Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด - Coggle Diagram
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด
Bonding (ความผูกพัน)
หมายถึง กระบวนการผูกพันธ์ทางอารมณ์ที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูมีต่อทารกฝ่ายเดียว
เกิดขึ้นตั้งแต่วางแผนตั้งครรภ์ ทราบว่าตั้งครรภ์หรือเกิดขึ้นชัดเจนเมื่อรับรู้ว่าลูกดิ้นและเพิ่มสูงสุดเมื่ดทารกคลอดออกมา
Attachment (สัมพันธภาพ)
หมายถึง ความรู้สึกรักใคร่ผูกพันระหว่างทารกกับพ่อแแม่หรือผู้เลี้ยงดู
เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นพิเศษและคงอยู่ถาวรจะเกิดขึ้น ทีละเล็กละน้อยจากความใกล้ชิด ห่วงใย อาทร เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความผูกพันทางใจ จะใช้เวลาในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
การพัฒนาสัมพันธภาพ ในระยะหลังคลอด
มารดาจะแสดงความรักความผูกพันกับลูกตั้งแต่นาทีแรกหลังคลอดจนกระทั่งถึง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
เป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหมาะสมต่อการสร้างสัมพันธภาพระหว่างมารดาและทารก
ทารกมีความตื่นตัว จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ก่อให้เกิดความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดาทารก
กระบวนการพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
มีพัฒนาการตามลำดับ 9ขั้นตอน ดังนี้
ระยะก่อนการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 1การวางแผนการตั้งครรภ์
ระยะตั้งครรภ์
ขั้นที่ 2การยืนยันการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 3 การยอมรับการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 4การรับรู้การเคลื่ดนไหวขดงทารกในครรภ์
ขั้นที่ 5การยอมรับว่าทารกในครรภ์เป็นบุคคลคนหนึ่ง
ระยะคลอดและระยะหลังคลอด
ขั้นที่ 6การสนใจดูแลสุขภาพตนเองและทารกในครรภ์และการแสวงหาการคลอดที่ปลดดภัย
ขั้นที่ 7การมดงดูทารก
ขั้นที่ 8การสัมผัสทารก
ขั้นที่ 9การดูแลทารกและให้ทารกดูดนม
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดา และทารกในระยะแรกเกิด มีดังนี้
การสัมผัส ( touch, tactile sense)
การใช้นิ้วสัมผัสแขนขา จากนั้นจะบีบนวดสัมผัสตามลำตัว ทารกจะมีการจับมือและดึงผมมารดาเป็นการตอบสนอง
การประสานสายตา (eye -to -eye contact )
มารดาจะรู้สึกผูกพันใกล้ชิดมากขึ้นเมื่อทารกลืมตาและสบตาตนเอง
การใช้เสียง (voicevoicevoice )
มารดาจะรแฟังเสียงทารกร้องครั้งแรก
เพื่อยืนยันภาวะสุขภาพขดงทารก
การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะตามเสียงพูด (entrainment entrainment )
ทารกจะเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ขยับแขน ขา ยิ้ม หัวเราะ เป็นต้น
จังหวะชีวภาพ (Biorhythmcity)
หลังคลอดทารกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวด ล้อมภายนอกที่แตกต่างจากในครรภ์ของมารดา
การรับกลิ่น (Odor)
มารดาจากลิ่นกายของทารกได้ตั้งแต่แรกคลอด และแยกกลิ่นทารกออกจากทารกดื่นได้ภายใน 3-4 วันหลังคลอด
ส่วนทารกสามารถแยกกลิ่นมารดาและหันเข้าหากลิ่นน้ำนมมารดาได้ภายในเวลา 6 – 10วันหลังคลอด
การให้ความอบอุ่น (Body ody warmth warmth หรือ Heat )
ให้มารดาโอบกอดทันที ทารกจะไม่เกิดการสูญเสียความร้อน และทารกจะเกิดความผ่อนคลายเมื่อได้รับความอบอุ่นจากมารดา
การให้ภูมิคุ้มกันทางน้านม (T and B lymphocyte )
ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันในนมแม่ ได้แก่T lymphocyte, B lymphocyte, และImmunoglobulin A ช่วยป้องกันและทำลายเชื้อโรคในระบบทางเดินดาหาร
การให้ภูมิคุ้มกันทางเดินหายใจ (Bacteria nasal flora)
ขณะที่มารดาอุ้ม โอบกอดทารก จะมีการถ่ายทอดเชื้ดโรคในระบบทางเดินหายใจ ( normal flora) ของมารดาสู่ทารก เกิดภูมิคุ้มกันช่วยป้องกันทารกติดเชื้ดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
การประเมินสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
ใช้การสังเกต สอบถาม ซึ่งมีแนวทางการประเมินสัมพันธภาพ ดังนี้
ความสนใจในการดูแลตนเองของตนเองและทารก
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก
ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทการเป็นมารดา
ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของทารก
พฤติกรรมขดงมารดาและทารกที่แสดงถึงการขาดสัมพันธภาพ (Lack of attachment)
ไม่สนใจมองบุตร สีหน้าเมินเฉยหรือหันหน้าหนี
ไม่ตอบสนองต่อบุตร เช่น ไม่สัมผัส ไม่ยิ้ม ไม่อุ้มกอดทารก เป็นต้น
พูดถึงบุตรในทางลบ
แสดงท่าทางหรืดคำพูดที่ไม่พึงพอใจขณะดูแลบุตร
ขาดความสนใจในการซักถามเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุตรและการเลี้ยงดูบุตร
บทบาทของพยาบาลผดุงครรภ์ในการส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
กระทำต่อเนื่องตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์ ระยะคลอดและต่อเนื่องไปจนถึงระยะหลังคลอด
ระยะหลังคลอด
ส่งเสริมให้มารดาสัมผัส โอบกอดทารกทันทีหลังคลอด ในระยะ sensitive period
*Rooming in โดยเร็วที่สุด
ให้คำแนะนาในการดูแลบุตร
ตอบสนองความต้องการของมารดา
กระตุ้นให้มีปฏิสัมพันธ์กับทารก
เป็นตัวแบบในการสร้างสัมพันธภาพกับทารก
ให้มารดา ทารก บิดา ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
ระยะตั้งครรภ์
ยอมรับการตั้งครรภ์
ครอบครัวคอยให้กาลังใจ
การปรับบทบาทการเป็นบิดา มารดา
ยอมรับความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์
การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
ระยะคลอด
สร้างบรรยากาศให้เกิดความไว้วางใจ
ลดความวิตกกังวลของผู้คลอด
*ส่งเสริมให้การคลอดผ่านไปดย่างปลอดภัย
ให้ข้อมูล เป็นสื่อกลางระหว่างผู้คลอดและครอบครัว