ผลกระทบของความเจ็บป่วย
วัยทารก
ส่งผลต่อความต้องการทั่วไป และการเจ็บป่วยที่ทำให้ร่างกายพิการที่มองเห็นเด่นชัดตั้งแต่เกิดจะมี ผลกระทบต่อความผูกพันระหว่างมารดาและทารก
วัยเดิน
การเจ็บป่วยเฉียบพลันเรื้อรังอาจทำให้ต้องพรากจากบิดามารดา และคิดว่าตนถูกทอดทิ้ง
วัยก่อนเรียน
เด็กที่ป่วยบ่อยหรอืเจ็บป่วยเรื้อรังจะมีความยากลำบากในการเรียนรู้
วัยเรียน
เด็กที่เจ็บป่วยโดยเฉพาะการเจ็บป่วยเรอื้รังทำให้หย่อนความสามารถเรื่องการเรียน การเล่นกีฬาและเพื่อน ทำให้รู้สึกสูญเสียการนับถือตนเอง รู้สึกมีปมด้อย
วัยรุ่น
มีผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นในตนเอง ภาพลักษณ์ บุคลลิกภาพ
ปฏิกิริยาตอบสนองของเด็กป่วยเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ความวิตกกังวลเนื่องจากการแยกจาก (separation anxiety)
พบมากในเด็กอายุ ระหว่าง 6 เดือนถึง 3 ปี
พฤติกรรมการแยกจาก
ระยะประท้วง (protest) เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรงมาก ร้องตลอดเวลาจะหยุดร้องเฉพาะ เวลานอนเท่านั้น เด็กจะปฏิเสธทุกอย่าง จะร้องค่อยลงเมื่อร้องจนเหนื่อยแล้ว เมื่อมารดามาเยี่ยมด็กจะประท้วงมากขึ้น ร้องไห้ มากขึ้น
ระยะสิ้นหวัง(despair) ความสิ้นหวังแสดงออกโดย อาการโศกเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้ง แยกตัวอยู่เงียบ ๆ ร้องไห้น้อยลง มี พฤติกรรมที่ถดถอย(regression)เด็กจะยอมร่วมมือในการรักษาที่เจ็บปวด ต่อต้านเพียงเล็กน้อยยอมกินอาหาร ทําให้เข้าใจผิดคิดว่าเด็กปรับตัวได้
ระยะปฏิเสธ(denial) สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เด็กแสดงท่าทางราวกับว่าไม่เดือดร้อนไม่ว่ามารดาจะมา หรือจะไป จะหันไปสร้างสัมพันธภาพอย่างผิวเผินกับเจ้าหน้าที่พยาบาลหลายๆ คน แต่หลีกเลี่ยงที่จะ ไปใกล้ชิดกับใครคนใดคนหนึ่ง ไม่กล้าเสี่ยงที่จะใกล้ชิดและไว้วางใจบิดามารดาอีกต่อไป
วัยเรียน
กังวลที่ไม่ได้ปฏิบัติกิจกรรมหรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิม ปฏิกิริยาเด็กอาจจะมีเหงา เบื่อ ซึมเศร้า
วัยรุ่น
วัยรุ่นอาจปฏิเสธการรักษาได้เพราะเขาจะเชื่อตามความเห็นของเพื่อนมากกว่าความเชื่ออื่นๆ วัยรุ่น ต้องใช้ประสบการณ์ในอดีตที่จะช่วยในการเผชิญกับภาวะเครียดในปัจจุบัน การแยกจากที่สําคัญที่สุด ก็คือการแยกจากเพื่อนรุ่นเดียวกัน
พฤติกรรมถดถอย(regression)
พบมากในเด็กวัยเดินและ เด็กก่อนวัยเรียน เด็กจะหยุดการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ หันกลับมาใช้พฤติกรรมดั้งเดิม ซึ่งเป็นที่พึงพอใจของ
เด็กมากกว่าเช่น ไม่ยอมกินน้ําจากถ้วย หันกลับไปกินนมจากขวด และถ่ายปัสสาวะรดกางเกง พฤติกรรมถดถอยจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับความคับข้องใจและความเครียดของเด็กแต่ละคน
การสูญเสียการควบคุมตัวเอง (loss of control)
เด็กวัยก่อนเรียน
เหตุการณ์ที่ทําให้เด็กสูญเสียการควบคุมตัวเอง เช่นการจํากัดการ เคลื่อนไหว ทําให้เด็กขาดความมั่นคง ในตัวเอง เด็กจะไม่ร่วมมือในการรักษาพยาบาล และต่อต้านอย่างรุนแรง
เด็กวัยเรียน
ความกลัวของเด็กป่วยวัยนี้ คือภาวะที่คุกคามการสูญเสียการควบคุม
วัยรุ่น
ความเจ็บป่วยที่จํากัดความสามารถทางร่างกาย จะทําให้เกิดการสูญเสียการ ควบคุม อาจจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการปฏิเสธ ไม่ยอมร่วมมือ แยกตัว เอาแต่ใจตัวเอง โกรธ คับ แค้นใจ โดยไม่คํานึงถึงว่าเขาจะแสดงออกอย่างไร
การบาดเจ็บและความเจ็บปวด
เด็กวัยก่อนเรียน
เด็กมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่รุนแรงและมองการปฏิบัติต่าง ๆ เป็นการลงโทษ วิธีการเตรียมเด็กก่อนปฏิบัติการพยาบาลที่จะได้ผลดีที่สุดก็คือ ต้องบอกเด็ก ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แล้วต้องรีบทําทันที เมื่ออายุครบ 4 ขวบ เด็กจะสามารถควบคุมตัวเองได้ขณะเจ็บปวด เด็กจะสังเกตร่างกายของตัวเองมีความสมบูรณ์ครบถ้วน เด็กจึงมี ปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการกลัวอวัยวะถูกตัดขาดมากที่สุด เด็กคิดถึงตัวเองเป็นศูนย์กลาง จึงคิดว่าร่างกายของตนเองก็คงเป็นเช่นนั้นหรืออาจจะถูก ตัดเช่นกัน ความกลัวอวัยวะจะถูกตัดทิ้ง ทําให้เด็กสับสนเกี่ยวกับการผ่าตัดและการปฏิบัติ รักษาพยาบาลที่บริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
เด็กวัยเรียน
กลัว ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจะทําให้แตกต่างจากเพื่อน ๆ และจะทําให้เพื่อนไม่ยอมรับ เด็กไม่สนใจ ความรู้สึกเกี่ยวกับโรค แต่สนใจเรียนรู้เกี่ยวกับผลของการรักษาหรือผลจากการผ่าตัด
วัยรุ่น
การบาดเจ็บ ความเจ็บปวด และความพิการนั้น จะเกิดผลกระทบกระเทือนมากน้อย เพียงใด ขึ้นอยู่กับว่าวัยรุ่นได้มองตัวเองในปัจจุบันเป็นอย่างไร การเปลี่ยนแปลงที่ทําให้วัยรุ่นแตกต่าง จากเพื่อนนั้นทําให้เกิดความเครียดอย่างมาก
การปรับตัวของวัยรุ่นเมื่ออยู่ในโรงพยาบาล ปรับตัวโดยการเข้าหาผู้อื่น ปรับตัวโดยการต่อสู้และต่อต้าน ปรับตัวโดยการถอยหนีจากคนอื่น
ครอบครัวของผู้ป่วยเด็ก
การปรับตัวขึ้นอยู่กับ
ปัจจัยการช่วยเหลือค้ำจุน
ความเข็มแข้งของบิดามารดา
ความสามารถในการปรับตัวครั้งก่อน ๆ
วิธีปฏิบัติเพื่อการวิเคราะห์โรคและการรักษา
ความเคร่งเครียดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากระบบครอบครัว
ประสบการณ์เกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการอยู่ในโรงพยาบาล
ความเชื่อถือเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีและศาสนา
ความรุนแรงของการรักษา
แบบแผนการสื่อสารของสมาชิกในครอบครัว
ปฏิกิริยาของบิดามารดาต่อการเจ็บป่วยของเด็ก
การปฏิเสธ และไม่เชื่อ ในระยะแรกที่ทราบว่าบุตรเจ็บป่วย โดยเฉพาะถ้าเป็นโรค คุกคามชีวิต บิดามารดามักจะไม่ค่อยยอมเชื่อว่าเด็กจะป่วยร้ายแรงขนาดนั้น
ความรู้สึกโกรธและโทษตัวเอง เมื่อรู้แน่ชัดว่าเด็กป่วยจริง บิดามารดาอาจจะมี ความรู้สึกโกรธโกรธว่าเด็กน่าจะบอกเล่าถึงอาการให้ทราบก่อนหน้านี้จะได้รักษาเร็วกว่านี้ อาจ โทษตนเองว่าดูแลเด็กไม่ดีพอ ไม่สามารถป้องกันเด็กจากความเจ็บป่วยได้ ถ้ามีพฤติกรรมถดถอย หรือก้าวร้าว บิดามารดาก็จะยิ่งเพิ่มความรู้สึกผิดหรือโทษตนเองมากขึ้น
ความรู้สึกกลัว และวิตกกังวล มักจะมีความสัมพันธ์กับอาการรุนแรงของโรคที่เด็ก เป็น การรักษาที่ทําให้เด็กต้องเจ็บป่วย ถ้าเด็กป่วยเป็นโรคร้ายแรงและรักษาไม่หาย บิดามารดามักมี ความกลัวและวิตกกังวลว่าเด็กพิการหรือเสียชีวิต
ความรู้สึกหงุดหงิด คับข้องใจ และการขาดอํานาจต่อรอง มักเกิดจากการที่บิดา มารดาไม่ได้รับการบอกเล่า หรือ ไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของเด็ก และแผนการ รักษาพยาบาล แต่ก็ไม่กล้าซักถามแพทย์ พยาบาล ในสิ่งที่ตนอยากรู
ความรู้สึกเศร้า บิดามารดาที่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการป่วยของเด็กหลายๆอย่าง ข้างต้น อาจมีความรู้สึกเศร้าเพิ่มขึ้น
ปฏิกิริยาโต้ตอบของพี่น้องต่อการเจ็บป่วยของเด็กและการปรับตัว
ความโกรธ ความอิจฉาริษยาและ ความรู้สึกผิด ความรู้สึกผิด เกิดขึ้นเนื่องจากการระงับความรู้สึกด้านอื่น และเกิดขึ้นบ่อยในเด็กโต ความสามารถในการปรับตัวของพี่น้องขึ้นอยู่กับระดับขั้นของพัฒนาการ ความเข้มแข็งของระบบครอบครัว ประสบการณ์เกี่ยวกับภาวะเครียดและการใช้กลไกในการปรับตัว
แนวคิดและหลักการพยาบาลใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลางเป็น “best practice” ในการดูแลเด็กป่วย
การตระหนักและการเคารพ (Respect) เคารพและยอมรับในความแตกตางทาง วัฒนธรรม ความเป็นบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ ความมีอิสระ ทางความคิดและการกระทํา การ ตัดสินใจ
การร่วมมือ (Collaboration)
การสนับสนุน (Support)
หลักการดูแลเด็กโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง (Shelton & Stepanek , 1994)
เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็ก ในขณะที่บุคลากรด้าน สุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพในทุกระดับของการ บริการดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จําเป็นและสมบูรณ์แก่บิดามารดาอย่างต่อเนื่อง และไม่ลําเอียงด้วยท่าทีที่เหมาะสมในลักษณะของการสนับสนุน
เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการของบุคคลและครอบครัวเข้าใน ระบบบริการสุขภาพ
ลงมือปฏิบัติสนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และ เศรษฐกิจ เช่น ส่งปรึกษา สงคมสงเคราะห์เรื่องเงิน ส่งหน่วยปรึกษาเมื่อเกิดปัญหา การปรับตัวหรือ ความคับข้องใจ
ยอมรับว่าครอบครัวมีจุดแข็ง และมีลักษณะเฉพาะ รวมทั้งเคารพวิธีการเผชิญปัญหา ที่แตกต่างกัน
เคารพยอมรับในความหลากหลายของเชื้อชาติวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ และ สังคม เศรษฐกิจของ ครอบครัว
กระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครอง ให้คุณค่า ความสําคัญของการช่วยเหลือระหว่าง ครอบครัว
จัดบริการให้มีความความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และ ตอบสนองความต้องการของ ครอบครัว
บทบาทของพยาบาลเด็กในการใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
เสริมสร้างความสามารถของครอบครัว โดยให้โอกาสบิดามารดาแสดงความสามารถ และสมรรถนะ เพื่อตอบสนองความต้องการของเด็กและครอบครัวในการดูแลเด็กป่วยที่เข้ารับการ รักษาในโรงพยาบาล
เสริมสร้างพลังอํานาจแก่ครอบครัวในการควบคุมชีวิตของครอบครัวและการ เปลี่ยนแปลงในทางบวก
มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทักษะ และทรัพยากรกับครอบครัว โดยพยาบาลต้อง ตระหนักว่าบิดามารดามีความเสมอภาคกับตน และมีสิทธิที่จะตัดสินใจว่าอะไรคือความสําคัญของเด็ก และครอบครัว
พยาบาลสร้างกลไกความสัมพันธ์กับบิดามารดาเป็นแบบหุ้นส่วน โดยมีข้อตกลงว่า ใครจะเป็นคนให้การพยาบาลเด็กด้านใด
การจัดการการพยาบาลเด็กที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
การประเมินและการวินิจฉัยทางการพยาบาล
ประเมินแบบแผนการดําเนินชีวิตและกิจวัตรประจําวันของเด็ก เพื่อใช้เป็นข้อมูลใน การวินิจฉัยปัญหาและวางแผนในการดูแลให้เด็กได้รับการดูแลที่ต่อเนื่องและ สอดคล้องกับกิจวัตรประจําวันเดิมของเด็ก ลดความแตกต่างระหว่างบ้านและ โรงพยาบาลให้มากที่สุด
ประเมินความคิดความรู้สึกเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลของเด็ก โดยใช้คําถาม ปลายเปิด
การวางแผนและการดําเนินการ
2.1 การจัดสิ่งแวดล้อม (environment)การสร้างบรรยากาศในโรงพยาบาลให้มีสภาพคล้ายบ้านมากที่สุด จะช่วยเพิ่มความ สดชื่น อบอุ่น ต่อสายตาและจิตใจของเด็กและช่วยลดปฏิกริยาทางจิตใจแก่ผู้ป่วยเด็ก
2.2 การอํานวยความสะดวก (facilitative)นโยบายของโรงพยาบาล เป็นสิ่งกําหนดแนวทางในการปฏิบัติ ในเด็กควรมีการ ยืดหยุ่น ไม่มีกฎเกณฑ์บังคับมากเกินไป
2.3 การประสานงาน (coordination) เช่น หน่วยบริการการศึกษาพิเศษ เป็นต้น
2.4 การสื่อสาร (communication) การสื่อสารกับเด็กมีความแตกต่างตามระยะ พัฒนาการของเด็ก
2.5 การให้การพยาบาลตามระยะพัฒนาการของเด็ก เมื่อเด็กเข้ารับการรักษาใน โรงพยาบาลต้องให้การพยาบาลครอบคลุมทั้ง 4 ด้าน คือ 1.การพยาบาลทั่วไป (provide general interventions) 2.การพยาบาลเพื่อความสุขสบายทางกายและความปลอดภัย (providephysical comfort and safety interventions)
3.การพยาบาลเพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ (provide cognitiveinterventions) 4. การพยาบาลด้านจิตสังคมและอารมณ์ (provide psychosocial and emotion interventions)
3 การประเมินผล
Pain assessment
เครื่องมือที่ใช้ประเมินpainในเด็ก
การถาม
1.ความรุนแรงของความปวด 2.ตำแหน่งที่ปวด 3.รูปแบบระยะเวลาความเจ็บปวด เจ็บตลอดเวลา เป็นๆหายๆ 4..ลักษณะการเจ็บปวด เจ็บ ปวด แสบ ปวดแสบ ปวดร้อน 5. ผลกระทบต่อความปวด หงุดหงิด ก้าวร้าว นอนไม่หลับ 6.ปัจจัยที่ท าให้ปวดมากขึ้น ลดลง
การประเมินโดยใช้เครื่องมือ
1.CRIES Pain Scale
Neonatal Infants Pain Scale (NIPS)
CHEOPS (Children’s Hospital of Eastern Ontario Pain Scale )
FLACC Scale (Face ; Legs ; Activity ; Cry ; Consolability Scale)
Faces scale
Numeric rating scales
บทบาทของพยาบาลกับการประเมินความปวด
สร้างสัมพันธภาพที่ดีใช้คำพูดสุภาพ เข้าใจง่าย
ให้ความสนใจโดยเป็นผู้ฟังที่ดี่ี และเชื่อในคำบอกเล่าของผู้ป่วย
ระหว่างการประเมินควรบันทึกพฤติกรรม แนวคิด สภาพอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพของผู้ป่วย เพื่อเป็นข้อมูล
ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถตอบข้อซักถามได้ อาจใช้วิธีสัมภาษณ์จากคนดูแล ใกล้ชิด ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจถามจากบิดา มารดา หรือสังเกตพฤติกรรม และผลกระทบที่เกิดจากความปวด เช่น ผู้ป่วยที่ยังไม่รู้สึกตัวดี ครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือผู้ป่วยมะเร็งระยะสดุท้าย เป็นต้น
หลักการประเมินความปวด
ประเมินก่อนให้การพยาบาล เพื่อเป็นสมมติฐาน และหลังให้การพยาบาล เพื่อประเมินผล
ควรประเมินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยประเมินทั้งขณะพักและขณะทำกิจกรรม
เลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และควรใช้วิธีเดียวกันตลอดการให้การพยาบาลนั้นๆ
เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีการรับรู้บกพร่อง หรือไม่สามารถสื่อสารได้ ควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจาก การประเมินอาจได้ข้อมูลไม่ครอบคลุมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด
มีการบันทึกเป็นหลักฐาน
หลีกเลี่ยงคำถามนำอันเป็นเหตุให้บดบังข้อเท็จจริง หรือคำถามที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์เศร้า เสียใจ
จัดทำโดย นางสาวธิดาพร หวังแนบกลาง รุ่น36/1 เลขที่49 รหัสนักศึกษา612001050