Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
กรณีศึกษานายนที, image, image, image, image - Coggle Diagram
กรณีศึกษานายนที
นายนที :four_leaf_clover:
อายุ 22 ปี
อาการสำคัญ:four_leaf_clover:
มีอาการปากบวม
เสียงแหบ 15 นาที ก่อนมาโรงพยาบาล
ประวัติเจ็บป่วยปัจจุบัน :four_leaf_clover:
หลังรับประทานหมูกระทะ 30 นาทีมีอาการคันตามตัว
15 นาทีก่อนมามีอาการปากบวมเสียงแหบ
หนังตาบวมแดง
ริมฝีปากและลิ้น บวม เสียงแหบ
ฟังได้ยินเสียง Stridor ขณะหายใจออก เสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติเจ็บป่วยในอดีต :four_leaf_clover:
ปฏิเสธโรคประจำตัวปฏิเสธการแพ้ยาและสารอาหาร
อาการแรกรับ :four_leaf_clover:
รู้สึกตัวดี
ปากบวม
ตาแดง
มีผื่นคันตามตัวเสียงแหบ
หายใจมีเสียง Stridor
ค่า oxygen-satuiation = 95 %
T= 37.5 ºC
HR= 120 ครั้ง/นาที
BP=80/50 mmHg.
การรักษา :four_leaf_clover:
0.9% Nacl ปริมาณ 500 CC ใน 1 ชั่วโมง
Adrenaline 1:1000 0.5 ml IM
Dexamethasone 5 mg. IV
ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ :four_leaf_clover:
WBC=11,000 cu.mm
Nuetrophil=70
Lymphocyte=14
Eosinophi=2
Monocyte =6
Basophil=8
Platelet=250,000
Hct.=45%
พยาธิสภาพและกลไก การเกิดโรค Anaphylaxis :pill:
เป็นอาการแพ้ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน :pill:
แอนติเจน (antigen)
แอนติบอดี (antibody) ชนิด (Immunoglobulin ; IgE)
ผู้ป่วยมักเสียชีวิตด้วยสาเหตุ จากทางเดินหายใจอุดกั้นหรือหลอดเลือดแฟบ
พยาธิสภาพ :pill:
ปฏิกิริยาแพ้แบบ anaphylaxis เกิดจากการกระตุ้นผ่านปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน (immunologic mechanism)
อาจเกิดจากการกระตุ้นผ่าน mast cell โดยตรงซึ่งการกระตุ้นผ่านปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกัน
แบบผ่าน IgE (IgE - mediated)
ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ ้(antigen) ไปกระตุ้นให้ B-cell สร้างภูมิคุ้มกันชนิด IgE
จับอยู่บริเวณผิวเซลล์ของ mast cell และ basophil
เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้เป็นครั้งที่สอง antibody ที่จำเพาะอยู่บนผิวเซลล์จะเข้ามาจับกับ antigen ทันที
histamine ซึ่งอยู่ภายในแกรนูลของmast cell ถูกหลั่งออกมาและมีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย
ไม่ผ่าน IgE (non -IgE - mediated
มีผลต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย :pill:
ระบบหัวใจและหลอดเลือด
ทำให้เกิดหลอดเลือดขยาย การไหลของเลือดเร็วขึ้นมีผลเพิ่ม permeability ส่งผลให้ความดันเลือดต่ำ หน้ามืด ช็อก หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ระบบทางเดินอาหาร
ทำให้มีการหลั่งของของเหลวในระบบทางเดินอาหารและเพิ่มกระบวนการ peristalsis ของลำไส้
ส่งผลอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน
ระบบทางเดินหายใจ
ทำให้มีการหลั่งสารคัดหลั่งในระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น
หลอดลมเกิดการหดเกร็ง หายใจมีเสียงหวีดจากหลอดลมตีบตัน หรือเกิดการเขียวคล้ำเนื่องจากร่างกายรับออกซิเจนไม่เพียงพอ
ระบบผิวหนัง
เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังและเยื่อเมือก ทำให้เกิดอาการคัน
ผื่นลมพิษ
หน้าแดง
เยื่อบุตาแดง
น้ำตาไหล
angioedema
กลไกการเกิดของปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงชนิด :pill:
เกิดจากการสัมผัสสารที่กระตุ้น ให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้จากภายนอกร่างกาย
กระตุ้นให้มีการสร้าง IgE ที่เฉพาะเจาะจงกับสารนั้น ขึ้นในร่างกาย
IgE ที่สร้างขึ้นมานี้จะไปจับกับ mast cells และเม็ดเลือดขาวชนิดเบโซฟิลล์ (basophils)
เมื่อมีการสัมผัสกับสารนั้น
สารนั้นจะ ไปจับกับ IgE ที่เฉพาะเจาะจงที่อยู่บน mast cells และ basophils
มีการปล่อยสาร
histamine
tryptase
carboxypeptidase A
proteoglycan
สารที่สร้างก่อให้เกิดอาการ อักเสบของร่างกาย
arachidonic acid metabolite
platelet activating factor
cytokine
ก่อให้เกิดอาการ และอาการแสดงต่างๆ
ความรุนแรงตามการแบ่งแยกของ Ring และ Messmer5,8 :pill:
มีอาการที่ระดับผิวหนัง มีผื่นลมพิษ ผื่นแดงที่ผิวหนัง
มีอาการที่อวัยวะหลายระบบ คือ ทางผิวหนังร่วมกับระบบอื่นเช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจหอบเหนื่อย มีอาการทาง ระบบทางเดินอาหาร
มีอาการระดับที่เสี่ยงจนถึงชีวิตได้ เช่น ความดันโลหิตตกรุนแรง หัวใจเต้นผิดจังหวะ รุนแรง หลอดลมตีบ
หัวใจหยุดเต้นหรือหยุดหายใจ
สาเหตุการเกิด Anaphylaxis :ear_of_rice:
Immunologic mechanisms ชนิด IgE-dependent :ear_of_rice:
aeroallergen
occupational allergen
allergen immunotherapy
radiocontrast media
อาหาร
อาหารทะเล
นม ไข่และแป้งสาลี
ยาปฏิชีวนะ
ยาในกลุ่ม beta- lactams
penicillin,
cephalosporin
sulfonamides
quinolones
macrolides
แมลง
แมลงตระกูล Hymenoptera
Immunologic mechanisms ชนิด IgE-independent :ear_of_rice:
NSAIDs
radiocontrast media
monoclonal antibodies
protamine
immunoglobulin
albumin
dextrans
Non-immunologic mechanisms :ear_of_rice:
ethanol
ยาในกลุ่ม opioids
ปัจจัยทางกายภาพ
การออกกำลังกาย
ความร้อน
ความเย็น
แสงแดด
. Idiopathic anaphylaxis :ear_of_rice:
การตรวจเพิ่มเติมไม่บ่งบอกสาเหตุ
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดของ anaphylaxis :cactus:
อายุ :cactus:
anaphylaxis มีความรุนแรงในผู้ใหญ่มากกว่าเด็กโดยเฉพาะในกลุ่มที่แพ้แมลงต่อย
ในเด็กและวัยรุ่น พบอาหารเป็นสาเหตุของ anaphylaxis ได้มาก
ในผู้ใหญ่พบว่ายาและแมลงกัดต่อยเป็นสาเหตุที่สำคัญ
โรคประจำตัว :cactus:
โรคหัวใจโรคทางเดินหายใจและโรคหืด โดยเฉพาะกลุ่มที่ควบคุมอาการได้ไม่ดี
มีการใช้ยาขยายหลอดลมในกลุ่ม B2-agonist ที่ออกฤทธิ์สั้นบ่อยครั้งเกินไป เป็นผลให้มีการตอบสนองต่อ epinephrine ลดลง
โรคที่อาจทำให้บอกอาการได้ช้าลง
โรคทางจิตเวช
ความบกพร่องของระบบประสาทการเห็นการได้ยินและพัฒนาการ
ยาที่ผู้ป่วยใช้ :cactus:
บอกอาการของภาวะ anaphylaxis ได้ช้าลง
generation H1-antihistamine
antidepressant และยานอนหลับ
ยาที่ทำให้ anaphylaxis เกิดขึ้นรุนแรง
B-blocker, ACE inhibitor และ angiotensin Il receptor blocker
ยาในกลุ่ม opioid จะเสริมกับยาในกลุ่ม muscle relaxant
ยาต้านจุลชีพในการทำให้เกิด anaphylaxis
ปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิด anaphylaxis :cactus:
การออกกำลังกาย
การติดเชื้อ
ความเครียด
ภาวะก่อนมีประจำเดือน
การได้รับ alcohol หรือ aspirin ร่วมกับการออกกำลังกาย
การติดเชื้อสามารถเพิ่มความรุนแรงของการแพ้อาหารได้
แผนการพยาบาล :female-doctor:
เกิดภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากมีการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน :female-doctor:
ข้อมูลสนับสนุน :tropical_fish:
S
15 นาที ก่อนมาโรงพยาบาล มีอาการ ปากบวม เสียงแหบ หนังตาบวมแดง ริมฝีปากและลิ้นบวม
O
ค่า O2Sat =95 %
หายใจมีเสียง Stridor
สัญญาณชีพ
T= 37.5 ºC
HR= 120 ครั้ง/นาที
BP=80/50 mmHg
จุดมุ่งหมายการพยาบาล :tropical_fish:
ไม่เกิดภาวะพร่องออกซิเจน ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ
เกณฑ์การประเมินผล :tropical_fish:
. ไม่มีอาการของภาวะพร่องออกซิเจนเช่น หายใจหอบเหนื่อย ปลายมือปลายเท้าเขียวลักษณะการหายใจปกติ ไม่มีการหายใจเร็วแรง ลึก ไม่แสดงสีหน้าอ่อนเพลีย
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BP 120/80 mmHq
P 60-100 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/นาที
T = 37 ±0.5 องศาเซลเซียส
O2 saturation > 95%
capillary refill ปกติใน 2 วินาที
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล :tropical_fish:
ประเมินอาการเบื้องต้น airway breathing circulation ประเมินสัญญาณชีพโดยเฉพาะลักษณะการหายใจว่ามี การหายใจเร็วและแรงขึ้น หายใจลำบาก มีการใช้กล้ามเนื้อคอและไหล่ช่วยในการหายใจ สีหน้าอ่อนเพลีย หรือไม่
ถ้ามีทางเดินหายใจอุดกั้น ให้เตรียมจัดท่าผู้ป่วย Head tilt-chin lift maneuver เป็นการเปิดทางเดินหายใจด้วยท่าเชยคางร่วมกับกดหน้าผาก ทำโดยใช้ฝ่ามือของ มือข้างหนึ่งวางบนหน้าผากของผู้ป่วย กดลงเพื่อให้ศีรษะแหงนไปทาง ด้านหลัง พร้อมกับใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมืออีกข้างหนึ่งวางใต้กระดูก ปลายคาง แล้วดันปลายคางให้ยกขึ้น ต้องระวังอย่าให้นิ้วที่ดันกระดูก ปลายคางไปดันส่วนที่เป็นเนื้อใต้คางเพราะจะทำให้ทางเดินหายใจถูก อุดกั้นมากขึ้น วิธีนี้จะทำให้คอของผู้ป่วยยืดออกได้มากที่สุดและช่วยให้ขากรรไกรล่างถูกดันมาด้านหน้าพร้อม กับกระดูก hyoid ซึ่งจะดึงลิ้นและฝาปิดกล่องเสียงให้ลอยขึ้นมา ผ่านทางกล้ามเนื้อ geniohyoid และ hyoepiglottic ligament นอกจากนี้อาจเปิดทางเดินหายใจโดยการทำ head tilt เพียงอย่างเดียว หรือใช้มืออีก ข้างหนึ่งช่วยยกท้ายทอยให้สูงกว่าไหล่ประมาณ 1 – 4 นิ้ว (head tilt-neck lift) ซึ่งคล้ายกับการจัดท่า sniffing
เตรียมอุปกรณ์เพื่อที่จะให้แพทย์ทำการใส่ท่อช่วยหายใจ (airway) เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง เช่น ออกซิเจนและอุปกรณ์ช่วยการหายใจ,Laryngoscope,ท่อช่วยหายใจ,เครื่องดูดเสมหะ,ยาเพื่อการใส่ท่อช่วยหายใจ เช่น ยาลดความวิตกกังวล ยานำสลบ ยาหย่อนกล้ามเนื้อ ยาระงับปวดและยาดมสลบ เป็นต้น
หลังจากใส่ท่อช่วยหายใจท่านอนศีรษะสูงเพื่อให้กระบังคมเคลื่อนต่ำลง ปอดขยายตัวได้เต็มที่เพิ่มพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนก๊าซ ดูแลให้ผู้ป่วยพักผ่อนบนเตียงเพื่อช่วยลดการใช้ออกซิเจนในการทำกิจกรรม ช่วยลดอาการเหนื่อยอ่อนเพลีย
ฝึกให้ผู้ป่วยบริหารการหายใจได้ถูกต้อง (Deep Breathing Exercisa)สอนสาธิตให้หายใจเข้าออกลึกๆ ช้า ๆ และปฏิบัติทุก 1-2 ชั่วโมง ส่งเสริมให้ถุงลมปอดขยายตัวได้เต็มที่ แลกเปลี่ยนก๊าซได้ดีขึ้น และแนะนำให้ ผู้ป่วยหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลม
ดูแลให้ได้รับออกซิเจน ตามแผนการรักษาของแพทย์ เพื่อเพิ่มปริมาณ ออกซิเจนให้กับผู้ป่วย
เฝ้าระวังภาวะพร่องออกซิเจนโดยติดตามค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด อัตราการหายใจ ชีพจร สีของเล็บ ปลายมือปลายเท้า เยื่อบุผิวหนัง ลักษณะการซีด เขียวอย่างน้อยทุก 4 ชั่วโมง
อาจเกิดภาวะช็อก เนื่องจากปฏิกิริยาแพ้อย่างรุนแรง :female-doctor:
ข้อมูลสนับสนุน :tropical_fish:
S
ตาแดง
เสียงแหบ
มีอาการคันตามตัว
ปาก ริมฝีปาก และลิ้นบวม
O
ฟังได้ยินเสียง Stridor
BP= 80/50 mmHg
HR = 120 ครั้ง/นาที
O2sat 95%
Lymphocyte=14
Basophil=8
เกณฑ์การประเมินผล :tropical_fish:
ไม่มีอาการคันตามตัว
ไม่มีเสียงแหบ
ปาก ริมฝีปาก และลิ้นไม่บวม
ไม่มีอาการตาแดง
ไม่ได้ยินเสียง Stridor
สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
BP 120/80 mmHq
P 60-100 ครั้ง/นาที
อัตราการหายใจอยู่ในช่วง 16-24 ครั้ง/นาที
T = 37 ±0.5 องศาเซลเซียส
O2 saturation > 95%
Lymphocyte 25-40 %
Basophil 0-1 %
จุดมุ่งหมายการพยาบาล :tropical_fish:
ไม่เกิดภาวะช็อก
กิจกรรมการพยาลและเหตุผล :tropical_fish:
ประเมินอาการของภาวะช็อกโดยประเมินความรู้สึกตัว เช่น ซึมลง เหงื่อออก ตัวเย็น
บันทึกสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง อย่างน้อย ทุก 15 นาที หรือ ทุก 1-2 ชม.จนกว่าสัญญาณชีพจะคงที่ เพื่อประเมินภาวะช็อก
จัดท่านอนศีรษะต่ำปลายเท้าสูง 15 องศา เพื่อเพิ่มการไหลเวียนกลับของเลือดกลับเข้าสู่หัวใจมากขึ้น
ให้สารน้ำทดแทนตามแผนการรักษาของแพทย์ 0.9% Nacl ปริมาณ 500 CC ใน 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดไหลเวียนไปสู่อวัยวะส่วนปลายที่ได้ผลดีที่สุด หลังจากให้สารน้ำ 30 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในเวลา 2-3 ชั่วโมงแรก ผู้ป่วยยังอยู่ในภาวะช็อก ความดันโลหิตต่ำ อาจให้พิจารณาเพิ่มความดันโลหิต โดยการให้ยากระตุ้นหลอดเลือดเพื่อเพิ่มความดันโลหิตแก่ผู้ป่วย
หลังจากประเมินหลังการให้ Adrenaline แล้วผู้ป่วยอาการยังไม่ดีขึ้น ตอบสนองไม่ดี ควรรายงานแพทย์ เพื่อพิจารณาให้ Adrenaline 1:1000 0.5 ml IM ซ้ำ ในกรณีที่คนไข้มีอาการดีขึ้น สังเกตอาการ และเฝ้าระวัง late phase reaction.
ให้ Adrenaline 1:1000 0.5 ml IM Dexamethasone 5 mg.IV ตามแผนการรักษาของแพทย์
หลังจากให้ยา Adrenaline 1:1000 0.5 ml IM ไปแล้ว 5-15 นาที ติดตามการตอบสนองของผู้ป่วย และวัดสัญญาณชีพทุก 5 นาทีติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (monitor EKG) และเฝ้าระวังภาวะarrhythmias (หัวใจเต้นผิดจังหวะ) เนื่องจาก epinephrine มีฤทธิ์กระตุ้นทั้ง alpha และ beta adrenergic receptor ทำให้หลอด เลือดหดตัวและลดการรั่วของสารน้ำจากหลอดเลือด (vascular permeability) จึงส่งผลให้การรักษาระดับความดันโลหิตดีขึ้นรวมทั้งช่วยลดอาการบวมของทางเดินหายใจส่วนการกระตุ้น beta-1 adrenergic receptor จะมีฤทธิทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและเพิ่มการบีบตัวของหัวใจ
ดูแลใส่สายสวนปัสสาวะ เพื่อวัดปริมาณปัสสาวะ ของผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอย่างต่อเนื่อง หากพบว่าผู้ป่วยทีปัสสาวะมากกว่า 0.5 มิลลิลิตรต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อชั่วโมงอย่างต่อเนื่องนานกว่า 2-3 ชั่วโมงติดต่อกัน ถือว่าผู้ป่วยมีการไหลเวียนโลหิตไปสุ่อวัยวะส่วนปลายเพียงพอ
ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด ประเมินความรู้สึกตัวของผู้ป่วย หากผู้ป่วยซึมลง สับสน อัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อประเมินภาวะช็อก
เกิดผื่นคันเนื่องจากการแพ้ :female-doctor:
ข้อมูลสนับสนุน :tropical_fish:
S
ปาก ริมฝีปาก และลิ้นบวม
ตาแดง
เสียงแหบ
มีอาการคันตามตัว
O
หายใจมีเสียง Stridor
ค่า O2Sat =95 %
สัญญาณชีพ
T= 37.5 ºC
HR= 120 ครั้ง/นาที
BP=80/50 mmHg
จุดมุ่งหมายการพยาบาล :tropical_fish:
บรรเทาอาการผื่นคัน
เกณฑ์การประเมิน :tropical_fish:
ผื่นคันลดลง
ไม่มีอาการคัน
ริมฝีปากและลิ้นไม่มีอาการบวม
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล :tropical_fish:
ประเมินและดูแลทำความสะอาดผิวหนังเพื่อลดอาการผื่นคัน
แนะนำให้ผู้ป่วยตัดเล็บสั้น เพื่อไม่ให้เกิดแผลจากการเกา พยายามไม่ให้ผู้ป่วยเกาบริเวณที่มีผื่นคันเพื่อป้องกันการอักเสบของผิวหนังเพิ่มมากขึ้น
ดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้นโดยการทาโลชั่นเพื่อป้องกันผิวแห้ง ลดอาการคัน
ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับยาตามแผนการรักษาของแพทย์ เช่น diphenhydramine มีฤทธิ์ช่วยบรรเทาอาการผื่นคันจากผิวหนัง จากอาการแพ้
ติดตามประเมินอาการคันของผู้ป่วย
อาจเกิดการกลับมาเป็นซ้ำของภาวะ Anaphylaxis :female-doctor:
ข้อมูลสนับสนุน :tropical_fish:
O
หายใจมีเสียง Stridor
ค่า O2Sat =95 %
สัญญาณชีพ
T= 37.5 ºC
HR= 120 ครั้ง/นาที
BP=80/50 mmHg
S
ปาก ริมฝีปาก และลิ้นบวม
ตาแดง
เสียงแหบ
มีอาการคันตามตัว
จุดมุ่งหมายการพยาบาล :tropical_fish:
ไม่เกิดการกลับมาเป็นซ้ำของภาวะ Anaphylaxis
เกณฑ์การประเมินผล :tropical_fish:
ผู้ป่วยและญาติรับฟังและเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินโรคและการรักษา
สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
กิจกรรมการพยาบาลและเหตุผล :tropical_fish:
ประเมินความรู้ในการปฏิบัติตนของผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการแพ้
แนะนำให้ผู้ป่วยตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ที่อาจเป็นสาเหตุของการเกิด Anaphylaxis
ให้ความรู้เกี่ยวกับภาวะ anaphylaxis การหลีกเลี่ยงสิ่งที่ผู้ป่วยแพ้และสอนการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดอาการแก่ผู้ป่วย
บัตรประจำตัวผู้ป่วยที่บอกถึงโรคและการรักษาเบื้องต้น
ให้ผู้ป่วยพกยาฉีด epinephrine ติดตัวตลอดเวลาและได้รับการสอนแสดงวิธีการใช้ที่ถูกต้องโดยพิจารณาให้ epinephrine แบบพกแก่ผู้ป่วยดังต่อไปนี้
ผู้ป่วยที่มีภาวะ anaphylaxis ทุกราย
ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้พิษแมลงตระกูล Hymenoptera ได้แก่ ผึ้งต่อแตนและมดมีพิษโดยพิจารณาให้ในผู้ป่วยที่มีอาการแพ้แบบรุนแรงในระบบใดระบบหนึ่งเช่นลมพิษทั่วตัวอาการหอบหืดหรือหมดสติเป็นต้น
ผู้ป่วยที่เกิดภาวะ anaphylaxis จากการแพ้พิษแมลงตระกูล Hymenoptera ได้แก่ ผึ้งต่อแตนและมดมีพิษควรแนะนำให้ไปพบแพทย์เฉพาะทางและพิจารณาการฉีดวัคซีนภูมิแพ้ (allergen immunotherapy) เพื่อป้องกันการเกิดภาวะ anaphylaxis ซ้ำหลังถูกแมลงต่อยครั้งต่อไป
หลีกเลี่ยงการใช้ยาเหล่านี้ในผู้ที่มีประวัติ anaphylaxis-Angiotensin-converting enzyme inhibitors (ACEI)-Tricyclic antidepressants
ประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยซ้ำ
อาการและอาการแสดง :syringe:
อาการที่เกิดจากปฏิกิริยาเฉพาะที่ (Local reactions) :syringe:
ผิวหนังเป็นผื่นลมพิษซึ่งมีลักษณะเป็นตุ่มนูนบวมแดงคันและอาจขยายใหญ่
ปวดแสบปวดร้อน
หนังตาบวมและริมฝีปากบวม
อาการอ่อนเพลีย เหงื่อออก
ตาแดงและคันเยื่อบุจมูกอักเสบ
อาการที่เกิดจากปฏิกิริยาทั่วร่างกาย (Systemic reactions) :syringe:
มีอาการริมฝีปากบวม ลิ้นบวม กล่องเสียงบวม กลืนลำบาก เสียงแหบ
หายใจลำบาก หลอดลมหดตัว มีน้ำท่วมปอด ไอ หายใจลำบาก หายใจแรง ฟังปอดมีเสียงหวีด เจ็บหน้าอก
มึนงง ความดันเลือดลดลง หัวใจเต้นผิดจังหวะ หมดสติ
คลื่นไส้ ปวดท้อง อาเจียน ท้องเสีย มีอาการชัก
Anaphylaxis จากการแพ้ยา :syringe:
ผู้ป่วยมักมีไข้ มีผื่น ลมพิษ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
ปวดข้อ ใบหน้าและมือบวม
ผู้ป่วยมีอาการล้าและอ่อนเพลีย
ปัสสาวะเป็นสีชมพูหรือสีดำ
เกล็ดเลือดยังถูกทำลาย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการเลือดออกตามไรฟัน เลือดหยุดยากเมื่อฉีดยาและมีประจำเดือนมากขึ้น