Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) นางสาวพรรณวิภา วงค์ตาพรม เลขที่ 29…
โรคข้อเข่าเสื่อม
(Osteoarthritis)
นางสาวพรรณวิภา วงค์ตาพรม เลขที่ 29 ห้อง B
โรคข้อเข่าเสื่อม
คือ ภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเข่า มีการสึกหรอและเสื่อมอย่างช้าๆ และจะเป็นมากขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการปวดเข่า เข่าบวม ข้อยึดติด มีเสียงดังในเข่า เข่าผิดรูปไม่สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ
โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง ปัญหาปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ง่าย
สาเหตุหลักของโรคข้อเข่าเสื่อม
เป็นผลจากความเสื่อม และการใช้เข่าที่ไม่ถูกต้องมานาน
ความอ้วน น้ำหนักตัวมากๆ ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น
เคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณเข่ามาก่อน เช่น กระดูกบริเวณเข่าหัก, ข้อเข่าเคลื่อนหลุด, เส้นเอ็นฉีกขาด หรือหมอนรองเข่าฉีกขาด
โรคข้ออักเสบ เช่น โรคเก๊าท์ หรือโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นต้น
อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม
โรคข้อเข่าเสื่อมเป็นโรคที่พบในผู้ป่วยสูงอายุ แต่ผู้ป่วยที่มีโรคข้อเรื้อรังเช่นโรครูมาตอยด์ โรคเกาต์ หรือผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุที่ข้อเข่า ก็อาจจะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมในขณะที่อายุยังไม่มาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงจะมีโอกาสเป็นข้อเสื่อมได้มากกว่าผู้ชาย เนื่องจาก ความ แข็ง แรงของกระดูกและกล้ามเนื้อน้อยกว่าผู้ชาย
มีเสียงในข้อ เมื่อเคลื่อนไหวผู้ป่วยจะรู้สึกมีเสียงในข้อและปวดเข่า
อาการบวม ถ้าข้อมีการอักเสบก็จะเกิดข้อบวม
ข้อเข่าโก่งงอ อาจจะโก่งด้านนอกหรือโก่งด้านใน ทำให้ขาสั้นลงเดินลำบากและมีอาการปวดเวลาเดิน
ข้อเข่ายึดติด ผู้ป่วยจะไม่สามารถเหยียดหรืองอขาได้สุดเหมือนเดิมเนื่องจากมีการยึดติดภายในข้อ
ปัจจัยที่ทำให้เกิดข้อเสื่อม
อายุ อายุมากมีโอกาสเป็นมากเนื่องจากอายุการใช้งานมาก
เพศหญิงจะเป็นโรคเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชาย 2 เท่า
น้ำหนัก ยิ่งน้ำหนักตัวมากข้อเข่าจะเสื่อมเร็ว
ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและได้รับแคลเซียมในปริมาณที่พอเพียงจะชะลอการเสื่อมของเข่า
วิธีการรักษา
การรักษาทั่วไป
1.ควบคุมไม่ให้อ้วนเกินไป โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย
2.บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นให้แข็งแรง (วิธีการบริหารดูในการออกกำลังกาย)
3.ลดการใช้งานข้อนั้นในท่าที่ผิดจากธรรมชาติ เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ คุกเข่าและการนั่งขัดสมาธินานเกินไป เป็นต้น
4.ขณะที่มีอาการปวด ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะอักเสบของข้อ แล้วเริ่มทำกายภาพบำบัดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
5.ควรหลีกเลี่ยงการนั่งกับพื้น เช่น การนั่งพับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิและนั่งยองๆ ควรนั่งเก้าอี้ห้อยขา หรือนั่งเหยียดขาตรง อย่านั่งนานๆ ควรเปลี่ยนอริยาบถบ่อยๆ และควรใช้โถส้วมแบบนั่งแทนแบบนั่งยองๆ
การรักษาโดยการใช้ยา
1.ยาแก้ปวด เป็นยาลดอาการปวดแต่ไม่ได้แก้อาการอักเสบ พอหมดฤทธิ์ยาก็ปวดอีก เช่นยา paracetamol
2.ยาแก้อักเสบ steroid เมื่อสมัยก่อนนิยมใช้กันมากทั้งชนิดรับประทานและชนิดฉีดเข้าข้อ แต่ปัจจุบันความ นิยม ลดลงเนื่องจากผลข้างเคียง โดยเฉพาะยาที่ฉีดเข้าข้อจะทำให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
3.ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่ steroid ยากลุ่มนี้นิยมใช้กันมากขึ้น แต่ต้องระวังการเกิดภาวะโรคแทรกซ้อน
4.ยาบำรุงกระดุกอ่อน ได้ผลช้าและใช้ค่าใช้จ่ายสูงจึงไม่เป็นที่นิยม
5.การใช้น้ำหล่อเลี้ยงข้อชนิดเทียม เนื่องจากโรคข้อเสื่อมจะมีน้ำหล่อเลี้ยงข้อน้อยทำให้มีการเสียดสีของข้อ จึงได้ มีการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อเทียมเข้าไปในเข่า 3-5 ครั้งแต่ละครั้งห่างกัน 1 สัปดาห์ซึ่งจะทำให้ลดการเสียดสีของข้อ ลดอาการปวด แต่การฉีดนี้ใช้ได้เฉพาะข้อที่เสื่อมไม่มาก ค่าใช้จ่ายสูงพอสมควร ได้ผลชั่วคราว
การรักษาโดยการผ่าตัด
1.การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง (arthroscope) เหมาะสำหรับข้อที่เสื่อมไม่มาก แพทย์จะเข้าไปเอาสิ่งสกปรก ที่เกิดจาก การ สึก ออกมา
2.การผ่าตัดแก้ความโกงงอของเข่า เป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนแนวแรงที่ลงข้อเข่าให้ดีขึ้น ข้อเข่ากระดูกอ่อนจะต้องอยู่ในสภาพที่ดีพอสมควร จึงจะใช้วิธีนี้ได้
3.การผ่าตัดใส่ข้อเข่าเทียม คือการใส่ข้อเข่าเทียมเข้าแทนข้อที่เสื่อม ซึ่งผลการผ่าตัดทำให้หายปวด ผู้ป่วยใช้ ชีวิตได้ดีขึ้น การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมวิธีเนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อยนี้เป็นวิธีผ่าตัดล่าสุดในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งต่างจากการผ่าตัดวิธีดั้งเดิม คือแผลผ่าตัดจะมีขนาดเล็กลง จากเดิมแพทย์ต้องเปิดปากแผลยาวประมาณ 8-10 นิ้ว แต่วิธีใหม่จะทำให้แผลผ่าตัดยาวเพียง 4-6 นิ้ว ซึ่งกล้ามเนื้อบริเวณรอบข้อเช่าจะบอบซ้ำน้อยเพราะเลี่ยงการผ่าผ่านกล้ามเนื้อและผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บแผลจากการผ่าตัดน้อยลง ซึ่งจะเสียเลือดจากการผ่าตัดน้อยด้วย รวมทั้งแผลเป็นก็จะมีขนาดเล็ก ส่งผล ให้ผู้ป่วยใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาลสั้นลง และกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้เร็วขึ้น
การพยาบาล
ให้ข้อที่อักเสบได้พักมากๆ โดยอาจจะจำกัดเรื่องการเคลื่อนไหวข้อที่อักเสบรุนแรงและมีอาการปวด
ดูแลให้ผู้ป่วยใช้เครื่องกายอุปกรณ์อย่างถูกต้อง และเวลาที่ใส่อย่างเหมาะสม เช่น ใส่เมื่อทำงานหรือเดินทาง
ประคบด้วยความร้อนที่บริเวณข้อที่ปวด เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว และหลังการประคบ ควรดูแลให้ผู้ป่วยได้มีการบริหารกล้ามเนื้อและข้อ
ควรหลีกเลี่ยงอากาศที่เย็นในที่มีอากาศเย็นควรใส่ถุงมือเพื่อความอบอุ่น
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาบรรเทาอาการปวด และยาต้านการอักเสบ ตามแผนการรักษา พร้อมทั้งสังเกตอาการข้างเคียงของยา
กลไกลการเกิดโรค
ออสติโออารไธรติส จะมีการเปลี่ยนแปลงที่กระดูกอ่อนผิวข้อและกระดูกธรรมดา แต่มีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อรอบข้อน้อย การเสื่อมสภาพที่กระดูกอ่อนผิวข้อเป็นพยาธิสภาพที่เกิดก่อนและผลที่ตามมา คือ การงอกของกระดูกที่ขอบข้อ และตรงที่กระดูกอ่อนกร่อน
เริ่มแรกกระดูกอ่อนผิวข้อจะมีลักษณะคล้ายกระดูกอ่อน (chondroitin) ซัลเฟตน้อย เมื่อเทียบกับคอลาเจน (callagen) ของสารพื้น การเสียโปลีย์แซคคาไรด์ (polysaccharride) จากพื้นกระดูกอ่อนทำให้เสียความยืดหยุ่น และเมื่อคนไข้เดินลงน้ำหนัก กระดูกอ่อนจะแตก กระดูกอ่อน ซึ่งสภาพปกติจะเรียบและใสจะกลายเป็นทึบ ต่อมาบริเวณนั้นจะขรุขระและอ่อนตัว กระดูกอ่อน กร่อนและแตกเป็นร่อง และเสียไปจนเห็นชั้นกระดูกที่อยู่ชั้นใต้ที่ซึ่งกระดูกอ่อนผิวข้อบางไฟโบรบล้าสจะออกใต้กระดูกอ่อนและเกิดกระดูกใหม่ ซึ่งเห็นในภาพรังสีเป็นรอยทึบของชั้นใต้กระดูกอ่อนทราบีคูลี่ใต้คอร์เทกซ์หนาด้วย อาจเห็นถุง (Cyst) ชั้นใต้กระดูกอ่อน ซึ่งมีเนื้อเยื่อไฟโบรบล้าสอยู่ การงอกของกระดูกจากเยื่อหุ้มกระดูกเกิดขึ้นที่ข้อเอ็นของข้อ และที่เกาะของเอ็นกล้ามเนื้อ ทำให้เป็นเดือยหรือสันกระดูกยื่นออกไป เรียกว่า ออสตีโอฟัยท์
การวินิจฉัยทางการพยาบาล
1.ซักประวัติและตรวจร่างกายโดยเน้นทีการตรวจข้อเข่าซึ่งอาจจะพบลักษณะที่สำคัญคือ ข้อบวม หรือขนาดข้อใหญ่และมีการงอของข้อเข่า
2.การถ่ายภาพรังสี ก็จะพบว่าช่องว่างระหว่างกระดูกเข่าแคบลงซึ่งหมายถึงกระดูกอ่อนมีการสึกหรอ หากสึกมากก็ไม่พบช่องว่างดังกล่าว
3.การเจาะเลือด การเจาะเลือดเพื่อวินิจฉัยแยกโรคที่อาจจะเป็นสาเหตุของโรคปวดเข่าเรื้อรังเช่น โรคเกาต์ หรือโรครูมาตอยด์
4.การตรวจน้ำหล่อเลี้ยงเข่า ในกรณีที่เข่าบวมแพทย์จะเยาะเอาน้ำหล่อเลี้ยงเข่าออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทัศน์
5.การตรวจความหนาแน่นของกระดูก เป็นการตรวจหาโรคกระดูกพรุน
6.การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม
เช่น
ไม่สุขสบาย เนื่องจากมีอาการเจ็บปวดบริเวณข้อที่มีพยาธิสภาพ
การเคลื่อนไหวของข้อได้น้อยเนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง
มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไป เนื่องจากขาดความรู้เกี่ยวกับโรค และการรักษาพยาบาล