Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด (นางสาวสุพรรษา…
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด
(นางสาวสุพรรษา กาญจนะเลขที่59ห้องB)
Bonding (ความผูกพัน)
หมายถึง กระบวนการผูกพันทางอารมณ์ที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู มีต่อทารกฝ่ายเดียว เกิดขึ้นตั้งแต่วางแผนตั้งครรภ์ ทราบว่าตั้งครรภ์หรือเกิดขึ้นชัดเจนเมื่อรับรู้ว่าลูกดิ้นและเพิ่มสูงสุดเมื่ดทารกคลอดออกมา
Attachment Attachment (สัมพันธาภาพ)
หมายถึง ความรู้สึกรักใคร่ผูกพันระหว่างทารกกับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นพิเศษและคงอยู่ถาวร จะเกิดขึ้น ทีละเล็กละน้อยจากความใกล้ชิด ห่วงใย อาทร เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความผูกพันทางใจ จะใช้เวลาในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
การพัฒนาสัมพันธภาพในระยะหลังคลอด
ในระยะแรกหลังคลอดทันที มารดาจะแสดงความรักความผูกพันกับลูก ตั้งแต่นาทีแรกหลังคลอดจนกระทั่งถึง 1 ชั่วโมงแรกหลัง
คลอด เป็นช่วงเวลาที่มารดามีความรู้สึกไวที่สุด (Sensitive periodSensitive period และทารกมีความตื่นตัว จึงเป็นช่วงเวลาสาคัญที่ก่อให้เกิดความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดาทารก
กระบวนการพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
ระยะตั้งครรภ์
ขั้นที่ 3การยอมรับการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 4การรับรู้การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
ขั้นที่ 2การยืนยันการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 5การยอมรับว่าทารกในครรภ์เป็นบุคคลคนหนึ่ง
ระยะคลอดและระยะหลังคลอด
ขั้นที่ 7การมองดูทารก
ขั้นที่ 8การสัมผัสทารก
ขั้นที่ 6การสนใจดูแลสุขภาพตนเองและทารกในครรภ์และการแสวงหาการคลอดที่ปลดดภัย
ขั้นที่ 9การดูแลทารกและให้ทารกดูดนม
ระยะก่อนการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 1การวางแผนการตั้งครรภ์
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารกในระยะแรกเกิด
1.การสัมผัส (Touch ,Tactile sense ) พฤติกรรมสำคัญที่จะผูกพันมารดาและบุตร คืด ความสนใจของมารดาในการสัมผัสบุตร โดยจะเริ่มสัมผัสบุตรด้วยการใช้นิ้วสัมผัสแขนขา จากนั้นจะบีบนวดสัมผัสตามลำตัว ทารกจะมีการจับมืดและดึงผมมารดาเป็นการตอบสนอง
2.การประสานสายตา (Eye to eye contact ) เป็นสื่อที่สำคัญ
ต่อการเริ่มต้นพัฒนาการด้านความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มารดาจะรู้สึกผูกพันใกล้ชิดมากขึ้นเมื่อทารกลืมตาและสบตาตนเอง
การใช้เสียง (Voice ) การตอบสนองเริ่มทันทีที่ทารกเกิด มารดาจะรอฟังเสียงทารกร้องครั้งแรก เพื่อยืนยันภาวะสุขภาพของทารก และทารกแรกเกิดจะตอบสนองต่อระดับเสียงสูง (High pitch voice ) ได้ดีกว่าเสียงต่า (Deep loud voice )
การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะตามเสียงพูด (Entrainment )
ทารกจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายเป็นจังหวะสัมพันธ์กับเสียงพูดสูงต่ำของมารดา เช่น ขยับแขน ขา ยิ้ม หัวเราะ
การให้ภูมิคุ้มกันทางเดินหายใจ (Bacteria nasal flora ) ขณะที่มารดาอุ้ม โดบกอดทารก จะมีการถ่ายทอดเชื้ดโรคในระบบทางเดินหายใจ (normal flora ) ของมารดาสู่ทารก เกิดภูมิคุ้มกันช่วยป้องกันทารกติดเชื้ดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
การให้ภูมิคุ้มกันทางน้ำนม (T and B and Blymphocyte lymphocyte ) ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันในนมแม่ ได้แก่T lymphocyte, B lymphocyte และImmunoglobulin A ช่วยป้องกันและทำลายเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร
จังหวะชีวภาพ (Biorhythmcity ) หลังคลอดทารกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่แตกต่างจากในครรภ์ของมารดา มารดาจะช่วยทารกให้สร้างจังหวะชีวภาพได้โดยขณะที่ทารกร้องไห้ มารดาอุ้มทารกไว้แนบอก ทารกจะรับรู้เสียงการเต้นของหัวใจมารดา ซึ่งทารกจะคุ้นเคยตั้งแต่ในครรภ์ ทาให้ทารกมีความรู้สึกมั่นคงยิ่งขึ้น
การรับกลิ่น (Odor ) มารดาจากลิ่นกายของทารกได้ตั้งแต่แรกคลอด และแยกกลิ่นทารกออกจากทารกอื่นได้ภายใน
3-4 วันหลังคลดด ส่วนทารกสามารถแยกกลิ่นมารดาและหันเข้าหากลิ่นน้ำนมมารดาได้ภายในเวลา 6 – 10วันหลังคลอด
การให้ความอบอุ่น (Body warmth หรือ Heat ) มีการศึกษาพบว่า หลังทารกคลอดทันที ได้รับการ เช็ดตัวให้แห้ง ห่อตัวทารกและนำทารกให้มารดาโดบกอดทันที ทารกจะไม่เกิดการสูญเสียความร้อน และทารกจะเกิดความผ่อนคลายเมื่ดได้รับความอบอุ่นจากมารดา
บทบาทของพยาบาลผดุงครรภ์ในการส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
ระยะคลอด
ให้ข้อมูล เป็นสื่อกลางระหว่างผู้คลอดและครอบครัว
ส่งเสริมให้การคลอดผ่านไปดย่างปลอดภัย
ลดความวิตกกังวลของผู้คลอด
สร้างบรรยากาศให้เกิดความไว้วางใจ
ระยะตั้งครรภ์
ยอมรับการตั้งครรภ์
ครอบครัวคอยให้กำลังใจ
การปรับบทบาทการเป็นบิดามารดา
ยอมรับความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์
การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
ระยะหลังคลอด
*Rooming in โดยเร็วที่สุด
ให้คำแนะนำในการดูแลบุตร
ส่งเสริมให้มารดาสัมผัสโดบกอดทารกทันทีหลังคลอด ในระยะ sensitive period
ตอบสนองความต้องการของมารดา
เป็นตัวแบบในการสร้างสัมพันธภาพกับทารก
กระตุ้นให้มีปฏิสัมพันธ์กับทารก
ให้มารดา ทารก บิดา ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง