Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 1 การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล, นางสาวปรียารัตน์…
บทที่ 1 การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ความเจ็บป่วย และการอยู่ในโรงพยาบาลของเด็ก
ทําให้มีการเปลี่ยนแปลง
ร่างกาย
จิตใจ
อารมณ์และสังคม
ส่งผลกระทบในระยะยาวต่อเด็ก
ด้านจิตใจและอารมณ์
วิตกกังวลจากการพรากจาก
โศกเศร้า
เฉื่อยชาและมีอารมณ์หงุดหงิด
ด้านร่างกาย
การนอนหลับผิดปกติ ฝันร้าย
ด้านสังคมและพฤติกรรม
แยกตัว ไม่อยู่นิ่ง ก้าวร้าว
เด็ก
หมายถึง
คนที่มีอายุยังน้อย
ผู้ซึ่งอายุไม่ครบ18ปีบริบูรณ์และยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
บุคคลอายุเกิน7ปีบริบูรณ์แต่ยังไม่เกิน14ปีบริบูรณ์
บุคคลที่มีอายุ 15 ปีลงมา
บุคคลผู้ที่มีอายุไม่เกิน18ปีบริบูรณ์
วัยยังเล็ก อ่อนวัย
ความหมายด้านสุขภาพ
บุคคลตั้งแต่แรกเกิด ถึง 15 ปี
ช่วงวัยของเด็ก แบ่งตามระยะพัฒนาการ
Newborn ทารกแรกเกิด 28 วันหลังคลอด
Infant ทารกอายุมากว่า 28 วันถึง 1 ปี
Toddler เด็กวัยเดิน อายุ 1-3 ปี
Preschool age เด็กวัยก่อนเรียน 3-5 ปี
School age เด็กวัยเรียน 6-12 ปี
Aldolescent วัยรุ่น 13-15 ปี
สิทธิเด็ก
วันสิทธิเด็กวันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี
สิทธิในการมีชีวิต
สิทธิของเด็กที่คลอดออกมาแล้วจะต้องมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย
สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
สิทธิที่เด็กได้รับปกป้องคุ้มครองจากการทารุณกรรมทุกรูปแบบ
สิทธิในด้านพัฒนาการ
เด็กทุกคนจะได้รับสิทธิให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่เหมาะสมกับพัฒนาการ ร่างกาย จิตใจ สังคม รวมถึงความพึงพอใจและความสุข
สิทธิในการมีส่วนร่วม
เป็นสิทธิที่ให้ความสำคัญกับการแสดงออกทั้งในด้านความคิดและการกระทำของเด็ก ในการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่อาศัยอยู่
ระยะของการเจ็บป่วย
ระยะเฉียบพลัน (Acute)
ในทันทีทันใดเฉียบพลัน รุนแรงมาก
ระยะเรื้อรัง (Chronic)
เป็นระยะที่รักษาไม่หายขาด
ระยะวิกฤต (Crisis)
เป็นระยะที่มีโอกาสเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว
ระยะสุดท้าย / ใกล้ตาย (Death / Dying)
เป็นระยะที่ได้รับการวินิจฉัยการเจ็บป่วยถึงขั้นสูญเสียชีวิต
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเด็ก
ประเภท 0 : ตอบแบบไม่เข้าใจ
ระดับความคิดความเข้าใจก่อนขั้นปฏิกิริยา(อายุ 18 เดือน – 7 ปี)
ประเภทที่ 1 : ตอบตามปรากฏการณ์
ประเภทที่ 2 : สาเหตุสัมพันธ์กับวัตถุ หรือบุคคลที่อยู่ใกล้ๆ
ระดับความคิดความเข้าใจในขั้นปฏิบัติการด้วยรูปธรรม(อายุ 7-11 ปี)
ประเภทที่ 3 : การปนเปื้อน
ประเภทที่ 4 : ภายในร่างกาย
ระดับปฏิบัติการด้วยนามธรรม(อายุ 11-12 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่)
ประเภทที่ 5 : ความเจ็บป่วยเกิดจากอวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่ดีหรือไม่ทำงาน
ประเภทที่ 6 : เข้าใจถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยที่พัฒนาถึงขึ้นสูงสุด
ความเข้าใจของเด็กเกี่ยวกับความตาย
วัยแรกเกิดและวัยทารก
อายุ < 6 เดือน ไม่เข้าใจความหมาย ไม่มีความหมายอายุ
6 เดือน ผูกพันกับผู้เลี้ยงดู รู้สึกแยกจาก
มีปฏิกิริยาด้วยการตอบสนองของ physiological reflex
เชื่อมโยงกับคนรอบข้างโดยสัมผัส กลิ่น เสียง
วัยเดินและวัยก่อนเรียน
คิดว่าตายแล้วสามารถกลับคืนมาได้(Reversible)
ความตายเหมือนการนอนหลับ
เด็กวัยนี้บางคนอาจเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตเกือบ
สมบูรณ์
วัยเรียน
มองความตายที่มีต่อตนเองชัดขึ้น
เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ตนเองอาจจะมีชีวิต เติบโต หรือตายจากไป
จินตนาการความตายและคิดว่าสักวันตนต้องตาย
เข้าใจเรื่องโรค
สนใจพิธีการในงานศพ
กลัวการสูญเสียตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก
วัยรุ่น
เป็นวัยที่มีความเป็นส่วนตัว
เป็นวัยที่ยังมองความตายเป็นเรื่องที่ไกลตนเอง
เด็กป่วยกับการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
เด็กป่วยทำให้เครียดทำให้ต้องมีการปรับตัวการปรับตัวของเด็กและครอบครัว ขึ้นอยู่กับ
พัฒนาการตามวัยของเด็ก
ประสบการณ์เดิมของเด็กที่เคยเผชิญครั้งก่อน
ความสามารถของเด็กในการปรับตัวต่อความเครียด
ความรุนแรงของความเจ็บป่วย
ระบบการดูแลและการช่วยเหลือเด็ก
ผลกระทบของความเจ็บป่วยของเด็กแต่ละช่วงวัย
วัยทารก
เด็กรู้สึกไม่สุขสบายส่งผลต่อความต้องการทั่วไปของทารก
วัยเดิน
อาจทำให้พรากจากบิดามารดาซ้ำแล้วซ้ำอีก
วัยก่อนเรียน
คิดว่าตนถูกทำโทษเนื่องจากตนเองคิดหรือทำในสิ่งที่ไม่ดีมากที่สุด
วัยเรียน
ทำให้รู้สึกสูญเสียการนับถือตนเองรู้สึกมีปมด้อย และถูกปฏิเสธจากกลุ่ม
วัยรุ่น
ความเชื่อมั่นในตนเอง ภาพลักษณ์ บุคลลิกภาพ
ปฏิกิริยาของเด็กต่อการเจ็บป่วย
ความวิตกกังวลจากการแยกจาก
ความเจ็บปวดทางกายเนื่องจากการตรวจรักษา
ความเครียดและการปรับตัวของเด็กและครอบครัว
การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์
ความตาย
การพยาบาลเด็กแต่ละระยะของการเจ็บป่วย
การพยาบาลเด็กระยะเฉียบพลันและระยะวิกฤติ
Separation anxiety
ระยะประท้วง (protest)
เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรงมาก ร้องตลอดเวลาจะหยุดร้องเฉพาะเวลานอนเท่านั้น
ระยะสิ้นหวัง(despair)
อาการโศกเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้ง แยกตัวอยู่เงียบ ๆ ร้องไห้น้อยลง เสียงครางโยเยท่าทางอ่อนเพลีย อิดโรยอย่างน่าสงสาร
ระยะปฏิเสธ(denial)
ระยะนี้เด็กจะหันกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เหมือนกับว่าเด็กปรับตัวได้ แต่เด็กเพียงเก็บกด
Pain management
Critical care concept
Stress and coping
การพยาบาลเด็กระยะเรื้อรังและระยะสุดท้าย
Body image
Death and dying
ปฏิกิริยาของบิดามารดาต่อการเจ็บป่วยของเด็ก
การปฏิเสธ และไม่เชื่อ ในระยะแรก
ความรู้สึกโกรธและโทษตัวเอง เมื่อรู้แน่ชัดว่าเด็กป่วยจริง
ความรู้สึกกลัว และวิตกกังวล มักจะมีความสัมพันธ์กับอาการรุนแรง
ของโรคที่เด็ก
ความรู้สึกหงุดหงิด คับข้องใจ และการขาดอำนาจต่อรอง
ความรู้สึกเศร้า
Preparation for
Hospitalization and Medical Procedures
Preparing Infants
Stressors
Separation from parents
Having many different caregivers
Seeing strange sights, sounds, smells
New, different routines
Interrupted sleep
Day and night confusion
Preparing Teenager
Stressors
Loss of control
Being away from school/friends
Having a part of his/her body damaged or changed in
appearance
Fear of surgery and risks
Pain
Dying during surgery
Fear of the unknown
Fear of what others will think about them being sick in hospital
Preparing Toddlers/Preschoolers
Stressors
Being left alone
Having to stay in strange bed/room
Loss of comforts of home, family
Being in contact with unfamiliar people
Painful procedures
Medical equipment that looks scary
Preparing School Age
Stressors
Needles/shots
Loss of control
Being away from school/friends
Thinking he/she is in hospital because he/she is being
punished
Pain
Dying during surgery
แนวคิดและหลักการพยาบาลใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
องค์ประกอบที่สำคัญ
การตระหนักและการเคารพ (Respect)
การร่วมมือ (Collaboration)
การสนับสนุน (Support)
หลักการดูแลเด็ก
เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็กในขณะที่
บุคลากรด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพในทุก
ระดับของการบริการดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นและสมบูรณ์แก่บิดามารดาอย่างต่อเนื่อง
เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการ ของ บุคคลและ
ครอบครัวเข้าในระบบบริการสุขภาพ
ลงมือปฏิบัติสนับสนุนและช่วยเหลือครอบครัวที่มีปัญหาทางด้านอารมณ์และเศรษฐกิจ
ยอมรับว่าครอบครัวมีจุดแข็งและมีลักษณะเฉพาะ เคารพวิธีการเผชิญปัญหาที่แตกต่างกัน
เคารพ ยอมรับในความหลากหลายของเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ สังคมและเศรษฐกิจของครอบครัว
กระตุ้นและสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายผู้ปกครอง
จัดบริการให้มีความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และตอบสนองความต้องการของครอบครัว
Pain assessment
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยา
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
การประเมินความเจ็บปวดด้วยตนเอง
เครื่องมือที่ใช้ประเมินpainในเด็ก
การประเมินความเจ็บปวดควรถามเกี่ยวกับ
ความรุนแรงของความปวด
ตำแหน่งที่ปวด
รูปแบบ ระยะเวลาความเจ็บปวด
ลักษณะการเจ็บปวด
ผลกระทบต่อความปวด
ปัจจัยที่ทำให้ปวดมากขึ้น ลดลง
CRIES Pain Scale
ร้องไห้ 0=ไม่ร้อง 1=เสียงสูง 2=ปลอบไม่หยุด
O2 forSa O2>95% 0=ไม่ใช้ 1=<30%O2 2=>30%O2
Vital signs 0=HRorBP</=preop 1=HRorBP<20% preop 2=HRorBP>20% preop
การแสดงออก 0=ไม่มี 1=หน้าเบ้ 2=หน้าเบ้/คราง
การนอนไม่หลับ 0=ไม่มี 1=ตื่นบ่อย 2=ตื่นตลอด
Neonatal Infants Pain Scale (NIPS)
สีหน้า0=เฉยๆสบาย 0=ไม่ร้อง 0=หายใจ
สม่ำเสมอ 0=วางแขนสบายๆ 0=วางขาสบายๆ 0=หลับ/ตื่น
1=แสยะปากเบะจมูกย่นคิ้วย่นปิดตาแน่น 1=ร้องคราง 2=กรีดร้อง 1=หายใจเร็วขึ้นหรือช้าลงหรือกลั้นหายใจ 1=งอแขน 1=งอ/เหยียดขา 1=กระสับกระส่ายวุ่นวาย
0-7 คะแนน > 4 = pain ให้ยาแก้ปวด
CHEOPS (Children’s Hospital of Eastern Ontario Pain Scale )
0=ยิ้ม 1=ไม่ร้อง 0=พูดสนุกสนานร่าเริง ไม่พูด 1=ท่าทางธรรมดา
สบายๆ 1=ไม่สัมผัสแผล 1=ขาท่าสบาย
1=เฉย 2=ครางร้องไห้ 1=บ่นอื่นๆหิว ร้องหาแม่ 2=ดิ้น เกร็ง สั่น ยืน ดิ้นจนถูกตรึงไว้ 2=เอื้อมมือมาแตะ ตะปบ เอื้อมมือจนต้องจับมือหรือแขนไว้ 2=บิดตัว เตะดึงขาหนี เกร็งยืน ดิ้นจนถูกจับหรือตรึงไว้
2=เบ้ 3=หวีดร้อง 2=บ่นปวดบ่นอื่นๆ
ใช้กับเด็ก 1-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
คะแนนอยู่ระหว่าง 4-13
พยาบาลเป็นผู้ประเมิน
การแปลผล
4 = ไม่ปวด
5-7 = ปวดน้อย
8-10 = ปวดปานกลาง
11-13 = ปวดมาก
FLACC Scale (Face ; Legs ; Activity ; Cry ; Consolability Scale)
0=เฉยๆไม่ยิ้ม 0=ไม่ร้อง(ตื่นหรือหลับก็ได้) 0=นอนเงียบๆท่า
ปกติเคลื่อนไหวสบาย 0=ขาอยู่ในท่าปกติหรือสบาย 0=เชื่อฟังดี สบายๆ
1=แสยะปากเบะ,ขมวดคิ้ว, ถอยหนี,ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมบางครั้ง 1=ครางฮือๆครางเบาๆบ่นเป็นบางครั้ง 1=บิดตัวไปมาแอ่นหน้าแอ่นหลังเกร็ง 1=ขาอยู่ในท่าไม่สบายกระสับกระส่าย เกร็ง 1=สามารถปลอบโยน
ด้วยการสัมผัส โอบกอด พูดคุยด้วยเพื่อดึงดูดความสนใจเป็นระยะๆ
2=คางสั่น,กัดฟันแน่นเป็นบ่อยๆหรือตลอดเวลา 2=ร้องไห้ตลอด หรือบ่น
บ่อยๆร้องสะอึกสะอื้น 2=ตัวงอ เกร็งจนตัวแข็งหรือสั่นกระตุก 2=เตะหรืองอขาขึ้น 2=ยากที่จะปลอบหรือทำให้สบาย
ใช้กับเด็ก 1เดือน-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
คะแนนอยู่ระหว่าง 0-10
พยาบาลเป็นผู้ประเมิน
การแปลผล
0 = ไม่ปวด
1-3 = ปวดน้อย
4-6 = ปวดปานกลาง
7-10 = ปวดมาก
Faces scale
การใช้รูปภาพแสดงสีหน้าบอกความรู้สึกปวด
Numeric rating scales
คะแนนอยู่ระหว่าง 0-10
ใช้ได้ตั้งแต่เด็กวัยเรียนขึ้นไป ซักถามถ้าไม่ปวดเลย ให้ 0 ปวดมาก
ที่สุดให้ 10 ขณะนี้ปวดเท่าใด
การแปลผล
0 = ไม่ปวด
1-3 = ปวดน้อย
4-6 = ปวดปานกลาง
7-10 = ปวดมาก
การประเมินความปวดตามวัย
แรกเกิด-3 ปี รายงานด้วยตัวเองไม่ได้ พฤติกรรมทางเลือกแรก สรีรวิทยาทางเลือกที่สอง
3-6 ปี รายงานได้บ้าง พฤติกรรมทางเลือกแรกร่วมกับรายงานด้วยตนเอง สรีรวิทยาทางเลือกที่สอง
มากกว่า6ปี รายงานด้วยตนเองทางเลือกแรก พฤติกรรมทางเลือกที่สอง สรีรวิทยาอาจใช้ประกอบ
หลักการประเมินความปวด
ประเมินก่อนให้การพยาบาล เพื่อเป็นสมมติฐาน และหลังให้การพยาบาล เพื่อประเมินผล
ควรประเมินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยประเมินทั้งขณะพักและขณะทำกิจกรรม
เลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และควรใช้วิธีเดียวกันตลอดการให้การพยาบาลนั้นๆ
มีการบันทึกเป็นหลักฐาน
หลีกเลี่ยงคำถามนำอันเป็นเหตุให้บดบังข้อเท็จจริง หรือคำถามที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์เศร้าเสียใจ
บทบาทของพยาบาลกับการประเมินความปวด
สร้างสัมพันธภาพที่ดี ใช้คำพูดสุภาพ เข้าใจง่าย
ให้ความสนใจโดยเป็นผู้ฟังที่ดี และเชื่อในคำบอกเล่าของผู้ป่วย
ระหว่างการประเมินควรบันทึกพฤติกรรม ฯลฯ เพื่อเป็นข้อมูล
ถ้าผู้ป่วยไม่สามารถตอบข้อซักถามได้ อาจใช้วิธีสัมภาษณ์จากคนดูแล
ใกล้ชิด ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจถามจากบิดา มารดาหรือสังเกตพฤติกรรม
นางสาวปรียารัตน์ แข็งขัน เลขที่64 612001065 รุ่น36/1