Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลมารดาทารกในระยะหลังคลอด (นางสาวสุพรรษา กาญจนะ เลขที่59 ห้อง B) -…
การพยาบาลมารดาทารกในระยะหลังคลอด (นางสาวสุพรรษา กาญจนะ เลขที่59 ห้อง B)
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยาของมารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
มดลูก (Uterus)
อาการปวดมดลูก (Afterpain)
อาการปวดไม่รุนแรง ปวดเป็นพักๆ
ปวดถ่วงบริเวณท้องน้อย
การปวดที่มากขึ้นจะสัมพันธ์กับการให้นมบุตร
ปวดไม่เกิน 72 ชม.
การลดระดับของมดลูก
มดลูกที่มีการยืดขยายมากขณะตั้งครรภ์ (ประมาณ 11 เท่าของก่อนตั้งครรภ์) จะลดขนาดลงในทันทีที่เด็กและรกคลอดแล้วมดลูกจะมีน้้าหนักประมาณ 1,000 กรัม
1 ชั่วโมงต่อมามดลูกจะลอยตัวสูงขึ้นมาอยู่ระดับสะดือเนื่องจากการหดรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกส่วนบนและส่วนล่างไม่เท่ากัน
6 สัปดาห์หลังคลอดมดลูกจะมีน้้าหนักเท่ากับระยะก่อนตั้งครรภ์คือประมาณ50 กรัม ถือว่าสิ้นสุดกระบวนการลดขนาดของมดลูกในระยะหลังคลอดส้าหรับมารดาระยะหลังคลอดถ้าระดับมดลูกไม่ลดลงติดต่อกัน 3 วันหรือมดลูกลดตัวช้ากว่าปกติเรียกว่า “มดลูกไม่เข้าอู่” (Subinvolution of uterus)
การเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูกและบริเวณรกเกาะ
ชั้นนอก (spongy layer)
คือ ส่วนที่อยู่ติดกับโพรงมดลูกจะมีเนื้อตายสลายตัวหลุดออกมาปนกับสิ่งที่ขับออกจากโพรงมดลูกเป็นน้้าคาวปลา (lochia)
ชั้นใน (basal layer)
คือ ส่วนที่อยู่ติดกับผนังมดลูก มีต่อมและเนื้อเยื่อ connective ทำหน้าที่สร้าง เนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นมาใหม่ (regeneration of uterine epithelium)
น้้าคาวปลา (Lochia)
น้้าคาวปลาคือสิ่งที่ขับออกมาจากแผลภายในโพรงมดลูกตรงบริเวณที่รกเคยเกาะอยู่มีลักษณะเป็นน้้าเลือดปนน้้าเหลืองคล้ายน้้าคาวปลาลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของแผลที่มีการซ่อมแซมเพื่อเกิดเป็นเยื่อบุโพรงมดลูกตามปกติ
น้้าคาวปลาแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ
Lochia rubra น้้าคาวปลาที่ออกมาในระยะ 2 – 3 วันแรกหลังคลอดเนื่องจากในระยะนี้แผลภายในโพรงมดลูกยังใหม่อยู่การซ่อมแซมยังเกิดขึ้นน้อยสิ่งที่ขับออกมามีลักษณะสีแดงคล้้าและข้นประกอบด้วยเลือดเป็นส่วนใหญ่
Lochia serosa มีประมาณวันที่ 4 – 9 ลักษณะน้้าคาวปลาสีจะจางลงเป็นสีชมพูสีน้้าตาลหรือค่อนข้างเหลืองมีมูกปนท้าให้ลักษณะที่ออกมาเป็นเลือดจางๆ
Lochia alba มีประมาณวันที่ 10 หลังคลอดน้้าคาวปลาจะค่อยๆน้อยลงเป็นสีเหลืองจางๆหรือสีขาวประกอบด้วยเม็ดเลือดขาวเยื่อบุโพรงมดลูกที่สลายตัวแล้วมูกจากปากมดลูกหรือน้้าเมือกและจุลินทรีย์เล็กๆ
การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
ระยะหลังคลอดบริเวณจากปากช่องคลอดจนกระทั่งถึงมดลูกส่วนล่าง (Lower uterinesegment) ยังคงบวมเป็นเวลาหลายวันส่วนของปากมดลูกที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดจะอ่อนนุ่มมีรอยช้้าและมีรอยฉีกขาดเล็กๆซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายประมาณ 18 ชั่วโมงหลังคลอดปากมดลูกจะสั้นลงแข็งขึ้นและกลับคืนสู่รูปเดิมประมาณ 2 – 3 วันหลังคลอด
ฝีเย็บ (Perineum)
กรณีตัดฝีเย็บหรือมีการฉีกขาดแผลฝีเย็บจะเริ่มหายภายใน 2 –3สัปดาห์
แผลฝีเย็บหายเหมือนก่อนการตั้งครรภ์ประมาณ 4-6 เดือน
หลังคลอด บริเวณ ฝีเย็บจะร้อนแดง erythematous เกิดจากการคั่งและบวมช้า
บางรายมีความไม่สุขสบาย ปวดแผลฝีเย็บ อาจนาน 6เดือนหลังคลอด
เต้านม
ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนซึ่งสร้างมาจากรกมีระดับลดลงท้าให้มีการหลั่งฮอร์โมนโปรแลคติน (prolactin) โดยร่วมกับฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) และอินสุลิน (insulin) ซึ่งจะไปกระตุ้นให้มีการสร้างน้้านม
ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมน prolactin เพิ่มขึ้น ทำให้มีการสร้างน้ำนม
ระยะนี้เกิดกลไกการผลิตน้ำนม (production of milk)หลั่งน้ำนม (let –down reflex)
น้ำนมแม่มีลักษณะดังนี้
หัวน้้านม (colostrum) จะเริ่มผลิตใน 2 – 3 วันแรกหลังคลอด
มีสีเหลืองข้นซึ่งเกิดจาก
สารเบตาแคโรทีนที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นวิตามินเอ
ได้หัวน้้านมจะมีโปรตีนวิตามิน
ที่ละลายในไขมันเกลือแร่ซึ่งรวมถึง
สังกะสีโซเดียมโพแทสเซียมและคลอไรด์มากกว่านมแม่ในระยะหลัง
น้้านมระยะปรับเปลี่ยน (transitional milk)
เป็นน้้านมที่ออกมาในช่วงระหว่างหัวน้้านมจนเป็นน้้านมแม่
ซึ่งระยะปรับเปลี่ยนจะเริ่มตั้งแต่
วันที่ 7 – 10 หลังคลอดไปจนถึง 2สัปดาห์หลังคลอด
น้้านมแม่ (true milk หรือ mature milk)
จะเริ่มประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอดไปแล้วมีส่วนประกอบของน้้ามากถึงร้อยละ87โดยร่างกาย
จะนำไปใช้ในกระบวนการเผาผลาญต่างๆซึ่งหลังจาก
ผ่านการย่อยแล้วของเสียที่มาจากนมแม่จะต้องขับถ่ายทางไต
ระบบต่อมไร้ท่อ
Hamanplacental lactogen(HPL) จะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน24 ชั่วโมงจะตรวจหาไม่พบ
Haman chorionic gonadotropin(HCG) มีระดับต่ำลงอย่างรวดเร็ว และจะมีระดับต่ำลงจนกระทั่งมีการตกไข่ (ovulation) หรืออยู่นานประมาณ 3-4 เดือน
Estrogen ลดลงร้อยละ 10ภายใน 3ชั่วโมงหลัง คลอด เมื่อเปรียบเทียบกับขณะตั้งครรภ์ และลดลงต่ำสุดในวันที่ 7หลังคลอด
Progesterone วันที่ 3 หลังคลอด ใน plasma จะลดลงต่ำกว่าในระยะ luteal phase ซึ่งเป็น ระยะที่corpus luteum พัฒนาเยื่อบุโพรงมดลูกให้รองรับไข่ต่อไป
Prolactin มีระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ในขณะตั้งครรภ์จนกระทั่งหลังคลอด
Follicle-stimulating hormone (FSH) มารดาหลังคลอดจะไม่มีการตกไข่และการมีประจำเดือนอยู่ช่วงระยะหนึ่ง เนื่องจากระดับ Estrogenและ Progesterone ในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ร่วมกับระดับ Prolactin เพิ่มขึ้นกดการทางานของรังไข่ (Inhibit follicular development) ทาให้กดการหลั่ง FSH & LHซึ่งทำให้ไม่มีการกดไข่และ ไม่มีประจำเดือน
Luteinizing hormone (LH) มารดาที่ไม่ได้ BF จะกลับมามีประเดือนอีกครั้ง ภายใน 7-9 สัปดาห์ พบว่า ร้อยละ 50 ของประจำเดือนครั้งแรกจะไม่มีการตกไข่ เนื่องจาก corpus luteum ยังทำงานได้ไม่เต็มที่ มีระดับ LH และ Progesteroneในเลือดต่ำ
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
หลังคลอดปริมาณเลือดจะลดลงทันทีแล้วค่อยๆลดลงเรื่อยประมาณ 3 – 4 สัปดาห์หลังคลอดปริมาณเลือดจึงจะลดลงสู่ระดับปกติเหมือนก่อนตั้งครรภ์
3 วันแรกหลังคลอดค่าฮีมาโตคริตอาจสูงขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากมีการลดระดับของปริมาณน้้าเหลือง (Plasma) มากกว่าจ้านวนของเม็ดเลือดจ้านวนเหล่านี้จะลดลงสู่สภาพปกติเหมือนก่อนคลอดภายใน 4 – 5 สัปดาห์หลังคลอดเม็ดเลือดขาวอาจสูงขึ้นถึง 20,000 – 25,000 เซลล์ต่อ
การเปลี่ยนแปลงของปริมาณเลือดยังมีผลให้ชีพจรในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดจะต่้ากว่าค่าเฉลี่ยปกติคือประมาณ 50 – 70 ครั้งต่อนาทีการที่อัตราการเต้นของชีพจรลดลงเป็นผลจากภายหลังคลอดรกแล้วเลือดที่เคยไปเลี้ยงรกจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจท้าให้หัวใจเต้นช้าลงและจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 7-10 วันหลังคลอด
ภาวะเลือดดาโปร่งพอง (varicosities)
ในระยะแรกหลังคลอดหลอดเลือดดำโปร่งพองบริเวณขา น่อง ขาหนีบ อวัยวะสืบพันธุ์ ทวารหนัก ที่เกิดขึ้น ในระยะตั้งครรภ์ จะลดลงอย่างรวดเร็ว แต่ในบางรายอาจไม่หายขาด
ระบบหายใจ
ขนาดของช่องท้องและช่องทรวงอกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดท้าให้ความจุภายในช่องท้องและกะบังลมลดลงปอดขยายได้ดีขึ้นการหายใจสะดวกขึ้น
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
ขณะทารกผ่านช่องทางคลอดจะท้าให้เกิดการบาดเจ็บของท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะจะบวมและมักมีอาการบวมและช้้ารอบๆรูเปิดของท่อปัสสาวะคลอดใหม่ๆมารดาจึงมักถ่ายปัสสาวะล้าบากและจะเป็นมากขึ้นถ้ามีอาการบวมของฝีเย็บ
ควรหลีกเลี่ยงการลดการคั่งของปัสสาวะโดยการสวนปัสสาวะให้และการที่มีกระเพาะปัสสาวะเต็มอาจส่งเสริมให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดีเพราะตัวมดลูกถูกเบียดท้าให้อยู่ผิดต้าแหน่งและขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก เป็นสาเหตุให้มีการตกเลือดหลังคลอดได้จึงควรกระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะทุก 4 – 6 ชั่วโมง
การทำงานของไต(Renal function)
การทำงานของไตลดลงอาจเนื่องจากระดับของ steroid hormone
ท่อไตและกรวยไตที่ขยายในระยะตั้งครรภ์ จะกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนการตั้งครรภ์ภายใน 4-6สัปดาห์หลังคลอด
ระบบทางเดินอาหาร
ปกติหลังคลอดมารดามักรู้สึกตัวและกระหายน้้าในระยะ 2 – 3 วันแรกมักมีความอยากอาหารและดื่มน้้ามากเพราะสูญเสียน้้าระหว่างคลอด
หลังคลอดระยะแรกมารดามีแนวโน้มที่จะท้องผูกจากการที่สูญเสียแรงดันภายในช่องท้องทันทีกล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัว ประกอบกับมีการเคลื่อนไหวของล้ำใส้ช้าตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์
มารดาอาจไม่กล้าเบ่งเพราะกลัวแผลแยกหรือกลัวเจ็บแผลท้าให้เกิดอาการท้องผูกภายหลังคลอดได้และล้ำใส้จะทำงานได้ดี ประมาณปลายสัปดาห์แรกหลังคลอด
ระบบผิวหนัง
Linea nigra, Facial chloasmaสีผิวที่เข้มขึ้นบริเวณลานนมจะจางลง และหายไป
Striaegravidarumบริเวณหน้าท้อง เต้านม และต้นขา จะค่อยๆจางเป็นสีเงิน และจะไปหายสมบูรณ์
หลอดเลือดที่ผิดปกติ เช่น spider angiomus, plamarerythema และepulisโดยปกติจะลดลง
ระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก
กล้ามเนื้อช่วง 1 – 2 วันแรกหญิงระยะหลังคลอดมีอาการเมื่อยและปวดกล้ามเนื้อโดยเฉพาะบริเวณแขนขาไหล่และคอทั้งนี้เพราะต้องออกแรงเบ่งขณะคลอดและหลังคลอดรกฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนลดต่้าลงท้าให้ความตึงตัวของกล้ามเนื้อเริ่มลดลง
โครงกระดูกในช่วงตั้งครรภ์ฮอร์โมนรีแลคซิน (relaxin) ท้าให้บริเวณข้อต่อต่างๆของร่างกายมีการยืดขยายมีการเคลื่อนไหวของข้อต่อมากเกินไป1 –2 วันหลังคลอดมารดามักมีอาการล้าและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เป็นผลมาจากการเบ่งคลอดการลดลงของระดับ relaxinช้าๆ
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
บทบาทหน้าที่ของมารดาในระยะหลังคลอด
ระยะที่ 1 ระยะสนใจแต่ความต้องการตนเอง (Taking-in Phase) เกิดขึ้นในช่วง2-3 วันแรก หลังคลอด โดยมารดาจะมีพฤติกรรมพึ่งพา (Dependence Behavior)ผู้อื่นมากที่สุดและไม่ต้องการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองในระยะนี้มารดาจะสนใจแต่ความต้องการของตนเองในเรื่องการนอนหลับพักผ่อน การรับประทานอาหารเพื่อชดเชยพลังงานที่เสียไปในการคลอดมากกว่า
จะคิดถึงความต้องการของทารก
ระยะที่ 2 ระยะที่สามารถจัดการทั้งเกี่ยวกับตนเองและกิจกรรมอื่นได้ (Taking-holdPhase) ระยะนี้เกิดขึ้นช่วง 3-10 วันระยะที่เข้าสู่พฤติกรรมพึ่งพากึ่งอิสระ นั่นคือ มารดาจะมีความกระตือรือร้นกับการจัดการตนเอง สามารถปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆอันเป็นภาระหน้าที่ของมารดาได้ในระยะนี้มารดาจะสนใจอย่างมากในการเลี้ยงดูบุตร
ระยะที่ 3 ระยะยอมให้ทารกสร้างแนวทางในการดำเนินชีวิตใหม่ (Letting-go Phase)ระยะนี้ต่อเนื่องกับระยะที่สองโดยเริ่มต้นเมื่อภายหลังคลอดไปแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ในระยะนี้มารดาต้องปรับตัวในหลาย ๆด้าน เช่น การปรับตัวในการยอมรับบุตรในฐานะที่เป็นบุคคลที่มีลักษณะของตนเอง
ภาวะซึมเศร้าของมารดาหลังคลอด
ภาวะอารมณ์เศร้าหลังคลอด (Postpartum Blues) เป็นภาวะที่พบได้บ่อยที่สุดคือ
ประมาณร้อยละ 30-75 ของมารดาหลังคลอดแต่ภาวะนี้อาการไม่รุนแรงหายเองได้ ซึ่งการเกิดอาการนี้ไม่ได้แสดงว่ามารดามีปมขัดแย้งในใจโดยมารดาจะมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หงุดหงิดง่ายร้องไห้ มีความวิตกกังวลไปหมดทุกเรื่องอาการมักเริ่มเกิดในช่วงหลังคลอดไม่กี่วัน มีอาการมากที่สุดประมาณวันที่ 4-5และหายภายวันที่ 10 ของช่วงหลังคลอด
ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression) เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างบ่อยคือ
ประมาณร้อยละ 10-15มารดาส่วนใหญ่จะมีอาการในช่วงเดือนแรกหลังคลอด แต่บางรายอาจเริ่มมี
อาการตั้งแต่ช่วงก่อนคลอดอาการต่างๆเหมือนโรคซึมเศร้าทั่วไปคือ มีอารมณ์ซึมเศร้า (DepressedMood) เบื่อหน่ายไปหมด (Anhedonia) หมดเรี่ยวแรง (Low Energy)ซึ่งหลาย ๆ รายมีความคิดอยากฆ่าตัวตายมีอาการเป็นอยู่นานเกิน 2 สัปดาห์ และ/หรือมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย
โรคจิตหลังคลอด (Postpartum Psychosis) เป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยคือ แต่มีอาการรุนแรงมากกว่าโดยมักเริ่มมีอาการในช่วง 2-3 วันแรกหลังคลอดมีส่วนน้อยที่เริ่มแสดงอาการหลัง 2 สัปดาห์ในช่วงหลังคลอดอาการแสดงเริ่มแรกคือ การผุดลุกผุดนั่งหงุดหงิดนอนไม่หลับ หลังจากนั้นอาการต่างๆจะเกิดขึ้นตามมาอย่างรวดเร็วเช่น อารมณ์ซึมเศร้าหรืออารมณ์ดีผิดปกติมีความคิดหลงผิดหรือมีความเชื่อผิด ๆ รวมทั้งมีประสาทหลอนและบางรายอาจมีอาการสับสนร่วมด้วย
ผลกระทบของภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
มารดาจะสูญเสียความสนใจในชีวิตสมรส โดยเฉพาะเรื่องเพศสัมพันธ์กับสามีทำให้ชีวิตสมรสไม่ราบรื่น และอาจเป็นสาเหตุของการหย่าร้างและชีวิตสมรสแตกแยกได้
มารดาจะสูญเสียสมรรถภาพทางร่างกาย จากความเหนื่อยอ่อนเซื่องซึมและสูญเสียพลังงานรวมทั้งมีสุขภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์
มารดาจะมีพฤติกรรมการทำร้ายตัวเองได้แก่ การดื่มสุรา การเสพยาเสพติด หรือการฆ่าตัวตายเป็นต้น
มารดาที่มีความผิดปกติทางจิตใจ มักไม่สามารถแสดงบทบาทการเป็นมารดาที่ดีได้มักโยนความผิดให้กับบุตร มีการทุบตีทารุณบุตร ละทิ้งบุตร
การพยาบาลมารดาหลังคลอดที่มีภาวะซึมเศร้า
โดยใช้โปรแกรมที่เรียกว่า “NURSE” Program มีรายละเอียดดังนี้
N = Nourishment (Nutrition) and Needs ได้แก่ การดูแลให้มารดาหลังคลอดได้รับอาหารและน้ำอย่างเพียงพอเพื่อให้ร่างกายกลับฟื้นตัวได้เร็วและช่วยในการหายของแผลภายหลังคลอด
U = Understanding อธิบายให้มารดาหลังคลอดเข้าใจถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในการกลับสู่สภาพเดิมโดยเฉพาะในมารดาที่มีอายุน้อย ซึ่งมักมีความกังวลเรื่องภาพลักษณ์
และน้ำหนักตัวอาจแนะนำให้มารดาเขียนสมุดบันทึกเพื่อให้สามารถเขียนระบายความรู้สึก ความกลัวและความวิตกกังวลต่าง ๆ
R = Rest and Relaxation การพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ มารดาหลังคลอดที่มีอารมณ์เศร้าหรือซึมเศร้าหลังคลอดมักมีความวิตกกระวนกระวายตลอดเวลาทำให้นอนไม่หลับและไม่สามารถผ่อนคลายความวิตกกังวลได้พยาบาลควรส่งเสริมให้ครอบครัวมีส่วนแบ่งเบาภาระของมารดาในการดูแลทารกและงานบ้านทั่วไป
S = Spirituality การมีศรัทธาความเชื่อจะช่วยให้รู้สึกมีแหล่งพึ่งพาทางจิตใจ ดังนั้นควรมีการส่งเสริมให้มารดาหลังคลอดได้กระทำกิจวัตร หรือกิจกรรมทางศาสนาที่เหมาะสมตามความต้องการ
E = Exercise สารเอนโดรฟินที่หลั่งจากการออกกำลังกาย มีผลทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าควรแนะนำการออกกำลังกายที่เหมาะสมในระยะหลังคลอด เช่น การเดินเล่นอาจแนะนำให้มารดาพาทารกไปเดินเล่นหรือแนะนำให้สมาชิกในครอบครัวร่วมออกกำลังกายกับมารดาหลังคลอดด้วย เพื่อเปน็ การส่งเสริมสัมพันธภาพที่ดีภายในครอบครัว
อ้างอิง
คชารัตน์ ปรีชล.(2559).ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดการป้องกันการดูแล,9(2),4-12.
เพ็ชรัตน์ เตชาทวีวรรณ.(2556)การพยาบาลมารดาทารกและการผดุงครรภ์1.สืบค้นเมื่อวันที่ 27พฤษภาคม2563,จากเว็ปไซต์:
http://www.elnurse.ssru.ac.th/petcharat_te/pluginfile.php/58/block_html/content/PP%2827122556%29.pdf