Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การดูแลเด็กเมื่อรับการรักษาในโรงพยาบาล, นายสุทธิพงษ์ สีแสนตอ 36/2 เลขที่…
การดูแลเด็กเมื่อรับการรักษาในโรงพยาบาล
ความหมายของเด็ก
พจนานุกรมแปลไทย-ไทย
คนที่อยายุน้อย
ตามกฎหมทยแพ่งและพาณิชย์อายุไม่ครบ 18 ปี บริบูรณ์
อายุเกิน 7 ปีบริบูรณ์แต่ไม่เกิน 14 ปีบริบูรณ์
ด้านสุขภาพ
ช่วงวัยตามระยะพัฒนาการ
ตั้งแต่แรกเกิดถึง 15 ปี
Newborn แรกเกิด 28 วันหลังคลอด
Infant อายุมากกว่า 28 วันถคง 1 ปี
Toddler เด็กวัยเดิน อายุ 1-3 ปี
Preschool age เด็กวัยก่อนเรียน 3-5 ปี
School age เด็กวัยเรียน 6-12 ปี
Aldolescent วัยรุ่น 13-15 ปี
สิทธิเด็ก Convention on the Right of the Child
วันที่ 20 พ.ย. ของทุกปี
ลงนามตั้งแต่วันที่ 12 ก.พ. 2535
4 ด้าน
สิทธิในการมีชีวิต
สิทธิที่คลอดออกมาแล้วจะต้องอยู่รอดปลอดภัย มีสิทธิติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
สิทธิที่เด็กได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการถูกทำร้าย ด้ายร่างกาย จิตใจ ทางเพศ
สิทธิด้านพัฒนาการ
เด็กทุกคนได้รับสิทธิให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ร่างกาย จิตใจ สังคม และความพึงพอใจความสุข การมีส่วนร่วมต่างๆเช่นกิจกรรมในโรงเรียน
และที่สำคัญต้องได้รับการศึกษาพื้นฐาน 12 ปี
สิทธิการมีส่วนร่วม
เป็นสิทธิที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกทั้งในด้านความคิดและการกระทำของเด็กในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่อาศัย
ระยะของการเจ็บป่วย
ระยะเฉียบพลัน(Acute)
ทันทีทันใด ไม่เคยมีอาการใดมาก่อน
ระยะเรื้อรัง (Chonic)
ระยะที่หายไม่ขาด ต้องเจอความเครียดเป็นเวลานาน
ระยะวิกฤต (Crisis)
เป็นระยะที่มีโอดาสเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว การดูแลเน้นการรักษา
ระยะสุดท้าย/ใกล้ตาย(death/dying)
เป็นระยะที่ได้รับการวินิจฉัยการ้จ็บป่วยถึงขั้นสูญเสียชีวิต
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเด็ก
ประเภท 0 ตอบแบบไม่เข้าใจ
ระดับความคิดความเข้าใจก่อนขั้นปฏิกิริยา (อายุ 18 เดือน-7 ปี) มี 2 ประเภท
ประเภท 1
ตอบตามประกฎการณ์
ประเภท 2
สาเหตุสัมพันธ์กับวัตถุ หรือบุคคลที่อยู่ใกล้ๆ
ระดับความคิดเข้าใจขั้นปฏิบัติการด้วยรูปธรรม(อายุ 7-11 ปี) มี 2 ประเภท
ประเภท 3
การปนเปื้อน
ประเภท 4
ภายในร่างกาย
ระดับปฏิบัติการด้วยนามธรรม(อายุ 11-12 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่) มี 2 ประเภท
ประเภท 5
ความเจ็บป่วยเกิดจากอวัยวะในร่างกายทำงานไม่ดีหรือไม่ทำงาน
ประเภท 6
เข้าใจถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยที่พัฒนาถึงขั้นสุด
ความเข้าใจของเด็กเกี่ยวกับความตาย
วัยแรกเกิดและวัยทารก
อายุ <6 เดือน ไม่เข้าใจความหมาย ไม่มีความหมาย อายุ>6 เดือา ผูกพันกับคนเลี้ยง รู้สึกแยกจาก
มีการตอบสนองของ Pphysiological reflex เพื่อให้ต่อสู้อยู่รอด
จะเชื่อมโยงกับสิ่งรอบข้างผ่านทางสัมผัส กลิ่น เสียง เวลาหิวจะร้อง เจ็บจากการไม่สุขสบาย
วัยเดินและวัยก่อนเรียน
คิดว่าตายแล้วสามารถกลับคืนมาได้ เหมือนการไปเที่ยวชั่วคราว
ความตายเกมือนการนอนหลับ ทำให้เด็กบางคนกลัวการนอนกลัวว่าหลับแล้วไม่ตื่น
บางคนอาจจะเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตเกือบสมบูรณ์
วัยเรียน
เข้าใจตัวเองมากขึ้น มองความตายว่าเป็นสิ่งที่ตายแล้วไม่คืนชีพ เข้าใจเวลามากขึ้น อดีต ปัจจุบัน อนาคต
จินตนาการเรื่องของความตายได้เข้าใจและเห็นภาพว่าสักวันเราต้องตาย
กลัวการเสียคนที่รัก
สนใจพวกงานศพ
เข้าใจเรื่องการเจ็บป่วย โรคต่างๆ
วัยรุ่น
วัยนี้จะมีความเป็นส่วนตัวสูง จัดการทุกๆอย่างได้ตัวเอง ไม่ชอบอยู่ใรกรอบ ข้อบังคับ
ยังมองเรื่องของการตายเป็นเรื่องไกลตัว เวลาทำผิดจะรู้สึกผิด และแสดงให้พ่อแม่เห็นต้องการกำลังใจนนากคนในครอบครัว
เด็กป่วยกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
อาจจะส่งผลทำให้เกิดความเครียดและต้องมีการปรับตัว จะขึ้นอยู่กับ
1.พัฒนาการตามวัยของเด็ก
2.ประสบการณ์เดิมที่เจ็บป่วยครั้งก่อน
3.ความสามารถในการปรับตัวต่อความเครียด
4.ความรุนแรงของการเจ็บป่วย
5.ระบบการดูแลและการช่วยเหลือเด็ก
ผลกระทบของความเจ็บป่วยของเด็กแต่ละช่วงวัย
วัยทารก
การเจ็บป่วยทำให้เด็กรู้สึกไม่สุขสบาย เช่น กินน้อยลง และพิการทางกาามองเห็นทำให้มีผลต่อความผูกพันธ์ของมารดาและทารก ทำให้เด็กไม่มีโอกาสเลี้ยงดูจะส่งผลต่อการพัฒนาการของเด็ก
วัยเดิน
วัยอิสระ อยากรู้อยากเห็น และยังไม่เคยแยกจากพ่อกับแม่ การเจ็บป่วยอาจจะทำให้ต้องพลากจากพ่อแม่ ทำให้คิดว่า พ่อแม่ทิ้งไปเพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผล
วัยก่อนเรียน
เริ่มมีความคิดสร้างสรรค์มุ่งจะทำให้ประสบความสำเร็จบางอย่าง เวลาป่วยหรือมานอนโรงพยาบาลบ่อยๆจะคิดว่าเป็นการถูกลงโทษเนื่องจากตนเองคิดว่าทำสิ่งที่ไม่ดี
วัยเรียน
วัยนี้จะมุ่งมั่นต่อความสำเร็จ มีสังคมนอกบ้านกลุ่มเพื่อนที่โรงเรียน ถ้าเจ็บป่วยเรื้อรัง ทำให้เขาไม่ได้ทำกิจกรรมหลายๆอย่างๆรู้สึกเหมือนตัวเองมีปม และไม่ถูกการยอมรับจากกลุ่มเพือน
วัยรุ่น
ค้นหาเอกลักษณ์ความเป็นตัวเองมากขึ้น ถ้าเจ็บป่วยบ่อยจะมีความเชื่อมั่นในตนเองลดลง ภาพลักษณ์ บุคคลิกภาพ
ปฏิกิริยาของเด็กต่อการเจ็บป่วย
ความวิตกกังวงจากกาาแยกจาก
การเจ็บปาวยทางกายเนื่องจากการรักษา
ความเครียดต่อการปรับตัวและการสูญเสีย
การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์
ความตาย
Separation anxiety
ระยะประท้วง (protest)
เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรง ร้องตลอดเวลาจะหยุดร้องเฉพาะเวลานอนเท่านั้น เด็กพยายามที่จะให้มารดาอยู่ด้วย เด็กจะปฏิเสธทุกอย่าง ไม่ยอมร่วมมือในการรักษา
ระยะสิ้นหวัง (despair)
ความสิ้นหวังแสดงออกโดย อาการโศกเศร้า เสียใจอย่างลึกซึ้ง แยกตัวอยู่เงียบๆ ร้องไห้น้อยลง อาจจะมีพฤติกรรมที่ถดถอย เด็กอาจจะดึงผม ข่วมหน้าตัวเอง
ระยะปฏิเสธ (denial)
เด็กป่วยเป็นเวลานาน ระยะนี้เด็กจะมาหันกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เหมือนกับการปรับตัว แต่เก็บกด เด็กแสดงท่าทางราวกับว่าไม่เดือดร้อนไม่ว่ามารดาจะมาหรือจะไป
แนวคิดและหลักการพยาบาลใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
2.สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพในทุกระดับของการบริกาาดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
1.เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็กในขณะที่ บุคคลากรด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
3.มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและสมบูรณ์แก่บิดามารดาอย่างต่อเนื่อง และไม่ลำเอียงด้วยทีที่เหมาะสม
4.เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการของบุคคลและครอบครัวเข้าใจระบบบริการสุขภาพ
5.ลงมือปฎิบัติสนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาทางด้าน อารมณ์และเศรษฐกิจ เช่น ส่งปรึกษา
6.ยอมรับว่าครอบครัวมีจุดแข็ง และมีลักษณะเฉพาะรวมทั้งเคารพวิธีการเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน
7.เคารพยอมรับในความหลากหลายของเชื้อชาติวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ และสังคมเศรษฐกินของครอบครัว
8.กระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครอง
9.จัดบริการให้มีความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และ ตอบสนองความต้องการของครอบครัว
เครื่องมือที่ใช้ประเมิน pain ในเด็ก
ความรุนแรงของความปวด
ตำแหน่งปวด
รูปแบบระยะเวลาเจ็บปวด
ลักษณะเจ็บปวด
ผลกระทบต่อความปวด หงุดหงิด ก้าวร้าว
ปัจจัยที่ทำให้ปวดมากขึ้น
CHEOPS (Children’s Hospital of Eastern Ontario Pain Scale )
1.ใช้กับเด็ก 1-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
2.คะแนนอยู่ระหว่าง 4-13
3.พยาบาลเป็นผู้ประเมิน
4.การแปลผล
•4 = ไม่ปวด
•5-7 = ปวดน้อย
•8-10 = ปวดปานกลาง
•11-13 = ปวดมาก
FLACC Scale (Face ; Legs ; Activity ; Cry ; Consolability Scale)
1.ใช้กับเด็ก 1เดือน-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
2.คะแนนอยู่ระหว่าง 0-10
3.พยาบาลเป็นผู้ประเมิน
4.การแปลผล
•0 = ไม่ปวด
•1-3 = ปวดน้อย
•4-6 = ปวดปานกลาง
•7-10 = ปวดมาก
facial scales คือ การใช้รูปภาพแสดงสีหน้าบอกความรู้สึกปวด
เริ่มตั้งแต่ไม่ปวดแทนด้วยภาพสีหน้ายิ้มร่ามีความสุข ปวดพอทนแทนด้วยภาพหน้านิ่วคิ้วขมวดจนถึง ปวดมากที่สุด แทนด้วยภาพใบหน้าที่มีน้าตาไหลพราก
นิยมใช้ในผู้ป่วยเด็กเล็กคนชราหรือคนที่ไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยคาพูด พยาบาลจะให้ผู้ป่วยดูรูปดังกล่าวอธิบายแล้วให้ผู้ป่วยชี้ภาพหน้า ที่ตรงกับความรู้สึกขณะนั้นอยู่ที่ระดับใดโดยนามาแทนค่าเป็นคะแนนตามที่กากับไว้ใต้ภาพ
Numeric rating scale
1.คะแนนอยู่ระหว่าง 0-10
2.ใช้ได้ตั้งแต่เด็กวัยเรียนขึ้นไป ซักถามถ้าไม่ปวดเลย ให้ 0 ปวดมากที่สุดให้ 10 ขณะนี้ปวดเท่าใด
3.การแปลผล
•0 = ไม่ปวด
•1-3 = ปวดน้อย
•4-6 = ปวดปานกลาง
•7-10 = ปวดมาก
หลักการประเมินความปวด
ประเมินก่อนให้การพยาบาล เพื่อเป็นสมมติฐาน และหลังให้การพยาบาล เพื่อประเมินผล
ควรประเมินอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง โดยประเมินทั้งขณะพักและขณะทากิจกรรม
เลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และควรใช้วิธีเดียวกันตลอดการให้การพยาบาลนั้นๆ
เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีการรับรู้บกพร่อง หรือไม่สามารถสื่อสารได้ ควรดูแลเป็นพิเศษ
เนื่องจากการประเมินอาจได้ข้อมูลไม่ครอบคลุมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด
มีการบันทึกเป็นหลักฐาน
หลีกเลี่ยงคาถามนาอันเป็นเหตุให้บดบังข้อเท็จจริง หรือคาถามที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์เศร้าเสียใจ
บทบาทของพยาบาลกับการประเมินความปวด
สร้างสัมพันธภาพที่ดี ใช้คาพูดสุภาพ เข้าใจง่าย
ให้ความสนใจโดยเป็นผู้ฟังที่ดี และเชื่อในคำบอกเล่าของผู้ป่วย
ระหว่างการประเมินควรบันทึกพฤติกรรม แนวคิด
สภาพอารมณ์ จิตใจ และบุคลิกภาพของผู้ป่วย เพื่อเป็นข้อมูล
ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถตอบข้อซักถามได้ อาจใช้วิธีสัมภาษณ์จากคนดูแลใกล้ชิด
ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจถามจากบิดา มารดา หรือสังเกตพฤติกรรมและผลกระทบที่เกิดจากความปวด เช่น ผู้ป่วยที่ยังไม่รู้สึกตัวดี ครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย เป็นต้น
นายสุทธิพงษ์ สีแสนตอ 36/2 เลขที่ 69 รหัส 612001150
เอกสารประกอบการสอน รุ่น 36 การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล(อาจารย์วิภารัตน์ ยมดิษฐ์)