Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีรวิทยาและจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด - Coggle…
การเปลี่ยนแปลงทางด้านสรีรวิทยาและจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
ด้านสรีรวิทยา
การเปลี่ยนแปลงของระบบระบบต่อมไร้ท่อ
ฮอร์โมนของรก(Placental hormone)
หลังคลอดระดับฮอร์โมนจากรกในพลาสมา (Plasma) จะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน24 ชั่วโมงจะตรวจหาระดับฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิคโซมาโทแมมโมโทรฟิน (Human ChorionicSomatomammotropin = HCS)
ไม่ได้และประมาณปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดระดับของฮอร์โมนฮิวแมนคอริโอนิคโกนาโดโทรพิน (Human Chorionic Gonadotropin = HCG) จะลดลงดังนั้นถ้าทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะจะได้ผลลบภายใน 3 ชั่วโมงหลังคลอด
ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง(Pituitary hormone)
ระยะหลังคลอดมารดาที่ไม่เลี้ยงบุตรด้วยน้้านมตนเอง
ระดับโพรแลคทินจะลดลงจนเท่ากับระดับก่อนตั้งครรภ์ภายใน 2สัปดาห์ การให้บุตรดูดนมจะท้าให้ความเข้มข้น
ของโพรแลคทินเพิ่มขึ้นระดับของโพรแลคทินในซีรัมจะสูงมากน้อย แค่ไหนขึ้นกับจ้านวนครั้งที่ให้บุตรดูดนมใน
แต่ละวันค่าของโพรแลคทินจะอยู่ในระดับปกติประมาณเดือนที่ 6
ฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโต(Growth hormone)
1 สัปดาห์หลังคลอดฮอร์โมนฮิวแมนพลาเซ็นทอลแลคโทเจนฮอร์โมนเอสโตรเจนฮอร์โมนคอร์ติชอลเอนไซม์จากรกและน้้าย่อยอินสุลิน (Insulinase) ลดลงอย่างรวดเร็ว ต่อมไทรอยด์จะกลับสู่ภาวะปกติเหมือนตอนไม่ตั้งครรภ์ภายใน 6 สัปดาห์หลังคลอดนอกจากนี้ระดับของฮอร์โมนคอร์ติโคสตีรอยด์ในพลาสมาก็จะลดลงสู่ระดับปกติในช่วงปลายสัปดาห์แรกหลังคลอดส่วนระดับของฮอร์โมนเรนิน (Renin) และแองกิโอเทนซินทู(Angiotensin ll) ในพลาสมาจะเข้าสู่ระดับปกติภายใน 2 ชั่วโมงหลังคลอดการค้นพบนี้บ่งชี้ว่ารกอาจเป็นแหล่งหนึ่งที่ผลิตฮอร์โมนเรนินของมารดา (Maternal plsma renin)
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
การไหลเวียนของเลือดระหว่างมดลูกกับรกสิ้นสุดลงลดขนาดของแวสคิวอะเนด (Vascularbed) ของมารดา10 – 15 เปอร์เซนต์
หน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนของรกสิ้นสุดเป็นการตัดตัวกระตุ้นที่ท้าให้หลอดเลือดขยาย
มีการเคลื่อนย้ายของน้้านอกหลอดเลือดที่สะสมระหว่างตั้งครรภ์
การเปลี่ยนแปลงของระบบอวัยวะสืบพันธุ์
การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูก
ระยะหลังคลอดบริเวณจากปากช่องคลอดจนกระทั่งถึงมดลูกส่วนล่าง (Lower uterinesegment) ยังคงบวม
เป็นเวลาหลายวัน ส่วนของปากมดลูกที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดจะอ่อนนุ่มมีรอยช้้าและมีรอยฉีกขาดเล็กๆซึ่งเสี่ยง
ต่อการติดเชื้อได้ง่ายประมาณ 18 ชั่วโมงหลังคลอด ปากมดลูกจะสั้นลงแข็งขึ้นและกลับคืนสู่รูปเดิมประมาณ
2– 3 วันหลังคลอดปากมดลูกยังคงยืดขยายได้ง่ายอาจสอดนิ้วเข้าไปได้ 2 นิ้ว ประมาณปลายสัปดาห์ที่ 1 จะกลับคืนเหมือนสภาพเดิมเกือบสมบูรณ์แต่อย่างไรก็ตามปากมดลูกจะไม่คืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนตั้งครรภ์ รูประมาณปลายสัปดาห์ที่ 1 จะกลับคืนเหมือนสภาพเดิมเกือบสมบูรณ์แต่อย่างไรก็ตามปากมดลูกจะไม่คืนสู่สภาพเดิมเหมือนก่อนตั้งครรภ์รู
ฝีเย็บ (Perineum)
ฝีเย็บฝีเย็บจะมี
ลักษณะบวมและอาจมีเลือดออกใต้ผิวหนังจากการที่หลอดเลือดฝอยฉีกขาด Labia minora และ labia
majera เหี่ยวและอ่อนนุ่มมากขึ้น การตัดฝีเย็บและได้รับการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บจะหายเป็นปกติภายใน 5 – 7 วัน
มดลูก (Uterus)
การย่อยสลายตัวเอง (Autolysis or self digestion)เกิดจากการลดระดับลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน(Progesterone) มีผลท้าให้คอลลาจีเนส (Collagenase) ในตัวมดลูกเพิ่มการท้างานมากขึ้นท้าให้เพิ่มการหลั่งน้้าย่อยพวกโปรทีโอไลติก (Proteolytic enzyme) ซึ่งท้าให้เกิดการแตกตัวของใยกล้ามเนื้อและมีการเคลื่อนย้ายของแมคโรแฟ็จ(Macrophage) เข้าไปในเยื่อบุของกล้ามเนื้อมดลูกเพื่อท้าลายสิ่งแปลกปลอมโปรตีนในผนังมดลูกจะแตกและถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดแล้วขับออกทางไตจึงท้าให้มีไนโตรเจนในปัสสาวะเพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายวันภายหลังคลอด นอกจากนี้การกลับคืนสู่สภาพเดิมของมดลูกยังเกิดจากการลดจ้านวนของไซโตรพลาสซึมร่วมด้วยภายหลังคลอดขนาดของเซลล์มดลูกจะลดลงไม่เท่าเดิมดังนั้นหลังจากการคลอดแต่ละครั้งขนาดของมดลูกจึงใหญ่ขึ้นเล็กน้อย
การขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูก ( Ischemia or localized anemia ) เกิดจากการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกซึ่งถูกควบคุมโดยออกซิโตชิน Oxytocin) ท้าให้มีการบีบตัวกดเส้นเลือดทมี่าเลยี้งมดลูกโดยเฉพาะตรงบริเวณรกเกาะเพื่อยับยั้งการเสียเลือดท้าให้เส้นเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อมดลูกถูกบีบจำนวน เลือดมาเลี้ยงมดลูกลดลงท้าให้เกิดการเหี่ยวฝุอของเยื่อบุภายในโพรงมดลูกและเกิดการยุบสลายถูกขับออกมา ทางน้้าคาวปลาการกลับคืนสู่สภาพเดิมของมดลูกจะมีทั้งการลดขนาดลดน้้าหนักและลดระดับโดยระดับของมดลูกจะลดลง
การมีประจำเดือน
มารดาที่ไม่ได้เลี้ยงทารกด้วยนมตนเองจะมีการตกไข่ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ 10 – 11หลังคลอดและเริ่มมีประจ้าเดือนเมื่อสัปดาห์ที่ 7 – 9 หลังคลอด
มารดาที่เลี้ยงทารกด้วยนมตนเองนาน 3 เดือนจะมีการตกไข่ครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่ 17 หลังคลอดถ้าเลี้ยงด้วย
นมตนเองนาน 6 เดือน จะมีการตกไข่เมื่อสัปดาห์ที่ 28 หลังคลอดและจะเริ่มมีประจ้าเดือนเมื่อสัปดาห์ที่
30 –36 หลังคลอด
เต้านม
หัวน้้านม (colostrum) จะเริ่มผลิตใน 2 – 3 วันแรกหลังคลอดมีสีเหลืองข้น หัวน้้านมจะมีโปรตีนวิตามินที่ละลายในไขมันเกลือแร่ซึ่งรวมถึงสังกะสี โซเดียมโพแทสเซียม และคลอไรด์มาก มีภูมิคุ้มกันโรคคืออิมมูโนกลอบบูลินเอ(immunoglobulin A หรือ lgA)
น้้านมระยะปรับเปลี่ยน (transitional milk) เป็นน้้านมที่ออกมาในช่วงระหว่างหัวน้้านมจนเป็นน้้านมแม่ซึ่งระยะปรับเปลี่ยนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 7 – 10 หลังคลอดไปจนถึง 2สัปดาห์หลังคลอดปริมาณของอิมมูโนกลอบบูลินโปรตีนและวิตามินที่ละลายในไขมันจะลดต่้าลง ส่วนปริมาณของน้้าตาลแลคโทสไขมันวิตามินที่ละลายในน้้าและพลังงานรวมจะเพิ่มขึ้น
น้้านมแม่ (true milk หรือ mature milk) จะเริ่มประมาณ 2 สัปดาห์หลังคลอดไปแล้วมีส่วนประกอบของน้้ามากถึงร้อยละ87
ระบบเลือด
ปริมาณเลือด (Blood volume) จะลดลงทันทีจากการสูญเสียเลือดภายหลังคลอดโดยปริมาณเลือดจะลดลงจากระดับ 5 – 6 ลิตรในระยะก่อนคลอดจนถึงระดับ4 ลิตรเท่าคนปกติใน 4 สัปดาห์ส่วนการไหลเวียนเลือดใน 2–3 วันแรกหลังคลอดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15–30เปอร์เซนต์หลังคลอดเม็ดเลือดขาวอาจสูงขึ้นถึง 20,000 – 25,000 เซลล์ต่อมิลลิตรการที่จ้านวนเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นพร้อมกับอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอาจทำให้การวินิจฉัยภาวะการติดเชื้ออย่างเฉียบพลันผิดพลาดได้
ความดันเลือดและชีพจร
ช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดจะต่้ากว่าค่าเฉลี่ยปกติคือประมาณ 50 – 70 ครั้งต่อนาที การที่อัตราการเต้นของ
ชีพจรลดลงเป็นผลจากภายหลังคลอดรกแล้วเลือดที่เคยไปเลี้ยงรกจะไหลกลับเข้าสู่หัวใจ ท้าให้หัวใจเต้นช้าลงซึ่งเป็นกลไกในการปรับตัวต่อการลดลงของแรงดันในระบบไหลเวียนโลหิต นขณะเดียวกันหญิงระยะหลังคลอดก็จะถ่ายปัสสาวะมากขึ้น (Postpartum diuresis) ท้าให้ปริมาณเลือดและความดันโลหิตต่้าลงเป็นผลให้อัตราการเต้นของชีพจรค่อยๆเพิ่มขึ้นจนกระทั่งเข้าสู่ระดับปกติภายใน7 – 10 วันหลังคลอด
ระบบหายใจ
ขนาดของช่องท้องและช่องทรวงอกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดท้าให้ความจุภายในช่องท้องและกะบังลมลดลงปอดขยายได้ดีขึ้นการหายใจสะดวกขึ้น
ระบบทางเดินปัสสาวะ
ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะกระเพาะปัสสาวะจะบวมและมักมีอาการบวมและช้ำรอบๆรูเปิดของท่อปัสสาวะความตึงตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะลดลงทำให้มีความจุมากขึ้นแต่ความไวต่อแรงกดจะลดลงด้วยเหตุนหลังคลอดใหม่ๆมารดาจึงมักถ่ายปัสสาวะลำบากและจะเป็นมากขึ้นถ้ามีอาการบวมของฝีเย็บ
การทำงานของไต(Renal function)
ระยะหลังคลอดเมื่อระดับฮอร์โมนลดลงไตก็จะท้างานลดลงด้วยกลูโคสยูเรีย(Glucosuria) ปคริเอทินินเคลียแรนซ์ (Creatinine clearance) จะเป็นปกติในปลายสัปดาห์แรกหลังคลอด ยูเรียไนโตรเจนในเลือด(Blood ureanitrogen) จะเพิ่มขึ้นในระยะหลังคลอด เนื่องจากมีการแตกตัวของใยกล้ามเนื้อมดลูก หลังคลอดมารดาจะเริ่มถ่ายปัสสาวะมากปัสสาวะที่ออกจากร่างกายรวมกับน้้าที่สูญเสียทางเหงื่อจะท้าให้น้้าหนักของมารดาลดลงในระยะแรกหลังคลอดประมาณ 2 - .25 กิโลกรัม หลังจากนั้นน้้าหนักจะลดลงอีกเนื่องจากมีการขับน้้าและอิเล็คโทรลัยที่สะสมตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์การท้างานของไตจะกลับสู่สภาพปกติใน 4 – 6 สัปดาห์
ระบบทางเดินอาหาร
หลังคลอดระยะแรกหลังคลอดมารดามีแนวโน้มที่จะท้องผูกจากการที่สูญเสียแรงดันภายในช่องท้องทันที กล้ามเนื้อหน้าท้องหย่อนตัวประกอบกับมีการเคลื่อนไหวของล้าไส้ช้าตั้งแต่ในระยะตั้งครรภ์และได้รับการสวนอุจจาระในระยะที่ 1 ของการคลอดนอกจากนี้มารดาอาจไม่กล้าเบ่งเพราะกลัวแผลแยกหรือกลัวเจ็บแผลท้าให้เกิดอาการท้องผูกภายหลังคลอดได้และล้าไส้จะท้างานได้ดี ประมาณปลายสัปดาห์แรกหลังคลอด
ระบบผิวหนัง
เมื่อการตั้งครรภ์สิ้นสุดลงฝูาบริเวณใบหน้า (Chloasma gravidarum) จะหายไปแต่สีที่เข้มของลานนมเส้น
กลางหน้าท้อง (Linea nigra) และรอยแตกของผิวหนังบริเวณผนังหน้าท้อง(Striae gravidarum) จะไม่หายไป
แต่สีอาจจางลงอาการผิดปกติของหลอดเลือดเช่นอาการร้อนแดงที่ฝุามือ (Palmar erythuma) และก้อนเนื้อ
งอกที่เหงือกจะลดลงเนื่องจากเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็วในระยะหลังคลอดหลังคลอดร่างกายจะขับน้ำออก
ทางผิวหนังจำนวนมาก (Diaphoresis)มารดาหลังคลอดจึงมีเหงื่อออกมาการขับเหงื่อของร่างกายอาจเกิดขึ้น
ในเวลากลางคืนมารดาอาจตื่นขึ้นมามีเหงื่อท่วมตัวจึงควรอาบน้้าจะช่วยให้สบายขึ้น
อุณหภูมิ
Reactionary Feverซึ่งเกิดจากการขาดน้ำเสียพลังงานในการคลอดหรือได้รับการชอกช้้า (Trauma)ในขณะคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นเล็กน้อยโดยประมาณ 37.8o C (100o F) แต่ไม่เกิน 38o C แล้วจะลดลงสู่ปกติใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
Milk Feverเกิดจากนมคัด (Breast engorement) จะพบในวันที่ 3 – 4 หลังคลอดอุณหภูมิจะสูงกว่า
38oC และจะหายใน 24 ชั่วโมงหรือเมื่อลดการคัดตึงของเต้านม
Febile Feverเกิดจากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นในระบบใดระบบหนึ่งของร่างกายมารดาเช่นการอักเสบที่เยื่อบุโพรงมดลูกเต้านมอักเสบการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะหรือในระบบอื่นๆอุณหภูมิจะสูงกว่า38oCติดต่อกัน 2 วันหรือมากกว่า (ไม่นับ 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด)จะเห็นได้ว่าในระยะหลังคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงทุกระบบของร่างกายเพื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมยกเว้นเต้านมซึ่งยังคงมีการเจริญต่อไปในรายที่มารดาเลี้ยงบุตรด้วยนมตนเองดังนั้นจึงควรมีการส่งเสริมมารดาหลังคลอดให้มีการปฏิบัติตนที่ถูกต้องเพื่อปูองกันภาวะแทรกซ้อนหรืออาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้
ด้านจิตสังคม
ระยะพึ่งพา (the taking-in phase)
มารดาหลังคลอดยังคงเข้ารับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล มารดาจะสนใจแต่ความต้องการของตนเองมากกว่าการคำนึงถึงความต้องการของบุตร โดยมารดาจะมีความต้องการพักผ่อน การรับประทานอาหารหลังคลอดเพื่อชดเชยพลังงานที่สูญเสียไปจากการคลอด ต้องการที่จะได้รับความช่วยเหลือในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
เนื่องจากมารดาไม่สุขสบายด้านร่างกาย รวมทั้งมีความตึงเครียด
ด้านจิตใจในการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ในการเป็นมารดา
เป็นระยะกึ่งพึ่งพา (taking-hold phase)
มารดาเริ่มพึ่งพาตนเองได้ สามารถควบคุมสมดุลของระบบต่างๆ ในร่างกายได้ เริ่มมีสุขภาพที่แข็งแรงและมีกำลังเพียงพอ มารดาจึงสนใจการทำหน้าที่ของอวัยวะต่างๆของร่างกาย กระตือรือร้นที่จะดูแลตนเอง และตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆที่เป็นบทบาทหน้าที่ของมารดาได้ เริ่มสนใจเรียนรู้และฝึกทักษะในการดูแลบุตร รวมทั้งการให้นมบุตร
ระยะนี้มารดายังต้องการ
การพักผ่อนและการตอบสนองต่อร่างกายของตนเอง ถ้ามารดาไม่ได้รับการตอบสนองดังกล่าวอาจส่งผลให้มารดาไม่มีความอดทน รู้สึกประสบความล้มเหลว และขาดความเชื่อมั่นในการแสดงออกถึงบทบาทหน้าที่ในการเป็นมารดา ถ้ามารดาได้รับการช่วยเหลือตอบสนองตามความต้องการจะสามารถผ่านระยะนี้ไปได้
เป็นระยะพึ่งพาตนเอง (letting-go phase)
ระยะ 2 สัปดาห์หลังคลอด ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่การเป็นมารดา สามารถที่จะดูแลตนเองและบุตร
ได้มากขึ้น เป็นระยะที่มารดารู้สึกเศร้าลึกๆ ต่อการสูญเสียสิ่งที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายคือบุตร และเริ่มยอมรับว่าบุตรเป็นบุคคลหนึ่งที่แยกออกจากตน มีบุคลิกลักษณะแนวทางในการดำเนินชีวิตเฉพาะของตนเอง มีบุคลิกลักษณะแนวทางในการดำเนินชีวิตเฉพาะของตนเอง
มารดามีการปรับตัวในหลายด้าน ได้แก่ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงระบบครอบครัวที่ต้องมีสมาชิกเพิ่มขึ้น ปรับตัวในการสร้างสัมพันธภาพของครอบครัว และปรึกษาในการทำกิจกรรมร่วมกันทั้งการดูแลบุตร การทำงานบ้าน และกิจกรรมทางสังคม รวมถึงการคงสัมพันธภาพพื้นฐานของครอบครัว
การดูแลมารดาด้านจิตสังคมในระยะพึ่งพาตนเอง ควรดูแลมารดาด้วยการแสดงความรัก ความห่วงใย ความเห็นอกเห็นใจ การเอาใจใส่ การให้กำลังใจ ชื่นชม และสนับสนุนให้มารดาสามารถปรับตัวต่อบทบาทการเป็นมารดาในการเลี้ยงดูบุตร และการกระทำบทบาทหน้าที่ของการเป็นภรรยาในการปฏิบัติภารกิจภายในครอบครัว และสังคมอย่างเหมาะสมอาหารหลังคลอด
ภาวะที่มารดาเศร้าหลังคลอด (Postpartum bluesหรือbaby blues)
ภาวะซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum depression)
หญิงระยะหลังคลอดยังตอบสนองต่อการปรับตัวในการแสดงบทบาทมารดาให้เข้ากับชีวิตครอบครัว รวมทั้งการดูแลทารกได้ไม่ดีพอถ้าเกิดความรู้สึกเศร้าตั้งแต่ 2สัปดาห์ขึ้นไป จะน้าไปสู่ความรู้สึกหมดหวังและไม่สามารถเผชิญกับปัญหาในชีวิตประจ้าวันได
โรคจิตหลังคลอด
(Pospartum psychosis)
หญิงระยะหลังคลอดครรภ์แรกถ้าหญิงระยะหลังคลอดยังคงมีอาการนอนไม่หลับร้องไห้มากเกินไปไม่ตอบสนองต่อความรู้สึกใดๆและ/ หรือขาดการติดต่อกับสังคม
อาการเศร้าหลังคลอด (Baby blues)
มักจะเกิดขึ้นภายใน 72 ชั่วโมงหลังคลอด มีอารมณ์หงุดหงิด ร้องไห้ วิตกกังวล รบกวนการนอนหลับและความอยากอาหาร อาการจะสามารถกลับสู่คืนสภาวะเดิมได้
การปรับเปลี่ยนบทบาท
ระยะที่คาดหวังไว้(The anticipatory stage) จะเริ่มในช่วงตั้งครรภ์
ระยะหาข้อมูล (The formal stage) เริ่มตั้งแต่คลอดไปจนกระทั่ง 6 – 8 สัปดาห์หลังคลอด
ระยะเป็นกันเองกับทารก (The informal stage)
ระยะของการเป็นมารดาบิดาอย่างสมบูรณ์ (The personal stage)
นางสาวกนกวรรณ ไร่สงวน เลขที่ 5 ห้อง 26A หรัสนักศึกษา 613020110060
อ้างอิง
เพ็ชรัตน์ เตชาทวีวรรณ. (ม.ป.ป.). การพยาบาลมารดาระยะหลังคลอลอด (ออนไลน์)สืบค้น
จาก:
http://www.elnurse.ssru.ac.th/petcharat_te/pluginfile.php/58/block_html/content/PP%2827122556%29.pdf
[สืบค้นเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563]