Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
วิชาบริหารการพยาบาล - Coggle Diagram
วิชาบริหารการพยาบาล
บทที่ 1ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการบริหาร
ความหมายของการบริหาร การบริหาร เป็นการดำเนินงานหรือกระบวนการใดๆ ของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อที่จะให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้ร่วมกัน โดยคำนึงถึงการจัดสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และมืองค์ประกอบ คือ
ทรัพยากรในการบริหารที่มีจำกัด (ManagementResources)
การประสานงานระหว่างกัน (Co-ordinate)
เป้าหมายที่ชัดเจน (Goal2.
การแบ่งงานกันทำ (Division)
ความแตกต่างระหว่างการบริหารกับการจัดการ
การบริหาร (Administration)"เป็นกระบวนการดำเนินการระดับการกำหนดนโยบาย"หรือกระบวนการบริหารงานขององค์การ ที่ไม่ต้องการผลกำไรหรือผลประโยชนผู้บริหารพยายามบริหารงานให้เป็นไปตามเป้าหมายขององค์การ
ความแตกต่างระหว่างการบริหารกับการจัดการ
การบริหาร (Administration)อผลสำเร็จขององค์การมิได้คำนึงถึงผลตอบแทนที่สมาชิกจะได้รับดังนั้น การบริหาร มักจะใช้กับองค์การกาดรัฐหรือหน่วยงานสาธารณะที่ไม่หวังผลกำไร
ความแตกต่างระหว่างการบริหารกับการ
จัดการ (2)การจัดการ (Management)ออกเป็นกระบวนการบริหารงาน ขององค์การที่ต้องการกำไรโดยผู้จัดการจะต้องทำให้องค์การบรรลุเป้าหมายเพื่อให้องค์การอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่อยู่ในระบบการแข่งขัน
ความแตกต่างระหว่างการบริหารกับการจัดการ (2)การจัดการ (Management)การจัดการ จึงมักใช่ในองค์การธุรกิจหรือองค์การมุ่งผลกำไรการจัดการ เป็นการนำทรัพยากรในการบริหารมาใช้ และนำเอาระบบสารสนเทศมาใช่ในการบริหารเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่
การจัดการเป็นทั้งศาสตร์และศิลปScience
" การที่มีความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจในหลักการบริหารArtการที่มีทักษะที่เกิดจากความชำนาญในการปฏิบัติผู้จัดการ หรือ ผู้บริหารจะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลปี คือเป็นผู้ที่มีความรู้และสามารกนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล เพื่อให้การดำเนินงานได้ผลตามเป้าหมายที่กำหนดูไว้
ความสำคัญของการบริหาร
ช่วยให้กลุ่มบุคคลร่วมกันทำงานในองค์กรู่ได้อย่างม
ประสิทธิภาพ
สามารถนำทรัพยากรทั้งคน เงิน และอุปกรณ์มารวมเข้าด้วยกันเพื่อใช่ในการผลิตถ้าหากขาดการบริหาร โดยเฉพาะเรื่องคนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ต่างคนต่างมีเป้าหมายที่แตกต่างกันจะทำให้เกิดความสับสน ยุ่งยาก สิ้นเปลือง ด้อยประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีผู้บริหารหรือผู้นำ
ชวยชี้แนวโน้มความเจริญของสังคม และความเสื่อมของสังคมในอนาคต
การบริหารงานมีลักษณะต้องใช้การวินิจฉันสั่งการเป็นเครื่องมือ แสดงความสามารถของนักบริหาร และความเจริญเติบโตของการบริหาร องค์การจะคงสภาพอยู่หรือมีความเจริญก้าวหน้ หรือถดกอยลงขึ้นอยู่กับคุณภาพข้องการบริหาร
ชีวิตประจำวันของมนุษมีสวนเกี่ยวข้องกับการบริหารอยู่เสมอ ดังนั้นการบริหารจึงเป็นเรื่องที่นำสุนใจและจำเป็นต่อการ
ดำรงชีวิต
เป็นวิธีที่สำคัญที่จะนำสังคมและโลกไปสูความเจริญก้าวหน้า
เป็นเครื่องบ่งชี้ความเจริญก้าวหน้าของสังคม ความเจริญก้าวหนทางวิทยาการ์ในด้านต่าง ๆ ทำให้การบริหารเกิดการเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ความหมายผู้บริหาร
ผู้บริหาร คือ ผู้ที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน และดูแลงานของคนอื่น ๆ ในทีมงาน หรือในแผนกงาน หรือ ในองค์การ รวมทั้งประสานงานกับบุคคลหรือแผนกงานหรือองค์การภายนอกด้วย ทั้งนี้เพื่อให้เป้าหมายของหน่วยงานหรือองค์การบรรลุผลสำเร็จเป็นผู้ที่ใช้บุคคลอื่นในการทำงานหรือใช้ทรัพยากรในองค์การนั้นให้บรรลุวัตกประสงค์หรือเป้าหมายขององค์การโดยก่อให้เกิดการร่วมแรงร่วมใจกันในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ
ปัจจัยการบริหาร
ปัจจัยการบริหารที่สำคัญ คือ - คน (Men)- เงิน (Money)- วัสดุเครื่องมือเครื่องใช้ (Materials)
ปัจจัยการบริหาร
Prof. Peter Drucker- คน (Men)- เงิน (Money)- วัสดุเครื่องมือเครื่องใช้ (Materials)- อำนาจหน้าที (authority)- เวลา(time)
ปัจจัยการบริหาร ระยะหลัง มีผู้สนอว่าปัจจัย5 กี่กล่าวมายังไม่พอควรเพิ่มอีก 2 ปัจจัย- คน (Men)-เงิน (Money)วัสดุเครื่องมือเครื่องใช้(Materials)- อำนาจหน้าที่ (authority)- เวลา (time)- จิตใจในการทำงาน (mind)- อุปกรณ์อำนวยความสะดวก(facilities)
ทฤษฎีการจัดการ
2.กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์
3.กลุ่มทฤษฎีการจัดการเชิงปริมาณ
1.กลุ่มกกุษฎีการจัดการแบบดั้งเดิม
4.กลุ่มทฤษฎีการจัดการปัจจุบัน
หลักการจัดการ 14 ประการ
หลักที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบ(authority & Responsibility)
หลักของการมีผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว (unity of command)
หลักของการมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน (unity of direction)
หลักของการธำรงไว้ซึ่งสายงาน (scalar chain)
หลักของการแบ่งงานกันทำ (division of work orspecialization)
หลักเกี่ยวกับระเบียบวินัย (discipline)
หลักของการถือประโยชน์สวนบุคคลเป็นรองจากประโยชน์ส่วนรวม (subordination of individualto general interest)
หลักของการรวมอำนาจไว้ส่วนกลาง(centralization)
หลักของความมีระเบียบเรียบร้อย (order)
หลักของความเสมอกาด (equity)
หลักของความมีเสถียรภาพของการว่าจ้างทำงาน(stability of tenure)
หลักของความคิดริเริ่ม (initiative)
หลักของความสามัคคี(esprit de corps)
กลุ่มทฤษฎีการจัดการด้านมนุษยสัมพันธ์(Human Relations)
กลุ่มทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่
กลุ่มทฤษฎีการจัดการปัจจุบัน
การจัดการตามหลักการบริหาร (5)
หลักการการจัดการที่สำคัญของFayo 1.การวางแผน (Planning) 2 การจัดองค์กร (Organizing)3การบังคับบัญชา (Command) 4.การประสานงาน (Co-ordination) 5 การควบคุม (Control)
1.กลุ่มทฤษฎีการจัดการแบบดั้งเดิม(Classical Perspective)
แบ่งออกเป็น 3 แบบ1.1 การจัดการแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific management)1.2 การจัดการแบบราชการ (Bureaucratic management)1.3 การจัดการตามหลักการบริหาร (Administrativemanagement)
บทที่4ภาวะผู้นำ ทางการพยาบาล
ความหมาย • ผู้นำ (Leader) หมายถึง ผู้มีความสามารถหรือศิลปะจูง ใจให้ผู้อื่นคิดตามหรือปฏิบัติตาม • ความเป็นผู้นำ (Leadership) หมายถึง กระบวนการ จูงใจให้กลุ่มหรือองค์การปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุ เป้าหมายของกลุ่มหรือองค์การนั้น ๆ
ผู้นำและผู้บริหาร
การที่งานของผู้บริหารต้องเกี่ยวข้องกับการวางแผน การจัดองค์การ การนำและการควบคุม ดังนั้นการน า (Leading) และการจัดการ (Managing) จึงไม่สามารถ แบ่งแยกกันได้ในทางทฤษฏี
ผู้นำและผู้บริหาร
การนำ เป็นส่วนหนึ่งของการบริหาร โดยที่การบริหาร หมายถึง การวางแผน การจัดองค์การ การนำและการ ควบคุมงานของคนอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถมีอิทธิพลในการชักน าและ กระตุ้นบุคลากรให้ทำงานได้แล้ว สิ่งได้วางแผนและจัด องค์การไว้ทั้งหมดก็จะล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น การน าคืองานส่วนหนึ่งของผู้บริหาร
1.Trait Theory ทฤษฎีคุณลักษณะ
ศึกษาจากบุคลิกภาพผู้นำโดยตรง • คุณลักษณะผู้นำไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด สามารถเกิดขึ้นโดยการเรียนรู้และจาก ประสบการณ์ สามารถฝึกฝนได้
2.Behavioral Theory ทฤษฎเีชิงพฤติกรรม
ศึกษาพฤติกรรมผู้นำที่แสดงออก • พยายามหาผู้นำที่มีประสิทธิภาพ ใช้ได้ ทุกสถานการณ์
2.1 การศึกษาผู้น าของมหาวิทยาลัยแห่งโอไฮโอ
2.2 การศึกษาพฤติกรรมผู้นำของ มหาวิทยาลัยมิชิแกน • เพื่อค้นหาหลักการและวิธีการของภาวะผู้นำ
2.3 การศึกษาผู้นำของ มหาวทิยาลยัแห่งไอโอวา
2.4 Managerial Grid of Leadership Theory
3.ทฤษฎีผู้นำเชิง สถานการณ Contingency leadership Theory
The Situational Leadership • ผู้นำจะประสบผลสำเร็จในการนำย่อมขึ้นอยู่กับการ เลือกใช้แบบผู้นำของตนเหมาะสมกับความพร้อมใน การท างานของผตู้าม
3.2 Fiedler’s Contingency Leadership Theory
ภาวะผู้นำตามสถานการณ์ของ Fiedler
• แบ่งผู้นำออกเป็น 2 แบบ –ผู้นำแบบมุ่งงาน (Task-Oriented) –ผู้นำแบบมุ่งสัมพันธ์ (Relationship -Oriented)
ทฤษฎีภาวะผู้นำ เชิงเป้าหมาย หรือ ภาวะผู้นำแบบ แลกเปลยี่น และ ภาวะผู้นำปฏิรูป
เป็นรูปแบบที่อยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้นำ และผู้ตาม โดยผู้นำจะทำให้ผู้ตามรู้ว่าถูกคาดหวังว่าควรจะทำ อะไร เพื่อที่จะได้สิ่งที่ตนต้องการตอบแทน • ผู้นำช่วยกำหนดเป้าหมายการทำงาน เมื่อผู้ตามทำได้สำเร็จก็ จะได้รับรางวัลที่ต้องการจากผู้น า
คุณลกัษณะภำวะผู้นำทางกำรพยำบำล
• 1. มีสติปัญญาและความเชี่ยวชาญ เป็นผู้ใฝ่รู้ รอบรู้มีการพัฒนาตนเองด้านการศึกษา เรียนรู้อยู่ ตลอดเวลา เกิดทักษะการปฏิบัติงานจนเกิดความเชี่ยวชาญในงาน มี การพัฒนางานคุณภาพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในองค์กรวิชาชีพและ เครือข่ายสุขภาพทั้งในและนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง
มีบุคลิกภาพและมีความคิดที่ดี
• 4. มีความสามารถสูง
บทที่ 3 -การบริหารทรัพยากรมนุษย์
-การบริหารพัสดุ
-การพัฒนาองค์กร
-การบริหารทรัพยากรมนุษย์
ความหมาย การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การจัดการที่มี ประสิทธิภาพเกี่ยวกบัคนในการทำงานเพื่อช่วยให้ คนท างานได้ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และพึงพอใจในงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง การใช้ประโยชน์จากบุคคล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
ความหมาย สรุป การบริหารทรัพยากรมนุษย์ หมายถึง กระบวนการจัดการ อย่างมีประสิทธิภาพเกี่ยวกับคนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของทั้ง องค์การและบุคลากร โดยประกอบด้วยกิจกรรมตั้งแต่การวางแผน เข้าสู่องค์การจนกระทั้งสิ้นสุดออกจากองค์การไป
1.การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ (Human resource planning)
คือกระบวนการที่จะทำให้ผู้บริหารแน่ใจว่าจะได้พนักงานใน จำนวนที่เหมาะสม ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม มี ความสามารถในการทำงานที่ได้รับมอบหมาย
2.การสรรหาบุคลากร (Recruitment)
เป็นกระบวนการค้นหาและจูงใจบุคคลที่มีความสามารถให้เข้า มาสมัครงานกับองค์การ
เพื่อให้บุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีทัศนคติที่ดี มีความ เหมาะสมกับตำแหน่งงานและองค์การ สนใจมาสมัครเข้ารับ การคัดเลือก โดยให้มีจ ำนวนมากเพียงพอเพื่อให้องค์การมี โอกาสในการคัดเลือกหรือค้นหาบุคคลที่เหมาะสมกับงานมา ปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ
3.การคัดเลือก (Selection)
เป็นกระบวนการพิจารณาคุณสมบัติ ความรู้ ความสามารถและ ประสบการณ์ของผู้สมัครเพื่อคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมกับงาน ➢ จุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้บุคคลที่ท างานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี คุณสมบัติเหมาะสมกับงาน ➢ ควรกำหนดเกณฑ์ในการคัดเลือกเพื่อเป็นมาตรฐานการคัดเลือก เช่น สภาพร่างกาย อายุ เพศ บุคลิกภาพ ความรู้ ทักษะ เชาว์ ปัญญา วุฒิการศึกษา การได้รับการอบรม เป็นต้น
การปฐมนิเทศ (Orientation)
เป็นการแนะน าบุคคลใหม่ให้รู้จักกับองค์การ สถานที่ปฏิบัติงาน กฎระเบียบการปฏิบัติงาน นโยบาย กลยุทธ์ วิสัยทัศน์ของ องค์การ หัวหน้างานและเพื่อนร่วมงาน ตลอดจน ขนบธรรมเนียมประเพณี และสิ่งแวดล้อมขององค์การ
5.การฝึกอบรมและการพัฒนา (Training and Development)
การฝึกอบรม (Training) การทำให้คนเหมาะสมกับงาน ทั้งความรู้ ทักษะ ทัศนคติ และพฤติกรรม ไปสู่ตำแหน่ง หน้าที่/อาชีพ เพื่อประสิทธิภาพ การทำงานขององค์กร นำมา ซึ่ง “กำไร”
6.การประเมินผลการปฏบิตังิาน (Personal appraisal)
เป็นกระบวนการของการติดตาม วินิจฉัยอย่างเป็นระบบ และมี มาตรฐานแบบเดียวกัน เพื่อเป็นเครื่องมือวัดคุณค่าในการ ปฏิบัติงานของบุคลากรในช่วงเวลาที่กำหนดอย่างเป็นธรรม โดย อาจตีค่าเป็นตัวเลข แล้วนำมาประเมินเปรียบเทียบกับเกณฑ์ว่า อยู่ในระดับใด มีสิ่งใดต้องปรับปรุงแก้ไขหรือไม่
7.เงินเดือนและสิทธิประโยชน์ (Compensation and Benefits)
การพัฒนาการจ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมนับเป็นขั้นตอน สำคัญในกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เพราะ ระบบการจ่ายค่าตอบแทนที่ดีจะดึงดูด จูงใจ และรักษา พนักงานให้ปฏิบัติงานให้บรรลุพันธกิจและเป้าหมายของ องค์การได้
8.การพัฒนาเส้นทางอาชีพ (Career Development)
องค์การควรมีหน้าที่พัฒนาอาชีพ หรือรับผิดชอบในการกำหนด เส้นทางในชีวิตการทำงานให้มีความก้าวหน้าเป็นขั้นตอนโดย - การให้ความรู้ต่าง ๆ โดยจัดให้มีการฝึกอบรม สัมมนา - ให้ข้อมูลที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถและความรับผิดชอบแก่ พนักงานไปเป็นลำดับ - เมื่อพนักงานเห็นโอกาสความเจริญก้าวหน้าในอาชีพจะได้มีขวัญ และก าลังใจ ทุ่มเทงานให้องค์การอย่างเต็มที่
-การบริหารพัสดุ
ความสำคัญ
➢ การบริหารพัสดุเป็นปัจจัยสําคัญประการหนึ่งที่ทําให้การ บริหารงานขององค์การโดยรวมสัมฤทธิ์ผล การบริหารพัสดุที่ดีจะ ช่วยให้พนักงานปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และจะ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารงานขององคการนั้น ๆ ได้
การบริหารพัสดุ ➢ เปนวงจรการบริหารที่มีการดําเนินการหลายขั้นตอน และ ตอเนื่องกันเปนวงจร เริ่มตั้งแตการกําหนดนโยบาย การวางแผน การประมาณความตองการ การจัดหา การแจกจาย การควบคุม การบํารุงรักษา และการจําหนายพัสดุเปนขั้นตอนสุดทาย และ สามารถนําไปใชเปนขอมูลประกอบการพิจารณาเพื่อเริ่มตนวงจร ใหมในการจัดหาพัสดุทดแทน
ความหมาย
•การบริหารพัสดุ หมายถึง การดําเนินการที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการวางแผนการได้มาซึ่งพัสดุ การแจกจ่าย การบํารุงรักษา และการจําหน่ายพัสดุ หรืออาจหมายถึงการจัดการพัสดุให้เกิด ประสิทธิภาพและประหยัด เป็นการดําเนินงานที่มีขอบเขต กว้างขวาง ซึ่งการดําเนินงานของทุกหน่วยงานจะต้องเกี่ยวข้องกับ การบริหารพัสดุ
หลักการจัดหาพัสดุที่ดี 1) มีการวางแผนการจัดหาและดําเนินการตามแผนที่วางไวตลอดจน การมีระบบการติดตามตรวจสอบที่ดี 2) ดําเนินการดวยความโปรงใสเปดเผยเปนธรรมและมีการแขงขัน กันอยางแทจริง 3) ดําเนินการใหไดวัสดุที่ดีมีความคุมคาในการจัดหา เพื่อใหการใช จายเงินเกิดประโยชนสูงสุด4) กําหนดคุณสมบัติเฉพาะและแบบรูปรายการที่ชัดเจนและเปน กลาง สอดคลองกับความตองการในการใชงาน 5) การพิจารณาเปนไปอยางโปรงใสและคํานึงถึงความคุมคาในการ จัดหาพัสดุที่ตองการ 6) การตรวจรับพัสดุหรือตรวจงานจางเปนไปตามขอกําหนดใน สัญญาอยางถูกตองครบถวน และสามารถนําไปใชประโยชนไดทัน ความตองการใชงาน
บทสรุป ➢ หลังจากที่ไดดําเนินการจัดหาพัสดุแลว จะตองมีวิธีการจัดการ พัสดุใหเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และมีการใชประโยชนอยางคุมคา ซึ่งหลักของการควบคมพัสดุ ตามระเบียบฯ จะครอบคลุมถึงการ ควบคุมทางบัญชีหรือทะเบียน การยืม การบํารุงรักษา และการ ตรวจสอบพัสดุ
-การพัฒนาองค์กร
ความหมายของการพฒันาองคก์าร ◼ การพฒันาองคก์าร คือ ความพยายามอย่างมีแผน ท่มี่งุให้เกดิการ เปล่ยีนแปลงวฒันธรรมขององคก์าร เป็นความพยายามท่จีะทา ให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบขององค์การ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็น ทางการ ◼ การพฒันาองคก์าร คือ กระบวนการปรบัปรุงประสทิธภิาพของ องคก์าร โดยใชก้ารวจิยัเชิงแกป้ญัหา ◼ การพฒันาองคก์าร คือ กระบวนการปรบัปรุงองคก์ารใหก้ลบัสู่ สภาวะใหม่ท่เีหมือนเดิมหรอืดีกว่าเดมิ โดยม่งุท่คีวามกลา้ในการ ยอมรบัการเปล่ยีนแปลง เนน้ใหอ้งคก์ารมีความคดิรเิร่มิสรา้งสรรค
สรุป ความหมายของการพฒันาองคก์าร
✓การพฒันาองคก์าร (Organization Development) หรอื OD หมายถงึ ความพยายามอย่างมีแผนและต่อเนื่องเพื่อก่อให้เกดิการ เปล่ยีนแปลงทั่วทั้งระบบ โดยม่งุเนน้การเปล่ยีนแปลงวัฒนธรรมของ องคก์ารเพื่อการเพิ่มประสทิธิภาพและประสทิธิผลขององค์การ
ลักษณะสาคัญของการพฒันาองคก์าร
❖เป็นกระบวนการที่ตอ่เนื่องโดยนำ ความรู้ทางพฤตกิรรมศาสตรมาประยุกตใ์ช้ ❖เป็นยุทธวิธีของการเปลี่ยนแปลงที่ใชค้วามรว่มมือของหมู่คณะ ส่งเสริมการทา งาน ❖เป็นการมุ่งที่จะแก้ปัญหาจริง ๆ ที่เกิดขึ้นในองค์การ จึงอ้งอาศัย ข้อมูลและการวิเคราะหร์ะบบ ❖เป็นกระบวนการที่สรา้งประสบการณโ์ดยเน้นที่จุดมุ่งหมาย
❖เป็นการใช้วิธีการฝึกอบรม ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของพฤตกิรรมที่มี ประสบการณ์ ❖เป็นการสรา้งความสมัพนัธท์ี่ดีระหว่างผู้นำ และสมาชิก เนน้ความ ร่วมมือ หาวิธีการเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมาย ❖ผู้นำ การเปลี่ยนแปลงยอมรับในคุณค่าของสมาชิกทุกคน
วัตถุประสงค์ของการพัฒนาองคก์าร
1.เพื่อสร้างระบบการทำงานในองค์การ ให้สามารถปรับโครงสร้างได้ ตามลักษณะงาน
2.เพื่อสร้างบรรยากาศของการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างเปิดเผย
3.เพื่อเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจและความร่วมมือสนับสนุนระหว่าง บุคคลและระหว่างกลุ่มในองคก์าร
เพื่อสร้างความเป็นเจ้าของร่วมกันต่อวัตถุประสงค์ขององคก์าร
5.เพื่อกระตุ้นให้สมาชิกในองค์การเกิดความพร้อมที่จะเผชิญหน้ากันเพื่อแก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้น
6.เพื่อส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของกระบวนการทำงานกลุ่ม เกิด ความรับผิดชอบของกลุ่มในการวางแผนและปฏบิตัิตามแผนท่ีวางไว้
7.เพื่อพัฒนากลไกการปรับปรุงตนเองขององค์การ และสมาชิกของ องค์การในลักษณะที่ต่อเนื่องตลอดเวลา
หลักเบื้องต้นในการพัฒนาองค์การการเชื่อมโยง (Linking) แนวยทุธศาสตร์การพัฒนาองค์การ
กำหนดเป้าหมาย (Goal Setting) 2. ความเข้าใจในสถานการณ์(Understand Relations) 3. การปรับปรุงสัมพันธภาพ (Improving Relations) 4. การทำงานร่วมกันกับหน่วยงานในสถานการณ์ (Participation
วิธีการในการพัฒนาองค์การ
รูปแบบสามขั้นตอนของ Kurt Lewin ประกอบด้วยการละลาย พฤตกิรรม การเปลี่ยนแปลง และการดำรงพฤติกรรมใหม่
วิธีการของ Larry Greiner กลา่วว่า การเปลี่ยนแปลงตา่ง ๆ มักจะ เกิดจากเหตุที่สำคัญสองประการ คือ แรงบังคับจากภายนอก และแรง บังคับจากภายใน
แนวทางในการพัฒนาองคก์าร
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในองค์การจะมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ 1. การเปลี่ยนแปลงแบบปฏิวัติ (Revolutionary Change) เป็นการเปลี่ยนแปลงผลอย่างฉับพลันทันที 2. การเปลี่ยนแปลงแบบมีวิวัฒันาการ (Evolutionary Change) เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่างชา้ ๆ 3. การเปลี่ยนแปลงแบบวางแผน (Planned Change) เป็นการเปลี่ยนแปลง อย่างเป็นระบบ
ลักษณะองค์การที่มีประสิทธิภาพ
การตัดสินใจอยู่ที่รับรู้ข้อมูล มิใช่ตามลำดับชั้นของความรับผิดชอบ
รูปแบบต้องกำหนดตามวัตถุประสงค์
. 1.ทุกคนทำงานโดยมีเป้าหมายและตามแผนงาน
บทที่ 2 องค์ประกอบและกระบวนการบริหาร
องค์ประกอบของการบริหาร
การบริหารต้องมีองค์ประกอบ 3ประการ ดังนี้
มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่แน่นอนของการบริหารองค์การ (Goa) ผู้บริหารจะต้องมีการกำหนดทิศทางหรือวัตถุประสงค์ของการทำงานไว้ชัดเจน
องค์ประกอบของการบริหาร
ลักษณะของการบริหาร (Management Style)การบริหารเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ผู้บริหารจะต้องนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารให้เกิดประโยชน์สูงสุด
กระบวนการบริหารจัดการ
กระบวนการบริหารจัดการ
เป็นกลไกและตัวประสานที่สำคัญที่สุดในการประมวล ผลักดันและกำกับให้ปัจจัยต่าง ๆ ที่เป็นทรัพยากรการจัดการประเภทต่างๆ สามารถดำเนินไปได้โดยมีประสิทธิภาพ จนบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ
กระบวนการบริหาร POCCC ของ Fayol
การวางแผน (Planning)
1.การวางแผน (planning) หมายถึง การคาดการณ์ล่วงหน้าถึง เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่จะมีผลต่อธุรกิจ และกําหนดขึ้นเป็นแผนการ ปฏิบัติงาน หรือวิธีที่จะปฏิบัติขึ้นไว้เป็นแนวทางการทํางานใน อนาคต
การจัดองค์กร (Organizing)
หมายถึง การจัดให้มีโครงสร้างของงานต่าง ๆ และอํานาจหน้าที่ ให้อยู่ในส่วนประกอบที่เหมาะสมที่จะช่วยให้งานขององค์การ บรรลุผลสําเร็จได
การบังคับบัญชา (Command)
หมายถึง การสั่งงานต่าง ๆ แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ต้องเข้าใจผู้ปฏิบัติงานรวมถึงต้องมีการ ติดต่อสื่อสารภายในองค์การด้วย
4.การประสานงาน (Co-ordination)
หมายถึง การเชื่อมโยงงานของทุกคนให้เข้ากันและมุ่งสู่เป้าหมาย เดียวกัน
การควบคุม (Control)
หมายถึง การที่จะต้องกํากับให้สามารถ ประกันได้กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทําไปนั้น สามารถเข้ากันได้กับแผนที่วางไว้
ลักษณะทั่วไปของการบริหาร
ลักษณะทั่วไปของการบริหาร การนำกระบวนการบริหารโดยอาศัยปัจจัยต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการบริหารงานมาใช้กับระบบการบริหาร เพื่อให้เกิดกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
กระบวนการบริหาร (POSDCoRB) Luther Gulilck และ Lyndall Urwick
การจัดคนงาน ( Staffing )
การบริหารจัดการบุคลากรนั้นเริ่มตั้งแต่การคัดสรรบุคลากรที่มี คุณภาพและเหมาะสมเพื่อจัดสรรให้ทํางานในตําแหน่งต่าง ๆ ของ องค์กร จากนั้นก็ต้องดูแลบุคลากรตลอดระยะเวลาจนกว่าบุคลากร จะออกจากองค์กร ตั้งแต่การบริหารงานบุคคล งานสวัสดิการ การ พัฒนาทรัพยากรบุคคล การเลื่อนตําแหน่ง โยกย้าย เป็นต้น
การวางแผนงาน (Planning)
หมายถึง การทํางานโดยกําหนดกลวิธี และขั้นตอนในการปฏิบัติงานอยางเป็น ระบบก่อนลงมือทํา
การอํานวยการ ( Directing )
คือ บริหารจัดการตลอดจนดําเนินการทุกอย่างให้ปฏิบัติการได้อย่างราบรื่น จนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ รวมทั้งเรื่องของทรัพยากรมนุษย์และทรพัยากร อื่นๆ ไปพร้อมกันด้วย ให้สามารถทํางานร่วมกันได้ ตลอดจนอํานวยความ สะดวกในการทํางาน หมายถึง การสั่งการ และการจูงใจให้ทุกฝ่ายทํางานร่วมกันอย่างเต็มใจ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การ ตลอดจนการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่จะ เกิดขึ้นด้วย ซึ่งหนึ่งในหัวใจสําคัญของการอํานวยการก็คือการสื่อสารให้มี ประสิทธิภาพด้วยนั่นเอง
การประสานงาน ( Coordinating )
การควบคุมนี้นอกจากการสั่งการ กําหนดการ บังคับการแล้ว ก็ยัง รวมถึงการ แนะนํา ช่วยเหลือ รายงานผล ตลอดจนประเมินผล การทํางานอย่างสม่ําเสมอเพื่อติดตามการทํางานทุกกระบวนการ ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ด้วย
รายงาน ( Reporting )
การเงินหรืองบประมาณ ( Budgeting)
2.การจัดองค์การ organization
หมายถึง การที่บุคคลมาอยู่และปฏิบัติงานร่วมกัน โดยมีการแบ่ง หน้าที่ความรับผิดชอบหรือแบ่งงานกันตามความถนัด เพื่อให้ บรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้
สรุป กระบวนการบริหารจัดการที่ประกอบด้วยหน้าที่หลักนี้ เป็น ภาระหน้าที่ที่สําคัญของผูู้บริหารพึงต้องปฏิบัติ โดยที่กระบวนการ บริหารจัดการ จะเกี่ยวข้องสัมพันธ ซึ่งกันและกันตลอดเวลา ซึ่ง ผู้บริหารจะเป็นบุคคลที่ทําหน้าที่ในกระบวนการบริหารจัดการ ทรัพยากรขององค์การ