Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
Unit 7.1 Psychiatric Nursing with emotional and moods disorders patients,…
Unit 7.1 Psychiatric Nursing with emotional and moods disorders patients
กลุ่มโรคความผิดปกติทางอารมณ์ชนิดซึมเศร้า (depressive disorders)
โรค ซึมเศร้า (major depression/depressive disorder)
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคซึมเศร้า ตามเกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM-V
มีอาการดังต่อไปนี้ 5 อาการหรือมากกว่า อาการเป็นอยู่นาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป และต้องมีอาการเหล่านี้ อยู่เกือบตลอดเวลา แทบทุกวัน
1.1 มีอารมณ์ซึมเศร้าแทบทั้งวัน (ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้)
1.2 ความสนใจหรือความเพลินใจในกิจกรรมต่างๆ แทบทั้งหมดลดลงอย่างมากแทบทั้งวัน
1.3 น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นมาก (น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 5 ต่อเดือน) หรือมีการเบื่อ อาหารหรือเจริญอาหารมาก
1.4 นอนไม่หลับ หรือหลับมากแทบทุกวัน
1.5 กระวนกระวาย อยู่ไม่สุข (psychomotor agitation) หรือเชื่องช้าลง (psychomotor retardation)
1.6 อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
1.7 รู้สึกตนเองไร้ค่า หรือรู้สึกผิดอย่างไม่สมเหตุผล
1.8 สมาธิลดลง ใจลอย ตัดสินใจอะไรไม่ได้ หรือลังเลใจไปหมด
1.9 คิดเรื่องการตาย คิดอยากตาย
ต้องมีอาการในข้อ 1.1 หรือ 1.2 อย่างน้อย 1 ข้อ
อาการเหล่านี้ทำให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางการแพทย์ หรือทำให้เกิดความ ผิดปกติ หรือบกพร่องอย่างมากในการทำบทบาทหน้าที่ต่างๆ การใช้ชีวิตในสังคม
อาการไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย หรือการได้รับสารเสพติด
อาการ
ด้านอารมณ์ (emotional)
สีหน้าเศร้าเป็นทุกข์ ซึม หดหู่ ท้อแท้ ขาดชีวิตชีวา เบื่อหน่าย หมดความสนใจในกิจกรรมที่ชอบ บางรายพบอารณ์หงุดหงิด กระวนกระวาย อ่อนไหวน้อยใจง่าย โดยผู้ป่วยรู้ตัวดีแต่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
ด้านความคิด (cognitive)
มักจะมีความคิดเชื่องช้า ความคิดถูปิดกั้น มักคิดอะไรไม่ออก คิดหมกมุ่น เกี่ยวกับความทุกข์ของตนเอง ไม่มั่นใจ ความสามารถการตัดสินใจไม่ดี (poor judgment) ไม่สามารถคิดหรือตัดสินใจแม้แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจวัตร มีความคิด และทัศนคติทางลบทั้งต่อตนเอง รู้สึกตนเองไม่มั่นคง ปลอดภัยในการดำรงชีวิต ทำให้มีความคิดอยากตาย (suicide idea)
ด้านพฤติกรรม (behavioral)
ไม่เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม (social withdrawal) ถ้าอาการรุนแรงจะแยกตัวออกจากสังคม (social isolation) ไม่พบปะผู้คน เพื่อนสนิท ครอบครัว เก็บตัวสร้างโลกส่วนตัวอยู่เพียง ลำพัง
ด้านร่างกาย (physical)
ส่วนใหญ่ไม่อยากอาหาร ไม่หิว เบื่ออาหารที่ชอบ การับรู้รสชาติอาหาร เปลี่ยนแปลงไป น้ำหนักลดลง อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง บางรายอาจพบกินมาก น้ำหนักเพิ่ม อาการทางกาย สัมพันธ์กับความเครียด เช่น ปวดศีรษะ ปวดเรื้อรัง คลื่นไส้ และมักมีปัญหาการนอนหลับ
โรคซึมเศร้าเรื้อรัง (dysthymic disorder)
เกณฑ์การพิจารณาคือ ในระยะ 2 ปี มีอารมณ์เศร้า (depressed mood) เกือบทั้งวัน และมี อาการต่อไปนี้ 2 อาการหรือมากกว่า
เบื่ออาหารหรือเจริญอาหารมาก
นอนไม่หลับ หรือหลับมากผิดปกติ
อ่อนเพลีย ไร้เรี่ยวแรง
รู้สึกสิ้นหวัง
สมาธิลดลง ตัดสินใจอะไรไม่ได้
ปัจจัยที่มีผลต่อภาวะซึมเศร้า
ด้านจิตสังคม (psychosocial factors)
บุคลิกภาพและลักษณะนิสัย
บุคลิกภาพแบบยอมตาม หรือ บุคลิกภาพแบบพึ่งพา ไม่สามารถแสดงอารม์ความคิด ความรู้สึกของตนเองได้อย่างอิสระ
ความคิดและทัศนคติ
การมองตนเองใน แง่ลบ คิดว่าตนไม่สมบูรณ์ มีข้อบกพร่อง มีการแปลประสบการณ์ในแง่ลบ
รูปแบบการเลี้ยงดูของครอบครัว
เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบทารุณกรรม ไม่ว่าจะเป็นการ กระทำทางวาจา (verbal abuse) การถูกทุบตีอย่างไร้เหตุผลหรือการทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง (physical abuse)
ด้านชีวภาพ (biology factors)
เพศ (gender)
เพศหญิง มากกว่าเพศชายประมาณ 2-3 เท่า
ความผิดปกติของสมดุลชีวเคมีในสมอง (neurotransmitter imbalance)
ซีโร โทนิน (serotonin) และนอร์เอพิเนฟริน (norepinephrine) จะมีปริมาณลดต่ำลง
กรรมพันธุ์หรือพันธุกรรม (genetics)
บิดามารดาที่มีประวัติการเจ็บป่วยด้วยโรคซึมเศร้า
การรักษา
การรักษาทางกาย
การรักษาด้วยไฟฟ้า
ผู้ป่วยที่มีอารมณ์ซึมเศร้าในระดับที่รุนแรง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มี พฤติกรรมทำร้ายตนเอง ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล ผู้ป่วยหลงผิด ประสาทหลอน การรักษาด้วย ไฟฟ้าจะลดอาการซึมเศร้าและการพยายามฆ่าตัวตายได้ผลดีมาก
การรักษาด้วยยา
ยากลุ่ม SSRI (serotonin reuptake inhibitor: SSRI)
ปัจจุบันใช้เป็นยาขนานแรกในการรักษา ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าได้แก่ยา fluoxetine และ sertraline
การรักษาทางจิตสังคม
การบำบัดทางจิตโดยการทำจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytically oriented psychotherapy)
การบำบัดทางจิตแบบประคับประคอง (Supportive Psychotherapy)
การบำบัดระหว่างบุคคล (Interpersonal therapy)
การทำกลุ่มจิตบำบัด (Group therapy)
การบำบัดทางพฤติกรรม (Behavioral therapy)
การทำครอบครัวบำบัด (Family therapy)
การบำบัดทางความคิด (Cognitive therapy)
การใช้กระบวนการพยาบาลในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (major depressive disorders)
การวางแผนการพยาบาล (planning)
การป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากการทำร้าย ตนเอง หรือการฆ่าตัวตาย
สามารถดูแลตนเองได้ตามศักยภาพ มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลอื่นได้ และสามารถ ปรับตัวกับการสูญเสียได้
การปฏิบัติการพยาบาล (implementation)
1.1 ประเมินความเสี่ยงของการทำร้ายตัวเอง และความต้องการฆ่าตัวตาย
1.2 จัดสิ่งแวดล้อมให้สงบและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย
1.3 สังเกตผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดอาจจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในสถานที่ที่พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่สามารถ สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน หรือหากมีเจ้าหน้าที่เพียงพออาจจัดให้มีผู้ดูแลประจำสำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูง ในการฆ่าตัวตาย
1.4 ดูแลขณะที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยาหรือการรักษาอื่นๆ เช่น การรักษาด้วยไฟฟ้า โดยสังเกต ผลของการรักษา ผลข้างเคียง และรายงานอาการเปลี่ยนแปลงให้แพทย์ทราบ
1.5 แนะนำให้ผู้ป่วยสังเกตอาการ ความคิดทางลบของตนเอง แยกแยะความคิดทางลบที่บิดเบือน จากความจริง เมื่อไรที่เริ่มมีอาการมีอาการที่สัมพันธ์กับอาการซึมเศร้า หรือมีความคิดฆ่าตัวตายให้รับแจ้ง พยาบาลทันที
1.6 สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด
1.7 สื่อสารกับผู้ป่วยด้วยคำพูดและท่าทางที่แสดงถึงความเห็นใจและเข้าใจในปัญหาของผู้ป่วย ไม่ ใช้เสียงหรือท่าทางที่คุกคามหรือตำหนิผู้ป่วย ใช้คำถามที่สั้นและเข้าใจง่าย
1.8 เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายปัญหา และความทุกข์ของตน โดยต้องรับฟังผู้ป่วยเล่าด้วยความ สนใจ (active listening) ยินยอมให้ผู้ป่วยได้ร้องไห้โดยไม่ขัดจังหวะ
1.9 ใช้เทคนิคการสนทนาเพื่อการบำบัดช่วยให้ผู้ป่วยตระหนักถึงปัญหาและผลกระทบจากการใช้ วิธีการเผชิญปัญหาที่ไม่เหมาะสม และสนับสนุนให้กำลังใจกับผู้ป่วยในการแก้ปัญหา อย่างเหมาะสม
1.10 สร้างความมั่นคงและความเข้มแข็งในจิตใจ ให้ผู้ป่วยสำรวจตนเอง นึกถึงความสำเร็จหรือ ทบทวนสิ่งดีๆที่ผ่านมา แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ
1.14 ร่วมวางแผนกับแพทย์ผู้ดูแล และนักจิตวิทยา ในการทำจิตบำบัดรายบุคคล รายกลุ่ม และ พฤติกรรมบำบัด ในการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจและตระหนักในพฤติกรรมของตนเอง และวางแผนแก้ไขต่อไป
1.13 กระตุ้นให้เข้าร่วมกิจกรรม โดยจัดกิจกรรมที่คาดว่าผู้ป่วยน่าจะทำสำเร็จและให้แรงเสริม ทางบวกแก่ผู้ป่วย ซึ่งกิจกรรมที่จัดควรเริ่มจากง่ายไปยาก เช่น กลุ่มวาดรูประบายความรู้สึก กลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน
1.12 กระตุ้นให้ผู้ป่วยค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ พิจารณาถึงประโยชน์ของการมีชีวิตอยู่ และผลเสียของการเสียชีวิต
1.11 สร้างเสริมความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง โดยการฝึกทักษะการมองในทางบวกให้กับผู้ป่วย ทั้ง การคิดบวก (positive thinking) และพูดทางบวก (positive self-talk)
1.15 วางแผนเตรียมผู้ป่วยก่อนกลับบ้านร่วมกับผู้ป่วยและญาติ โดยเตรียมความพร้อมในเรื่อง การ รับประทานยา การมาตรวจตามนัด การพักผ่อนหย่อนใจ การทำกิจกรรมต่างๆ ในยามว่างที่เหมาะสม เทคนิคการผ่อนคลายความเครียด การเผชิญกับปัญหา การสังเกตสัญญาณเตือนถึงความคิดที่จะทำร้าย ตนเอง อาการผิดปกติทางอารมณ์และพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย แนะนำแหล่งให้การปรึกษาหรือ สถานบริการทางการแพทย์ที่สามารถติดต่อได้สะดวก
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis)
ด้านร่างกาย
ประสิทธิภาพการดูแลตนเองลดลง เนื่องจากหมกมุ่นอยู่กับความทุกข์ของตนเอง และติดอยู่กับ ภาวะท้อแท้ สิ้นหวัง
แบบแผนการรับประทานอาหารเปลี่ยนแปลง (รับประทานอาหารได้น้อยลง/ ไม่รับประทาน อาหาร) เนื่องจากพร่องความสามารถในการปรับตัวต่อการสูญเสีย และติดอยู่กับภาวะซึมเศร้า (ในกระบวนการ โศกเศร้า)
แบบแผนการนอนหลับเปลี่ยนแปลง (นอนไม่หลับหรือหลับมาก) เนื่องจากหมกมุ่นอยู่กับการ สูญเสียของตนเอง หรือพร่องความสามารถในการเผชิญกับปัญหา
ด้านจิตใจ สังคมและพฤติกรรม
เสี่ยงต่อการทำร้ายตนเอง เนื่องจากพร่องความสามารถในการเผชิญปัญหา หรือ รู้สึกสิ้นหวัง
ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบกพร่อง เนื่องจากรับรู้ในคุณค่าของตนเองต่ำ หรือขาดทักษะทางสังคม
รับรู้ในคุณค่าของตนเองต่ำ เนื่องจากมีกระบวนการคิดและมุมมองต่อตนเองในทางลบ
การประเมินผล (evaluation)
ประเมินว่าผู้ป่วยมีความคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับตัวเอง ยังคงมีความคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตายหรือไม่ เพื่อปรับปรุงวางแผนให้การสนับสนุนช่วยเหลือต่อไป
การประเมิน (assessment)
การสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ
1) ในครอบครัวของคุณเคยมีใครป่วยด้วยอาการซึมเศร้า หรือมีประวัติการทำร้ายตนเอง หรือ ฆ่าตัวตายหรือไม่
2) คุณเคยใช้ยานอนหลับหรือไม่ ความถี่ของการใช้เป็นอย่างไรและเหตุผลที่ใช้
3) คุณเคยใช้สารเสพติดหรือไม่ ถ้าเคยๆใช้ชนิดใด สาเหตุของการใช้สารเสพติดคืออะไร ความถี่ของการใช้เป็นอย่างไร
4) อาการซึมเศร้า ท้อแท้ หรือแยกตัว เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
5) ก่อนเกิดอาการมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในชีวิตของคุณ
6) อาการต่างๆที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบกับชีวิตของคุณอย่างไร
7) คุณมีความรู้สึกอย่างไรต่อตนเอง
8) คุณมีความต้องการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของคุณอย่างไร
ประเมินกระบวนการโศกเศร้า (grief process)
การใช้คำพูดหรือลักษณะกิริยาอาการ
กรณีที่ไม่มีสัญญาณเตือน พยาบาลต้องถามถึงความคิดฆ่าตัวตาย
การตรวจร่างกาย
การตรวจสภาพจิตผู้ป่วย
โดยเฉพาะด้านการรับรู้ กระบวนการคิด เนื้อหาความคิด ความจำ
การใช้แบบวัดหรือแบบประเมินต่างๆ เช่น แบบวัดความเครียด แบบวัดโรคซึมเศร้า แบบ ประเมินคุณภาพชีวิต แบบประเมินปัญหาสุขภาพของกรมสุขภาพจิต
กลุ่มโรคอารมณ์ 2 ขั้ว (Bipolar disorders)
ระยะ คลุ้มคลั่งหรือแมเนีย (manic episode)
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM-V
มีอารมณ์สนุกสนานและครึกครื้นร่าเริงผิดปกติ (euphoria and elation) หรือมีอารมณ์เหงดุหงิดอย่างผิดปกติ (irritable) อย่างต่อเนื่องร่วมกับมีกิจกรรม หรือมีพลังเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้น เป็นเกือบทั้งวัน เกือบทุก วัน และคงอยู่ตลอดอย่างชัดเจนอย่างน้อย 1 สัปดาห์
ในช่วงที่มีความผิดปกติของอารมณ์ พบอาการต่อไปนี้อย่างนี้ 3 อาการ หรือถ้าเป็นอารมหงุดหงิดโกรธง่ายต้องมีอาการอย่างน้อย 4 อย่าง
2.1 ความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าสูงเกินจริง มีความสำคัญมากผิดปกติ หรือ มีความคิดว่าตนเอง เป็นใหญ่ (grandiosity)
2.2. ความต้องการการนอนหลับลดลงกว่าปกติ
2.3 พูดมากกว่าปกติ หรือ พูดไม่ยอมหยุด
2.4 ความคิดเปลี่ยนเรื่องเร็วแบบ (flight of idea) หรือรู้สึกว่าความคิดแล่นเร็ว
2.5 ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย ถูกกระตุ้นได้ง่ายจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว (distractibility)
2.6 มีการทำกิจกรรมมากเกินปกติ เช่น การพบปะสังสรรค์ ขยันทำงานมากผิดปกติ หรือมี พฤติกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น กระสับกระส่าย (psychomotor agitation)
2.7 หมกมุ่นอย่างมากกับการทำกิจกรรมที่ทำให้ตนเองเพลิดเพลิน โดยไม่ยับยั้งชั่งใจ และเกิด ความเสียหายหรือความยุ่งยากตามมาจากกิจกรรมนั้นๆ อย่างมาก เช่น ใช้จ่ายฟุ่มเพือยสิ้นเปลือง ลงทุนโดย การขาดการไตร่ตรอง การมีกิจกรรมทางเพศกับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ครอง
อาการดังกล่าวรุนแรงจนมีผลเสียต่อการดำเนินชีวิต หน้าที่การงาน การเข้าสังคมหรือ สัมพันธภาพระหว่างบุคคล หรือจำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อป้องกันอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น
อาการมิได้เกิดจากผลโดยตรงด้านสรีรวิทยาจากสาร เช่น สารเสพติด ยา หรือการรักษาอื่น หรือจากภาวะความเจ็บป่วยทางกาย
อาการเด่น
พูดมาก ช่างคุย (Hypertalkative) คิดเร็ว คิดฟุ้งซ่าน เปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆ (flight of idea)
ทำกิจกรรมเพิ่มขึ้น (Hyperactive) ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับ
ความมั่นใจสูง (Hyperconfident) แบบมั่นใจแต่ไร้สติ โอ้อวด ไม่มีกาละเทศะ
ความสนใจหรือพฤติกรรมทางเพศเพิ่มขึ้น (Hypersexual)
ระยะ ไฮโปแมเนีย (hypomania episode)
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM-V
อาการ และอาการแสดงคล้ายแมเนีย (mania) แต่ไม่รุนแรงและไม่ต่อเนื่องจน เกิดความบกพร่องหรือ กระทบกระเทือนต่อการการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ การเรียน หรือการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ยัง สามารถทำงานและร่วมกิจกรรมทางสังคมได้ และไม่พบอาการประสาทหลอนและหลงผิด อาการจะคงอยู่ ตลอดอย่างชัดเจนอย่างน้อย 4 วัน อาการไม่รุนแรงจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล
ระยะซึมเศร้า (major depressive episode)
กลุ่มโรคความผิดปกติทางอารมณ์ชนิดซึมเศร้าสลับคลุ้มคลั่ง หรือโรคอารมณ์ 2 ขั้ว (Bipolar disorders)
Bipolar II
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM-V
มีอาการของระยะ hypomania (Hypomanic episode) อย่างน้อย 1 ครั้ง และมีอาการของ ระยะซึมเศร้าอย่างรุนแรง (Major depressive episode) อย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ไม่เคยเกิดภาวะแมเนีย (Manic episode)
อาการไม่ได้เกิดจากโรค schizoaffective disorder `หรือโรคจิตชนิดอื่น
อาการของภาวะซึมเศร้าก่อให้กิดความทุกข์ทรมานอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์ หรือ กิจกรรมทางสังคม การงาน หรือด้านอื่นๆ ที่สำคัญบกพร่องลง
Cyclothymic disorder
เกณฑ์การวินิจฉัย DSM-V
มีช่วงที่มีอาการของไฮโปแมเนีย (hypomania) อยู่มาก และช่วงที่มีอาการซึมเศร้าแต่ไม่ เข้าเกณฑ์ของ ภาวะซึมเศร้าชนิดรุนแรง (Major depressive episode) เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี (ในเด็กและ วัยรุ่นต้องเป็นอย่างน้อย 1 ปี)
ในระยะเวลา 2 ปีข้างต้น (1 ปีในเด็กและวัยรุ่น) ผู้ป่วยต้องมีช่วงมีอาการ hypomania ร่วมกับ ช่วงที่มีอาการซึมเศร้ารวมแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของระยะเวลาทั้งหมด และไม่มีระยะเวลาที่เป็นปกติ/ไม่มี อาการนานเกินกว่า 2 เดือนในแต่ละครั้ง
ไม่มีอาการที่เข้าได้กับเกณฑ์วินิจฉัยภาวะซึมเศร้าชนิดรุนแรง (Major depressive episode) , ภาวะคลุ้มคลั่งหรือเมเนีย (Manic episode) หรือ ระยะไฮโปแมเนีย (hypomania)
อาการไม่ได้เกิดจากโรค schizoaffective disorder `หรือโรคจิตชนิดอื่น
อาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากผลโดยตรงด้านสรีรวิทยาจากสาร เช่น สารเสพติด ยา หรือความ เจ็บป่วยทางกาย
อาการที่เกิดขึ้นก่อให้ผู้ป่วยมีความทุกข์ทรมานอย่างมีความสำคัญทางการแพทย์ หรือกิจกรรม ทางสังคม การงาน หรือด้านอื่นๆ ที่สำคัญบกพร่องลง
Bipolar I
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM-V
1.มีอาการเข้าได้กับระยะ manic (manic episode) อย่างน้อย 1 ครั้ง
2.อาการไม่ได้เกิดจากโรค schizoaffective disorder `หรือโรคจิตชนิดอื่น
การรักษาผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนไบโพล่าร์
การรักษาทางกาย
การใช้ยาต้านอาการทางจิต (antipsychotic)
การใช้ยาต้านเศร้า (antidepressant drug)
perphenazine (Trilafon) หรือ haloperidol (haldol) จะช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าว
risperidone สามารถเลือกใช้แทนยาปรับอารมณ์ โดยไม่ต้องตรวจระดับยาในเลือด
การใช้ยาควบคุมให้อารมณ์คงที่ (mood stabilizers)
การรักษาด้วยไฟฟ้า
การรักษาทางจิตสังคม
การรักษาด้วยจิตบำบัดรายบุคคลและรายกลุ่ม (psychotherapy)
การปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavior therapy)
ครอบครัวบำบัด
การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อการบำบัด ทั้งด้านกายภาพ และด้านบุคคล
การใช้กระบวนการพยาบาลในผู้ป่วยโรคอารมณ์แปรปรวนไบโพล่าร์
การวางแผนการพยาบาล (planning)
ช่วยให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากอันตรายและอุบัติเหตุ
ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยกระทำอันตรายต่อ ตนเองและบุคคลอื่นได้
ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเองได้อย่างเหมาะสม
สามารถยับยั้งชั่งใจไม่ให้กระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและเป็นอันตรายได้
ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหาร และสารน้ำอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สามารถดูแลตนเองในด้านต่างๆ อย่างเหมาะสม
การปฏิบัติการพยาบาล (implementation)
การพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากอันตรายและอุบัติเหตุต่างๆ
1) การพยาบาลเช่นเดียวกับการพยาบาลผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง
2) ระวังการเกิดอุบัติเหตุจากการทรงตัวไม่ดี หรือข้างเคียงจากยา เช่น การหกล้ม หน้ามืด การตกจากที่สูง การถูกกระแทก เป็นต้น
3) ดูแลเรื่องการรับประทานยา
การพยาบาลเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยกระทำอันตรายต่อตนเองและบุคคลอื่น
1) การพยาบาลเช่นเดียวกับการพยาบาลผู้ป่วยที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง
2) สร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดกับผู้ป่วยด้วยการให้การยอมรับ ความเข้าใจ ไม่ตัดสิน พฤติกรรมของผู้ป่วย เคารพในความเป็นบุคคลของผู้ป่วย
3) กระตุ้นให้ผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกคับข้องใจ ความไม่พอใจ ความคับข้องใจต่างๆ ออกมา และรับฟังผู้ป่วยอย่างสงบ ใส่ใจ และยอมรับในความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วย
4) จัดสิ่งแวดล้อมให้มีสิ่งกระตุ้นผู้ป่วยน้อยที่สุดทั้งการลด แสง สี เสียง ให้มีพื้นที่เพียงพอ
5) กระตุ้นให้ผู้ป่วยมีการใช้พลังความก้าวร้าวออกในทางสร้างสรรค์และเหมาะสม เช่น การ ออกกำลังกาย การเล่นกีฬา (หลีกเลี่ยงการแข่งขันหรือเปรียบเทียบความสามารถ) การทำงานบ้าน การถอน หญ้า เป็นต้น
6) เฝ้าระวังภาวะคลุ้มคลั่ง โดยการสังเกตสัญญาณเตือนต่างๆ
7) ให้แรงเสริมทางบวกแก่ผู้ป่วยเมื่อผู้ป่วยสามารถแสดงพฤติกรรมได้อย่างเหมาะสม และอาจ ให้แรงเสริมทางลบ หรือจำกัดพฤติกรรมเมื่อผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม (ซึ่งทุกครั้งที่ให้แรงเสริมทาง ลบต้องชี้แจงเหตุผลและทำความเข้าใจกับผู้ป่วยทุกครั้ง)
8) ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษา รวมถึงการเฝ้าระวังการเกิดผลข้างเคียง และให้ การดูแลอาการที่เกิดจากผลข้างเคียง
การปฏิบัติการพยาบาลในผู้ป่วยที่มีอารมณ์คลุ้มคลั่ง
1) การให้การยอมรับในความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ และพฤติกรรมที่ผู้ป่วยแสดงออกมา โดยไม่ แสดงการตำหนิ หรือขบขัน
2) การเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นบุคคลของผู้ป่วย
3) การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด โดยใช้เทคนิคการสื่อสารเพื่อการบำบัดที่เหมาะสม
4) การป้องกันอันตรายหรือการได้รับบาดเจ็บทั้งต่อผู้ป่วยและผู้อื่น
5) การกระตุ้นส่งเสริมให้ผู้ป่วยดูแลตนเองเกี่ยวกับสุขวิทยาส่วนบุคคล การนอนหลับพักผ่อน การรับประทานอาหาร
6) การสอนผู้ป่วยให้มีทักษะในเผชิญต่อความเครียด การคลายเครียด การควบคุมอารมณ์ การแก้ไขปัญหา การแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม การรู้จักกาลเทศะ
7) การให้คำปรึกษาในการปรึกษาในการแก้ปัญหาต่างๆ ของผู้ป่วย รวมทั้งการให้คำปรึกษา แก่ครอบครัวของผู้ป่วยเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
การพยาบาลเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมของตนเอง
1) ตักเตือนพฤติกรรม (set limits) เมื่อมีพฤติกรรมเจ้ากี้เจ้าการ (manipulation) หรือ พฤติกรรมไม่เหมาะสม
2) เบี่ยงเบนผู้ป่วยจากพฤติกรรมที่ไม่หมาะสม เช่น ให้ไปนั่งพักในมุมที่สงบ
3) เมื่อผู้ป่วยอยู่ในภาวะที่พร้อมจะรับฟัง ส่งเสริมให้ยอมรับว่าตนเองมีอารมณ์โกรธ บอกให้ ทราบถึงผลกระทบของพฤติกรรมนั้นต่อบุคคลอื่น
4) ร่วมกับผู้ป่วยหาสาเหตุของความโกรธ และการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
การพยาบาลเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองด้านร่างกายอย่างเหมาะสม
การพยาบาลเพื่อเตรียมผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน
การทำครอบครัวบำบัด
การได้รับความรู้เกี่ยวกับโรค การดำเนินการของโรค สาเหตุการเกิด อาการแสดง สัญญาณเตือน วิธีการจัดการกับอารมณ์และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้ป่วย การผ่อนคลายความเครยีด และวิธีการเผชิญปัญหา การดูแลและฟื้นฟูสุขภาพกาย (อาหาร การออกกำลังกาย การนอนหลับ การทำ กิจวัตรประจำวัน และการทำกิจกรรมต่างต่าง) การรับประทานยา การมาตรวจตามแพทย์นัด
การฝึกทักษะในการเผชิญกับปัญหา การแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรมที่เหมาะสม
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล (nursing diagnosis)
1) เสี่ยงต่อการเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง ทำร้ายบุคคลอื่น เนื่องจากพร่องความสามารถในการ ควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมตนเอง
2) เสี่ยงต่อการได้รับอันตรายหรืออุบัติเหตุ เนื่องจากพร่องความสามารถในการป้องกันอันตราย ขาดความยับยั้งชั่งใจ
3) เสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหารและสารน้ำที่จำเป็น เนื่องจากพร่องความสามารถในการดูแล ตนเอง/ละเลยการดูแลตนเอง
4) แบบแผนการนอนหลับเปลี่ยนแปลง เนื่องจากหมกมุ่นกับกระบวนการคิดที่บิดเบือนจากความ เป็นจริง
5) การเผชิญปัญหาไม่เหมาะสมเนื่องจากขาดการฝึกฝนทักษะที่ถูกต้อง หรือ การมองโลกไม่อยู่ใน พื้นฐานของความเป็นจริง หรือมีการแปลความหมายทางพฤติกรรมผิดจากความเป็นจริง
6) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลบกพร่องเนื่องจากมีพฤติกรรมแสดงออกทางสังคมไม่เหมาะสม หรือ ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นบกพร่อง เนื่องจากขาดทักษะทางสังคม
7) มีพฤติกรรมทางเพศที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายกับตนเอง เนื่องจากขาดความสามารถในการยับยั้ง ชั่งใจ
การประเมินผล (evaluation)
การประเมิน (assessment)
การซักประวัติ
ตัวอย่างแนวทางในการสัมภาษณ์
1) ก่อนมาโรงพยาบาลผู้ป่วยมาอาการหรือพฤติกรรมอย่างไรบ้าง
3) ระหว่างที่มีอาการทางจิตผู้ป่วยมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง
4) ผู้ป่วยเคยได้รับอุบัติเหตุ หรือป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับสมองหรือไม่
6) ผู้ป่วยมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศหรือไม่ อย่างไร
7) ผู้ป่วยมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงต่อตนเอง หรือต่อบุคคลอื่นหรือไม่ อย่างไร
8) พฤติกรรมใดของผู้ป่วยที่ส่งผลเสียต่อตัวผู้ป่วยและครอบครัวบ้าง
9) ผู้ป่วยรับประทานยาต่อเนื่องหรือไม่ (กรณีผู้ป่วยเดิม)
10) สมาชิกในครอบครัว หรือญาติสายตรงมีใครเคยป่วยเป็นโรค Bipolar หรือไม่
5) ผู้ป่วยเคยมีประวัติการใช้สารเสพติดหรือไม่ อย่างไร
2) อาการของผู้ป่วยเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
การตรวจ
Beck Depression Inventory
Zung Self-Rating
Depression Scale
Manic-stage Rating Scale
การสังเกตพฤติกรรมต่างๆของผู้ป่วยขณะซักประวัติ และในระหว่างที่ผู้ป่วยอยู่โรงพยาบาล โดยเฉพาะอาการแมเนีย หรือ ซึมเศร้า
กลุ่มโรควิตกกังวล (Anxiety disorders)
Separation Anxiety Disorders
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
B. อาการดังกล่าว ต้องเป็นอย่างน้อย 4 สัปดาห์ในเด็กและวัยรุ่น และมักเป็นอย่างน้อย 6 เดือนในวัยผู้ใหญ่
C. อาการเหล่านี้ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสําคัญทางการแพทย์ หรือเกิดผลกระทบต่อ ชีวิตประจําวัน (การเรียน การทํางาน ทางสังคม หรืออื่นๆ)
A. มีอาการกลัวหรือกังวลอย่างไม่เหมาะสมต่อการแยกจากผู้เลี้ยงดูที่ผูกผันอย่างมาก และไม่เหมาะสมกับ
พัฒนาการตามวัย โดยมีอาการอย่างน้อย 3 ข้อ
มีความทุกข์หรือกังวลอย่างมากเมื่อต้องแยกจากหรือคิดว่าต้องแยกจากผู้เลี้ยงดูที่ใกล้ชิดหรือคนสำคัญ
กังวลมากเป็นประจําว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ทําให้ต้องพลัดพราก สูญเสีย หรือเกิดอันตรายต่อผู้เลี้ยงดูหรือคนสําคัญ เช่น ป่วย เจ็บ ตาย
กังวลมากเป็นประจําว่าเหตุการณ์ต่อไปนี้จะเกิดกับตนเอง เช่น ป่วย เจ็บ ตาย หรือถูกลักพาตัว ทําให้ต้องพลัดพรากจากผู้เลี้ยงดูหรือคนสําคัญ
ไม่อยากหรือไม่ยอมออกจากบ้านเพื่อไปโรงเรียน หรือไปในบางสถานการณ์ที่ต้องแยกจากผู้เลี้ยงดู หรือคนสําคัญ
กลัวการอยู่คนเดียว หรืออยู่โดยไม่มีผู้เลี้ยงดูหรือคนสําคัญอยู่ด้วย
ไม่อยากหรือไม่ยอมเข้านอนตามลําพัง หรือปฏิเสธการค้างคืนนอกบ้าน โดยไม่มีผู้เลี้ยงดูหรือคน
ฝันร้ายบ่อยๆ ซ้ําๆ เกี่ยวกับเรื่องการพลัดพราก
บ่นเสมอหรือบ่อยๆ เกี่ยวกับอาการทางกายเมื่อไม่มีผู้เลี้ยงดูหรือคนสําคัญอยู่ด้วยหรือคิดว่าต้องแยกจาก เช่น ปวดหัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
การทําจิตบําบัดแบบการปรับความคิดเพื่อปรับพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy: CBT)
การให้ความรู้ Psychological education ในรูปแบบของ family education เกี่ยวกับโรค การรักษา การเลี้ยงดู
Selective Mutism
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
A. ไม่พูดในบางสถานการณ์ที่ควรพูด แต่พูดได้ปกติในบางสถานการณ์
B. อาการดังกล่าวส่งผลต่อความสามารถในการเรียน การทํางาน และการดําเนินชีวิตในสังคม
C. มีอาการอย่างน้อย 1 เดือนโดยมิได้เป็นเดือนแรกของการเริ่มไปโรงเรียน
D. อาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความไม่เข้าใจในภาษาหรือการขาดโอกาส
E. อาการดังกล่าวต้องไม่สามารถอธิบายได้จากอาการของโรค Communication disorder หรือโรคทางจิตเวชดังต่อไปนี้ Autism Spectrum Disorder, Psychotic Disorder, Schizophrenia, Psychotic Disorder
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
การทําจิตบําบัดแบบ CBT
การสอนสุขภาพจิตศึกษาแต่ครอบครัว
อาจพิจารณาให้ยากลุ่ม SSRls
Specific Phobia
เป็นความกลัวอย่าง มากที่ไม่มีเหตุผล ไม่เหมาะสมกับสิ่งที่มากระตุ้น (สิ่งของหรือสถานการณ์) อาการนานอย่างน้อย 6 เดือน
สามารถแบ่งออกเป็น
กลัวสัตว์ (Animal type) มักเป็นตั้งแต่วัยเด็ก เช่น กลัวงู หนู แมลงสาป
กลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติ (Natural environment type) เช่น กลัวพายุ กลัวฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
กลัวเลือด หรือการฉีดยา หรือการบาดเจ็บ (Blood-Injection-Injury type)
กลัวสถานการณ์เฉพาะ (Situation type) เช่น กลัวความสูง (Acrophobia) กลัวที่แคบ(Claustrophobia) กลัวเชื้อโรค (Pathophobia) กลัวความมีด (Nyctophobia) กลัวไฟ (Pyrophobia)
ชนิดอื่น ๆ (Other types) เช่น กลัวการหายใจไม่ออก กลัวอาเจียน
การรักษาที่ใช้มากที่สุดคือ Exposure therapy
Social Anxiety Disorder (Social Phobia)
ความกลัวต่อการที่ต้องไปอยู่ในสถานการณ์ที่คิดว่าตนเองถูกผู้อื่นจับจ้อง หรือต้องแสดงออกบางอย่างต่อหน้าผู้อื่น(กังวลว่าจะไปทําให้ตนเองอับอายขายหน้า) มีอาการดังกล่าวอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป
การรักษาจะใช้การบําบัดทางจิตสังคมควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยา ซึ่งยาที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะเป็นยากลุ่ม SSIRls, Benzodiazepine และ Beta-adrenergic antagonist
Panic Disorder
มีอาการของ Panic attack เกิดขึ้นซ้ําบ่อยๆ โดยปราศจากสิ่งใดมากระตุ้น อาการ Panic attack ผู้ป่วยจะเกิดความรู้สึกกลัวหรือไม่สุขสบายใจเป็นอย่างรุนแรง ร่วมกับมีอาการทางระบบประสาท อัตโนมัติ
อาการ
ใจสั่น ใจเต้นแรง หรือหัวใจเต้นเร็วมาก
เหงื่อออกมาก (เหงื่อแตก)
มือสั่น ตัวสั่น
รู้สึกหายใจลําบาก หายใจไม่อิ่ม หายใจเหนื่อยหอบ
รู้สึกอึดอัด รู้สึกว่ามีก้อนขัดลําคอ หรือแน่นอยู่ข้างใน
เจ็บหน้าอก หรือแน่นหน้าอก
คลื่นไส้ ปั่นป่วนในช่องท้อง
มีนงง วิงเวียนหัว ปวดหัว หน้ามืด เป็นลม
หนาวๆ ร้อนๆ ครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายจะเป็นไข้
การรับรู้ความรู้สึกผิดปกติไป เช่น รู้สึกซา รู้สึกซ่าๆ (Paresthesia)
Derealization หรือ Depersonalization
กลัวควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือกลัวว่าจะเสียสติ
กลัวว่าตนเองกําลังจะตาย
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
A. มีอาการ panic attack เกิดขึ้นโดยคาดไม่ได้ว่าจะเกิดเมื่อไรซ้ําบ่อยๆ
B. หลังจากเกิดอาการ panic attack แล้วจะต้องมีอาการต่อไปนี้ 1 อาการขึ้นไป อย่างน้อย 1 ครั้งภายในระยะเวลา 1 เดือน
มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนหลังจากเกิดอาการ panic attack เช่น ตั้งใจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดอาการ
กังวลอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีอาการเกิดขึ้นมาอีก หรือกลัวผลที่ตามมา เช่น ควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นโรคหัวใจ หรือเป็นบ้า
C. อาการ panic attack ไม่ได้เป็นผลจากยาหรือสารเสพติดหรือโรคทางกาย เช่น ภาวะHyperthyroidism โรคปอด โรคหัวใจ
D. อาการ panic attack ไม่ได้เกิดจากโรคจิตเวชอื่นๆ เช่น โรค Social phobia, Specific phobia,OCD, หรือ PTSD
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
การรักษาด้านจิตสังคมร่วมด้วย เช่น CBT
นิยมใช้ยากลุ่ม SSIRIs ในการรักษาโดยเริ่มจากขนาดต่ําๆ (10 mg/day) และค่อยปรับขนาดขึ้นจนถึง 40 mg/day
ยากลุ่ม Benzodiazepine
Agoraphobia
โรคกลัวชุมชน ผู้ป่วยจะเกิดความรู้สึกกลัวหรือกังวลเป็นอย่างมากเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์หรือสถานที่ที่หาทางหลบเลี่ยงได้ลําบาก อย่างน้อย 2 จาก 5 สถานการณ์
1) การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ รถไฟ เครื่องบิน
2) การอยู่ในที่เปิดโล่ง เช่น ลาน จอดรถ ตลาด สะพาน
3) การอยู่ในที่ปิด เช่น โรงภาพยนตร์ ร้านค้า
4) การยืนต่อแถวหรืออยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
5) การอยู่นอกบ้านคนเดียว
Generalized Anxiety Disorder
เกณฑ์การวินิจฉัยของDSM 5
A. มีความวิตกกังวลมากเกินเหตุ (apprehensive expectation) ในหลายๆ ด้านของชีวิต เช่น การเรียน การทํางาน การเงิน การเข้าสังคม ชีวิตสมรส เกือบทุกวัน ติดต่อกันนานอย่างน้อย 6 เดือน
D. อาการดังกล่าวก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจําวัน
E. อาการไม่ได้เกิดจากผลของยาหรือสารเสพติดหรือโรคทางกาย เช่น Hyperthyroidism
F. อาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากโรคจิตเวชอื่นๆ
C. มีอาการทางกายต่างๆ ดังต่อไปนี้ (อย่างน้อย 3 อาการหรือในเด็กอย่างน้อย 1 อาการขึ้นไป) โดย อาการเป็นเกือบทุกวันในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
มีปัญหาด้านสมาธิ ความจํา
หงุดหงิด
เหนื่อยง่าย
ปวดตั้งตามกล้ามเนื้อ
มีปัญหาเกี่ยวกับการนอน เช่น หลับยาก หลับไม่เต็มอิ่ม หลับๆ ตื่นๆ
กระสับกระส่าย หรือตื่นเต้น หรือประหม่า
B. รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมความกังวลนี้ได้ หรือควบคุมได้ลําบาก
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
ยากลุ่ม SSRIs / SSRls สําหรับ Benzodiazepine
CBT, การทําจิตบําบัดการเผชิญหน้ากับสิ่งเร้าอย่างเป็นขั้นตอน (Systematic desensitization)
กลุ่มโรคย้ำคิดย้ําทําและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Obsessive Compulsive and Related Disorders)
Obsessive-Compulsive Disorder
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
A.มีอาการย้ําคิด (Obsession) หรือทํา (Compulsion) หรือทั้ง 2 อาการ
B. อาการย้ําคิดหรือย้ําทํา ทําให้สิ้นเปลืองเวลา (ใช้เวลามากกว่า 1 ชั่วโมงต่อวัน) หรือทําให้เกิดความทุกข์ ทรมาน หรือรบกวนหน้าที่ การใช้ชีวิตด้านต่างๆ
D. หากมีการวินิจฉัยโรคจิตเวชอื่นอยู่แล้ว อาการย้ําคิดย้ําทําที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นอาการของโรคจิตเวชนั้น
C อาการย้ําคิดหรือย้ําทํา ไม่ได้เกิดจากผลของยาหรือสารเสพติด หรือโรคทางกาย
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
ยาในกลุ่ม SSRIS ซึ่งจะใช้ยาในขนาดที่สูงกว่าการรักษาโรคซึมเศร้า และ ยา Clomipramine
การทําพฤติกรรมบําบัด โดยเน้นให้ผู้ป่วยเผชิญกับสิ่งที่ทําให้กังวลใจ และExposure and Response Prevention-ERP ร่วมกับใช้ CBT
Body Dysmorphic Disorder
ผู้ป่วยโรคนี้หมกมุ่นอย่างมากว่า บางส่วนของร่างกาย (อย่างน้อย 1 ส่วนขึ้นไป) ของตนเองผิดปกติ มีตําหนิ น่าเกลียด ทั้งที่ผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็น หรือเห็นเพียงเล็กน้อย
การรักษา
ยากลุ่ม SSRIS รวมกับ Clomipramine (เน้นการออกฤทธิ์ต่อ serotonin) และใช้ CBT
Hoarding Disorder
ผู้ป่วยมักทําใจทิ้งสิ่งของในครอบครองได้ลําบากทั้งๆ ที่เป็นของที่ไม่ได้มีคุณค่าเท่าที่ควร
การรักษา
การใช้ยากลุ่ม SSRIS ร่วมกับการทําจิตบําบัดแบบ CBT
Trichotillomania (Hair-Pulling Disorder)
ผู้ป่วยจะถอนผม (หรือขน เช่น ขนคิ้ว ขนตา ขนรักแร้) ของตนซ้ําๆ และเป็นประจําจน ผมบางจนผู้อื่นสังเกตได้
การรักษา
ยากลุ่ม SSRIs, Clomipramine, Lithium ร่วมกับการทํา CBT หรือการทําจิตบําบัดไดนามิกแบบหยั่งรู้ (Insight oriented)
Excoriation (Skin-Picking) Disorder
ผู้ป่วยมีพฤติกรรมแกะเกาผิวหนังซ้ําๆ
การรักษา
เน้นรักษาอาการทางผิวหนัง และมีการทํา CBT ร่วมด้วย บางรายอาจใช้ยากลุ่ม SSRIS เช่น Fluoxetine
กลุ่มโรคที่เกิดจากความกดดันทางจิตใจ (Trauma and stressor-related disorders)
Posttraumatic Stress Disorder: PTSD
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
A. ผู้ป่วยเผชิญหรือถูกคุกคามจากความตาย การบาดเจ็บรุนแรง หรือความรุนแรงทางเพศ อย่างน้อย 1 ข้อ
เผชิญเหตุการณ์โดยตรง
เป็นผู้พบเห็น/เป็นพยานในเหตุการณ์
รับรู้เหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่รัก ครอบครัว หรือเพื่อนสนิท
รับรู้รายละเอียดแย่ๆ ของเหตุการณ์รุนแรงซ้ําๆ หรืออย่างรุนแรง
B. มีอาการในรูปแบบต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ผุดขึ้นมาซ้ําๆ อย่างน้อย 1 อย่างขึ้นไป
ความทรงจําร้ายๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ผุดขึ้นมาซ้ําๆ โดยไม่ตั้งใจ ทําให้เกิดความทุกข์ทรมาน
ฝันร้ายซ้ําๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
มี Dissociative reaction เช่น flashback รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นั้นกลับมาอีกซ้ําๆ
มีความทุกข์ใจเมื่อเจอกับสถานการณ์ที่เป็นสัญลักษณ์หรือคล้ายกับเหตุการณ์นั้น
มีปฏิกิริยาทางร่างกายเมื่อพบกับสถานการณ์ที่เป็นสัญลักษณ์หรือคล้ายกับเหตุการณ์นั้น
C. มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงเมื่อเจอสิ่งเร้าที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์นั้น อย่างน้อย 1 อย่างขึ้นไป
หลีกเลี่ยงหรือพยายามจะหลีกเลี่ยงความทรงจํา ความคิด ความรู้สึกที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
หลีกเลี่ยงสิ่งภายนอกที่ทําให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น เช่น ผู้คน สถานที่ บทสนทนากิจกรรม วัตถุหรือสถานการณ์
D. มีความนึกคิดและอารมณ์เปลี่ยนไปในทางลบหลังเกิดเหตุการณ์ อย่างน้อย 2 อย่างขึ้นไป
ไม่สามารถระลึกถึงส่วนสําคัญของเหตุการณ์นั้น (มักเป็น Dissociative amnesia) และไม่ได้เกิด จากปัจจัยอื่น เช่น การกระทบกระเทือนที่ศีรษะ แอลกอฮอล์ ยาหรือสารเสพติด
มีความเชื่อ และความคาดหวังกับตนเอง คนอื่น และโลกภายนอกในแง่ลบอย่างเกินจริงตลอด
มีความคิดเกี่ยวกับสาเหตุ และผลกระทบของเหตุการณ์นั้นบิดเบือนไปจากความเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้โทษตนเองหรือผู้อื่น
มีสภาวะอารมณ์ทางลบอย่างต่อเนื่อง เช่น กลัว โกรธ อาย รู้สึกผิด
5.ความสนใจหรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆลดลงอย่างมาก
รู้สึกแปลกแยกจากผู้อื่น
ไม่สามารถรู้สึกถึงอารมณ์ทางบวกได้ (เช่น ไม่รู้สึกมีความสุข ไม่ความมีพอใจ ไม่มีความรัก)
E. มีอาการตื่นตัวเปลี่ยนไปอย่างมากหลังประสบเหตุการณ์นั้น อย่างน้อย 2 อย่างขึ้นไป
หงุดหงิด โกรธง่าย และมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อบุคคลอื่นหรือวัตถุซึ่งมักเป็นทางวาจาหรือการกระทํา แม้ไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือมีสิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อย
กระสับกระส่าย มีพฤติกรรมบ้าบิน หรือทําร้ายตนเอง
ระแวดระวังมากไป (hypervigilance)
สะดุ้ง ตกใจง่ายเกินเหตุ
ปัญหาด้านสมาธิ
ปัญหาการนอน (เช่น หลับยาก หลับไม่สนิท นอนไม่เต็มอิ่ม)
H. อาการไม่ได้เป็นจากผลของยาหรือสารเสพติด
G. ทําให้เกิดความทุกข์ทรมานและบกพร่องในหน้าที่ทั้งทางสังคม ความสัมพันธ์ และด้านอื่นๆ
F. มีอาการในข้อ B, C, D, E นานกว่า 1 เดือน
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
ยากลุ่ม SSRIs และยากลุ่ม TCA
เน้นให้กำลังใจ ส่งเสริมให้ระบายความรู้สึก
Acute Stress Disorder
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
A. เหมือนของ PTSD
B. หลังประสบเหตุดังกล่าว มีอาการดังต่อไปนี้เกิดขึ้นหรืออาการแย่ลงตั้งแต่ 9 ข้อขึ้นไปจาก 5 กลุ่มอาการ
อารมณ์ด้านลบ (Negative mood)
ไม่สามารถมีอารมณ์ด้านบวก (เช่น ไม่มีความสุข ไม่พึงพอใจ หรือไม่รู้สึกรัก) ได้เลย
อาการDissociation (Dissociative symptom)
เปลี่ยนแปลงการรับรู้ความเป็นจริงของตัวเองหรือสิ่งที่อยู่รอบตัว เช่น มองเห็นตัวเองจากมุมมองของคนอื่น รู้สึกเวลาช้าลง
จําส่วนสําคัญของเหตุการณ์นั้นไม่ได้ และไม่ได้เกิดจากปัจจัยอื่น เช่น การกระทบกระเทือนที่ศีรษะ แอลกอฮอล์ ยาหรือสารเสพติด
อาการหลีกเลี่ยง (Avoidance Symptom)
พยายามหลีกเลี่ยงความทรงจํา ความคิด ความรู้สึกที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์นั้น
พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าภายนอกที่ทําให้นึกถึงเหตุการณ์นั้น เช่น บุคคล สถานที่ บทสนทนา กิจกรรม วัตถุ สถานการณ์
อาการตื่นตัว (Arousal Symptom)
มีปัญหาการนอน เช่น หลับยาก หรือหลับๆ ตื่นๆ หรือนอนกระสับกระส่าย
หงุดหงิด ระเบิดอารมณ์โกรธง่าย และมีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อบุคคลอื่นหรือวัตถุซึ่งมักเป็นทางวาจา หรือการกระทํา แม้ไม่มีสิ่งกระตุ้นหรือมีสิ่งกระตุ้นเพียงเล็กน้อย
ระแวดระวัง (Hypervigilance)
มีปัญหาด้านสมาธิ
สะดุ้งตกใจง่ายเกิดเหตุ
กลุ่มอาการที่พูดขึ้นมา (Intrusion symptom)
มีความจําเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นที่ทําให้เกิดความทุกข์ทรมาน ผุดขึ้นมาซ้ําๆ อย่างไม่สามารถ ควบคุมได้
มีฝันร้ายซ้ําๆ ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น
มี Dissociative reaction เช่น flashback รู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์กําลังเกิดขึ้นซ้ําๆ
มีความทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างรุนแรง ต่อเนื่องยาวนานเมื่อเผชิญกับสิ่งที่กระตุ้นให้นึกถึงเหตุการณ์
C. มักมีอาการทันทีหลังเผชิญเหตุการณ์ และมีความผิดปกตินานอย่างน้อย 3 วันจนถึง 1 เดือน
D. ทําให้เกิดความทุกข์ทรมานและบกพร่องในหน้าที่ทั้งทางสังคม ความสัมพันธ์ และด้านอื่นๆ
H. อาการไม่ได้เป็นจากผลของยาหรือสารเสพติดหรือโรคทางกาย และไม่ได้เป็นจากโรค Brief Psychotic Disorder
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
ยากลุ่ม SSRls และอาจมีการใช้ยากลุ่ม TCA ยากลุ่มคลายกังวล
เน้นการให้กําลังใจ ส่งเสริมให้ได้ระบายความคิด ความรู้สึกเกี่ยวกับ เหตุการณ์ที่เผชิญ ให้หลีกเลี่ยงการลงรายละเอียดของเหตุการณ์
Disinhibited Social Engagement Disorder
เด็กไม่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างเหมาะสมในวัยเด็ก พบว่า High child-to-Caregiver ratio (เช่น ในสถาน เลี้ยงเด็ก)
เด็กจะชอบเข้าหาและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่ตนไม่ได้คุ้นเคย หรือคนแปลกหน้า
Adjustment Disorders
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
A. มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์หรือพฤติกรรม เพื่อตอบสนองต่อปัจจัยกดดันที่ปรากฏชัดเจน (หนึ่ง ปัจจัยหรือมากกว่า) โดยมีอาการภายใน 3 เดือนหลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
B. อาการดังกล่าวส่งผลให้ผู้ป่วยมีปัญหาต่อไปนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
มีอาการตึงเครียดมากเกินไปเมื่อเทียบกับความรุนแรงของปัจจัยกดดัน ทั้งนี้โดยพิจารณาถึงบริบทของเหตุการณ์และปัจจัยด้านวัฒนธรรมที่อาจส่งผลต่อความรุนแรงและลักษณะอาการร่วมด้วย
มีปัญหาทางด้านกิจกรรมเกี่ยวกับสังคม หน้าที่การงาน การเรียน หรือหน้าที่อื่นๆ อย่างชัดเจน
C. อาการดังกล่าวต้องไม่เข้าเกณฑ์การวินิจฉัยโรคทางจิตเวชอื่นๆ หรือไม่ได้เป็นอาการกําเริบของโรคจิต เวชที่เป็นอยู่
D. อาการดังกล่าวไม่ใช่ภาวะโศกเศร้าเสียใจจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก (Bereavement)
E. เมื่อความเครียดดังกล่าวผ่านพ้นไป ผู้ป่วยมีอาการอยู่นานไม่เกิน 6 เดือน
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
ให้ยาตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวลสูง พิจารณาให้ยาคลาย กังวลหรือยาต้านเศร้า
เน้นการดูแลด้านจิตใจและสังคมเป็นสิ่งที่สําคัญที่สุด มีการวางแผนการช่วยเหลือ การรักษาด้านจิตใจเพื่อช่วยลดอาการทางจิตเวชต่างๆ
Reactive Attachment Disorder
เด็กมีปัญหาในการสร้างสัมพันธภาพหรือผูกผันกับผู้อื่นในอนาคต
เด็กที่เคยมีประสบการณ์ถูก ปล่อยปะละเลย ไม่ได้รับการดูแลหรือตอบสนองที่เหมาะสม หรือมีปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้เลี้ยง
กลุ่มโรคความผิดปกติทางกายที่เกิดจากจิตใจ (Somatic symptom and related disorders)
Conversion Disorder (Functional Neurological Symptom Disorder)
มีอาการผิดปกติทางร่างกาย 1 อย่าง หรือมากกว่าเกี่ยวกับการทํางานของระบบกล้ามเนื้อที่จิตใจบังคับ ได้ หรือระบบประสาทรับความรู้สึกทําให้เกิดอาการคล้ายกับโรคระบบประสาทหรือโรคทางกาย
อาการไม่ได้เป็นไปตามลักษณะทางกายวิภาคหรือสรีรวิทยา แต่เป็นไปตามความคิดของผู้ป่วย
การทําให้ผู้ป่วยหายจากอาการโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด Secondary gain
Psychological Factors Affection Other Medical Conditions
แนวทางในการรักษาจึงมีเป้าหมายที่จะช่วยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนพฤติกรรม ไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาฃมีการใช้หลักการของ CBT มาใช้เพื่อช่วยเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถ จัดการกับความเครียดต่างๆ ในชีวิตได้ดีขึ้น โดยเน้นการเข้าใจความคิด การตีความและการรับรู้ต่อเหตุการณ์ ความเครียดและประเมินศักยภาพในการแก้ปัญหาของตนเองได้อย่างเหมาะสมและเป็นไปในทิศทางบวก การฝึก
illness Anxiety Disorder
ผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง (นานเกิน 6 เดือน) ปกติไม่พบอาการทางกาย ถ้าพบก็จะ ไม่รุนแรง
การรักษา มุ่งเน้นให้ผู้ป่วยมีความรู้และทักษะในการจัดการความเครียด สอนให้ผู้ป่วย ปรับตัวกับโรคเรื้อรังได้ สามารถดําเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ
Factitious Disorder
Factitious Disorder Imposed on Another (แบบที่ทําผู้อื่น)
กลุ่มนี้แกล้งทําความเจ็บป่วยให้ผู้อื่นซึ่งมักจะเป็นเด็กเล็ก
การรักษากลุ่มนี้คือการลดความเสี่ยงที่จะทําให้ถึงชีวิตหรือเกิดการเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น
Factitious Disorder Imposed on Self (แบบที่ทําตนเอง)
กลุ่มนี้แสร้งทําอาการทางกาย
Somatic Symptom Disorder
เกณฑ์การวินิจฉัยของ DSM 5
A. มีอาการทางกายตั้งแต่ 1 อาการขึ้นที่เป็นผลให้เกิดปัญหาต่อการใช้ชีวิตประจําวันตามปกติของผู้ป่วย
B. มีปฏิกิริยาตอบสนองด้านความคิด อารมณ์ พฤติกรรมต่ออาการทางกายหรือกังวลเกี่ยวกับสุขภาพที่ เป็นผลจากอาการทางกายนั้นมากเกินไป โดยแสดงออกในรูปแบบหนึ่งแบบใด ดังต่อไปนี้
คิดอย่างต่อเนื่องและไม่สมเหตุผลเกี่ยวกับความรุนแรงของอาการทางกายนั้น
มีความวิตกกังวลสูงอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสุขภาพของตนหรืออาการนั้น
ทุ่มเทเวลาและกําลังเป็นอย่างมากไปกับอาการหรือปัญหาสุขภาพที่กังวลเกี่ยวกับอาการนั้น
C. ถึงแม้ว่าอาการทางกายนั้นไม่จําเป็นต้องมีอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา แต่ปฏิกิริยาตอบสนองที่ผิดปกติ ต่ออาการทางกายนั้นต้องคงอยู่อย่างต่อเนื่อง (มากกว่า 6 เดือน)
การรักษาและการช่วยเหลือดูแล
เน้นการใช้ยาทางจิตเวชาเฉพาะเท่าที่จําเป็น กรณีจําเป็นต้องให้ยาร่วมด้วยมักจะ ใช้ยากลุ่มคลายกังวล หรือยาต้านเศร้า
นิยมใช้ CBT และการทําจิตบําบัตระยะสั้น
นางสาวสิริกัญญา จำอินถา 6031901092
Psychiatric Nursing with emotional and moods disorders patients