Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่1 การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, นางสาวจิราวรรณ บุญเต็ม…
บทที่1 การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
เด็ก
คนที่มีอายยุงันอ้ย
(กฎ) ผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ซึ่งอายุไม่ครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์ และยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
บุคคลอายุเกิน ๗ ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่เกิน ๑๔ ปีบริบูรณ์
บุคคลที่มีอายุแต่ ๑๕ ปีลงมา
บุคคลผู้มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบูรณ์.
ว. ยังเล็ก อ่อนวัย
ความหมายด้านสุขภาพ
หมายถึงบุคคลตั้งแต่แรกเกิด ถึง 15 ปี
ช่วงวัยของเด็ก แบ่งตามระยะพัฒนาการ
Newborn ทารกแรกเกิด 28 วันหลังคลอด
Infant ทารกอายุมากว่า 28 วันถึง 1 ปี
Toddler เด็กวัยเดิน อายุ 1-3 ปี
Preschool age เด็กวัยก่อนเรียน 3-5 ปี
School age เด็กวัยเรียน 6-12 ปี
Aldolescent วัยรุ่น 13-15 ปี
สิทธิเด็ก (Convention on the Right of the Child)
สิทธิในการมีชีวิต คือ สิทธิของเด็กที่คลอดออกมาแล้วจะต้องมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัยอนุสัญญาฯ
สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง เป็น สิทธิที่เด็กได้รับปกป้องคุ้มครองจากการทารุณกรรมทุก รูปแบบ เช่น การทารุณกรรมทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศ ซึ่งรวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบต่าง
สิทธิในด้านพัฒนาการ เด็ก ทุกคนจะได้รับสิทธิให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับ พัฒนาการ ร่างกาย จิตใจ สังคม รวมถึงความพึงพอใจและความสุข
สิทธิในการมีส่วนร่วม เป็นสิทธิที่ให้ความส าคัญกับการแสดงออกทั้งในด้านความคิดและการ กระท าของเด็ก ในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่อาศัยอยู่ รวมทั้งสิทธิในการปกป้องเรยีกร้อง
ระยะของการเจ็บป่วย
ระยะเฉียบพลัน (Acute) ฉับพลัน หมายถึง ในทันทีทันใดเฉียบพลัน หมายถึง รุนแรงมาก ใช้ในวงการแพทย์
ระยะเรื้อรัง (Chronic) เป็นระยะที่รักษาไม่หายขาด บุคคลต้องต่อสู้กับ โรคตลอดชีวิต ต้องเผชิญกับความเครยีดเป็นเวลานาน
ระยะวิกฤต (Crisis) เป็นระยะที่มีโอกาสเสียชวีิตได้อย่างรวดเรว็การ ดูแลเน้นการรักษา ดูแลประคับประคองทงั้ร่างกายจิตใจ
ระยะสุดท้าย / ใกล้ตาย (Death / Dying) เป็นระยะที่ไดร้ับการ วินิจฉัยการเจ็บป่วยถึงขั้นสูญเสียชีวิต ภายใต้การรักษาด้วยยา การดูแล อย่างใกล้ชิด
ความเข้าใจของเด็กเกยี่วกบัความตาย
วัยแรกเกิดและวัยทารก
อายุ < 6 เดือน ไม่เข้าใจความหมาย ไม่มีความหมายอายุ > 6 เดือน ผูกพันกับผู้เลยี้งดู รู้สึกแยกจาก
มีปฏิกิริยาด้วยการตอบสนองของ physiological reflex เพื่อต่อสู้ให้ตนเองมีชีวิตรอด
ทารกจะเชื่อมโยงกับคนรอบขา้งโดยผ่านทางการสมัผัส กลิ่น เสียง จะ ร้องเมื่อหิว เจ็บ
ว้ยเดินและวยัก่อนเรียน
ด้วยข้อจ ากัดของวัย คิดว่าตายแล้วสามารถกลับคืนมาได้(Reversible) เหมือนการไปเที่ยวชั่วคราว
ความตายเปรียบเหมือนการนอนหลับ ท าให้เด็กบางคนกลัวการนอน กลัวว่าหลับแล้วอาจจะตายแล้วไม่ตื่นอีกเลย
เด็กวัยนี้บางคนอาจเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตเกือบ สมบูรณ์
วัยเรียน
เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ตนเองอาจจะมีชีวิต เติบโต หรือตายจากไป
สามารถจินตนาการเรื่องความตาย และเข้าใจได้ว่าตัวเองก็อาจจะตาย ในวันหนึ่ง
สามารถเข้าใจเรื่องโรค การวินิจฉัย และการพยากรณโ์รคได้
กลัวการสูญเสียตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก
วัยรุ่น
เป็นวัยที่มีความเป็นส่วนตัว เป็นตัวของตัวเองมาก ต้องการจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นและ เกี่ยวข้องกับตัวเองด้วยตัวเอง
เป็นวัยที่ยังมองความตายเป็นเรื่องที่ไกลตนเอง ยอมรับความตายของตนเองยาก ที่สุดเหมือนการลงโทษ
ผลกระทบของความเจ็บป่วยของเด็ก
วัยทารก การเจ็บป่วยทำให้เด็กรู้สึกไม่สุขสบาย ส่งผลต่อความ ต้องการทั่วไปของทารก
วัยเดิน เป็นวัยที่อิสระ อยากรู้อยากเห็น และยังไม่เคยแยกจากบิดา มารดา หรือผู้เลี้ยงดู การเจ็บป่วยเฉียบพลัน เรื้อรังอาจทำให้ต้องพราก จากบิดามารดาซ้ำแล้วซ้ำอีก
วัยก่อนเรียน เด็กวัยนี้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อย่างมุ่งหวังทจี่ะ ประสบผลสำเร็จในงานบางอย่าง เด็กที่ป่วยบ่อยหรือเจ็บป่วยเรอ้ืรังจะมีความยากลำบากในการเรียนรู้
วัยเรียน เด็กวัยนี้จะเป็นวัยที่มุ่งมั่นต่อผลสำเร็จมีการสังคมนอกบ้าน ในกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน เด็กที่เจ็บป่วยโดยเฉพาะการเจ็บป่วยเรอื้รังทำ
วัยรุ่น มีการค้นหาเอกลักษณค์วามเป็นตัวของตัวเอง มีความเป็น อิสระเด็กที่เจ็บป่วยบ่อย จะมีผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นในตนเอง ภาพลักษณ์ บุคลลิกภาพ
ปฏิกิริยาของเด็กต่อการเจ็บป่วย
ความวิตกกังวลจากการแยกจาก (separation anxiety)
ความเจ็บปวดทางกายเนื่องจากการตรวจรกัษา (body injury and pain)
ความเครียดและการปรบัตัวของเด็กและครอบครัว
การเปลี่ยนแปลงภาพลกัษณ์ (body image)
ความตาย
การพยาบาลเด็กแต่ละระยะของการเจ็บป่วย
การพยาบาลเด็กระยะเฉียบพลันและระยะวิกฤติ
Separation anxiety
Pain management
Critical care concept
Stress and coping
การพยาบาลเด็กระยะเรื้อรังและระยะสุดท้าย
Body image
Death and dying
Separation anxiety
ระยะประท้วง (protest)
เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรงมาก
ร้องตลอดเวลา จะหยุดร้องเฉพาะเวลานอนเท่านั้น
เด็กพยายามที่จะให้มารดาอยู่ด้วย การร้องไห้ประท้วงรุนแรงมากขึ้นเมื่อมารดาจะจากไป
เด็กจะปฏิเสธทุก อย่าง ไม่ยอมร่วมมือในการรักษา ไม่ยอมกิน
ระยะสิ้นหวัง(despair)
ความสิ้นหวังแสดงออกโดย อาการโศกเศร้า เสียใจอย่างลึกซึ้ง
ร้องไห้น้อยลง เสียงครางโยเย ท่าทางอ่อนเพลีย อิดโรยอย่างน่าสงสาร
มีพฤติกรรมที่ถดถอย (regression) นอกจากนี้ เด็กอาจจะดึงผม ข่วนหน้าตัวเอง
ระยะปฏิเสธ(denial)
ถ้าเด็กป่วยต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานวัน และได้รับการพยาบาลจากพยาบาล
ระยะนี้เด็กจะหนักลับมาสนใจ สิ่งแวดล้อมรอบตัว เหมือนกับว่าเด็กปรับตัวได้
แต่เด็กเพียงเก็บกด ความรู้สึกที่มีต่อมารดาไว้
ปฏิกิริยาของบิดามารดาต่อการเจ็บป่วยของเด็ก
การปฏิเสธ และไม่เชื่อ ในระยะแรก
ความรู้สึกโกรธและโทษตัวเอง เมื่อรู้แน่ชัดว่าเด็กป่วยจริง
ความรู้สึกกลัว และวิตกกังวล มักจะมีความสัมพันธ์กับอาการรุนแรง ของโรคที่เด็ก
ความรู้สึกหงุดหงิด คับข้องใจ และการขาดอำนาจต่อรอง
ความรู้สึกเศร้า
Preparation for Hospitalization and Medical Procedures
Preparing Infants
Separation from parents
Having many different caregivers
Seeing strange sights, sounds, smells
New, different routines
Interrupted sleep
Day and night confusion
Preparing Infants
Keep routines
Bring favorite security item
Let nursing staff know about baby’s schedule
Parents remain calm
Distract, rock, comfort
Preparing Toddlers/Preschoolers
Being left alone
Having to stay in strange bed/room
Loss of comforts of home, family
Being in contact with unfamiliar people
Painful procedures – Medical equipment
Preparing School Age
Being away from school/friends
Thinking he/she is in hospital because he/she is being punished
Loss of control
Pain
Needles/shots
Dying during surgery
Preparing Teenager
Loss of control
Being away from school/friends
Having a part of his/her body damaged or changed in appearance
Fear of surgery and risks
Pain
Dying during surgery
Fear of the unknown
แนวคิดและหลักการพยาบาลใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
องค์ประกอบที่สำคัญ
การตระหนักและการเคารพ (Respect) เคารพและยอมรับในความ แตกตางทางวัฒนธรรม ความเป็นบุคคล ค่านิยม
การร่วมมือ (Collaboration)
การสนับสนุน (Support)
หลักการ
เคารพและตระหนกัว่าครอบครัวคือส่วนคงทใี่นชีวิตเด็ก ในขณะที่ บุคลากรด้านสขุภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของสมาชิกในครอบครัว และ ช่วยเหลือ ครอบครัวในการตัดสินใจในการดูแลเด็ก
ให้ความสำคัญกับสิ่งทคี่รอบครัวกังวลหรือเห็นว่าสำคัญ
สนับสนุนครอบครัวใหท้ าหน้าที่ผู้ดูแลเด็กขณะเจ็บป่วยใน โรงพยาบาล
ร่วมกับครอบครัวในการค้นหาทางเลือกต่างๆ ในการดูแลต่างๆ
2.สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบดิามารดากับทมีสุขภาพในทุก ระดับของการบริการดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
มีการสื่อสารในทางที่ดี เปิดเผย และต่อเนื่อง
ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และให้ความไว้วางใจ
สื่อสารท าความเข้าใจถึงบทบาท และความคาดหวังของกันและกัน
วางแผนการดูแลรักษา และตัดสินใจร่วมกัน
3.มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและสมบูรณ์แก่ บิดามารดาอย่างต่อเนื่อง และไม่ลำเอียงด้วยท่าทีที่เหมาะสม ในลกัษณะของการสนับสนุน
อธิบายคา ศพัทท์างการแพทยใ์หค้รอบครัวใหเ้ขา้ใจ
ให้ข้อมูลบิดามารดาทั้งทางวาจาและลายลักษณ์อักษร
อธิบายเป้าหมายและเหตุผลของการพยาบาล
ตอบขอ้สงสยัของบิดามารดา
เขา้ใจและผสานความตอ้งการตามระยะพฒันาการ ของ บุคคลและ ครอบครัวเขา้ในระบบบริการสุขภาพ
ลงมือปฏิบัติสนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาทางด้าน อารมณ์และเศรษฐกิจ เช่น ส่งปรึกษา สงคมสงเคราะห์เรื่องเงิน ส่งหน่วย ปรึกษาเมื่อเกิดปัญหา การปรับตัวหรือความคับข้องใจ
ยอมรับว่าครอบครัวมีจุดแข็ง และมีลักษณะเฉพาะ รวมทั้ง เคารพวิธีการเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน
ประเมินจุดแข็ง และมีวิธีการเผชิญปัญหาของครอบครัว
เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของครอบครัว ค่านิยม ความ เชื่อและการ ตดัสินใจของครอบครัว
เสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) ของ ครอบครัว โดย เริ่มจากจุดแข็งที่ครอบครัวมีอยู่
เคารพยอมรับในความหลากหลายของเชื้อชาติวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ และสังคม เศรษฐกิจของ ครอบครัว
กระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครอง
ให้คุณค่า ความสำคัญของการช่วยเหลือระหว่าง ครอบครัว
สนับสนุนความร่วมมือของเครือข่ายระหว่างกลุ่มแพทย์และเครือข่าย ผู้ปกครอง
ส่งต่อครอบครัวไปยังเครือข่ายผู้ปกครอง
จัดบริการให้มีความความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และ ตอบสนอง ความต้องการของครอบครัว
จัดหาวิธีการและทางเลือกของการรักษาให้กับบิดามารดา
สนับสนุน/กระตุ้นให้เกิดการดูแลแบบสหสาขา เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ สำคัญเกี่ยวกับการดูแลเด็กกับวิชาชีพอื่น
Pain assessment
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงด้านสรรีวิทยา
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
การประเมินความเจ็บปวดด้วยตนเอง
เครื่องมือที่ใช้ประเมินpainในเด็ก
ความรุนแรงของความปวด
ตำแหน่งที่ปวด
รูปแบบ ระยะเวลาความเจ็บปวด :เจ็บตลอดเวลา เป็นๆหายๆ
ลักษณะการเจ็บปวด: เจ็บ ปวด แสบ ปวดแสบ ปวดร้อน
ผลกระทบต่อความปวด :หงุดหงิด ก้าวร้าว นอนไม่หลับ
ปัจจัยที่ท าให้ปวดมากขึ้น ลดลง
CRIES Pain Scale
Neonatal Infants Pain Scale (NIPS)
CHEOPS (Children’s Hospital of Eastern Ontario Pain Scale )
FLACC Scale (Face ; Legs ; Activity ; Cry ; Consolability Scale) •
Faces scale
Numeric rating scales
หลกัการประเมินความปวด
ประเมินก่อนให้การพยาบาล เพื่อเป็นสมมติฐาน และหลังให้การพยาบาล เพื่อประเมินผล
ควรประเมินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยประเมินทั้งขณะพักและขณะทำกิจกรรม
เลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และควรใช้วิธีเดียวกันตลอดการให้การพยาบาลนั้นๆ
เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีการรับรู้บกพร่อง หรือไม่สามารถสื่อสารได้ ควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจาก การประเมินอาจได้ข้อมูลไม่ครอบคลุมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด
มีการบันทึกเป็นหลักฐาน
หลีกเลี่ยงคำถามนำอันเป็นเหตุให้บดบังข้อเท็จจริง หรือคำถามที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์เศร้า เสียใจ
บทบาทของพยาบาลกับการประเมินความปวด
สร้างสัมพันธภาพที่ดี ใช้คำพูดสุภาพ เข้าใจงา่ย
ให้ความสนใจโดยเป็นผู้ฟังที่ดีและเชื่อในคำบอกเล่าของผู้ป่วย
ระหว่างการประเมินควรบันทกึพฤติกรรม แนวคิด สภาพอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพของผู้ป่วย เพื่อเป็นข้อมูล
ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถตอบข้อซักถามได้ อาจใช้วิธีสัมภาษณ์จากคนดูแล ใกล้ชิด ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจถามจากบิดา มารดา หรือสังเกตพฤติกรรม และผลกระทบที่เกิดจากความปวด
นางสาวจิราวรรณ บุญเต็ม เลขที่ 23 รุ่น36/1 612001024