Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพโรคเขตร้อน โรคติดต่อ และโรคอุบัติใหม่ -…
การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพโรคเขตร้อน โรคติดต่อ และโรคอุบัติใหม่
MALALIA (การติดเชื้อโปรโตชัว)
วินิจฉัยโรคมาลาเรีย
1.ประวัติอาศัย/เดินทางจากพื้นที่ระบาดภายในระยะเวลา 1 เดือน เคยป่วยเป็นโรคมาลาเรียในระยะเวลา 3 เดือน
2.มีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ หนาวสั่น เหงื่อออก เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน กรณีมาลาเรียรุนแรง ระดับสติลดลง หรือหมดสติ อ่อนเพลียมาก ชัก เหนื่อยหอบ หายใจเร็ว ช็อก ตาเหลืองตัวเหลือง ปัสสาวะออกน้อย/ไม่มีปัสสาวะ ปัสสาวะสีเข้ม ซีดมาก
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
Thick and Thin Blood Smear
Rapid Diagnostic test
PCR
Paroxysmแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะหนาวสั่น
ระยะไข้ตัวร้อน
ระยะเหงื่อออก
ภาวะไข้กลับ
1.ไข้กลับที่เกิดจากเชื้อที่ยังคงอยู่ในตับ
2.ไข้กลับที่เกิดจากเชื้อมาลาเรียถูกทำลายไม่หมด
การรักษาเมื่อมีอวัยวะสำคัญล้มเหลว
1.ชัก ให้ยากันชัก เช่น Dizepam
2.น้ำตาลในเลือดต่ำ ตรวจ DTX ทุก 6 ชม. รักษาน้ำตาลในเลือดต่ำ ให้ IV fluid ที่มีน้ำตาล เช่น 5-10% dextrose/NSS
3.ซีด ให้ PRC ถ้า (HCT<24%,Hb < 8g/dl)
4.น้ำท่วมปอด นอนหัวสูง 45 องศา, ให้ออกซิเจน,ให้ยาขับปัสสาวะและลด/หยุดการให้สารน้ำ อาจใช้ PEEP/CPAP ในผู้ป่วย ARDS
5.ไตวาย ถ้าขาดน้ำ ให้ IV fluid ถ้า ไตวาย ให้ HD
6.เลือดออกง่าย ประเมินภาวะเลือดออก
7.ภาวะเลือดเป็นกรด
8.Shock ดูสาเหตุ ขาดน้ำ ขาดน้ำตาล หรือติดเชื้อแบคทีเรีย และรักษาความดันโลหิตให้ปกติ
ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever)
สาเหตุของโรค
-เกิดจากเชื้อไวรัส เดงกี่ ( Dengue Virus ) เชื้อไวรัสแดงกี่จะไปที่ผนังกระเพาะและต่อมน้ำลายของยุง เมื่อยุงกัดคนก็จะแพร่เชื้อสู่คน
-เกิดจากไวรัสเดงกีซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ DEN1 DEN2 DEN3 DEN4
อาการสำคัญแบ่งออกได้ 3 ระยะ
ระยะไข้
ระยะช็อค
ระยะพักฟื้น
อาการติดเชื้อไวรัสแดงกี่มีอาการได้ 3 แบบ
การติดเชื้อไข้แดงกี่ Dengue Fever
ไข้เหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป มักพบในเด็ก
ปรากฏอาการเพียง 2-3 วัน บางครั้งอาจจะเกิดผื่นแบบเชื้อไวรัสธรรมดา
2.ไข้เลือดออก [Dengue hemorrhagic fever-DHF]
อาการไข้เลือดออกชนิดนี้จะมีลักษณะเหมือนไข้แดงกิ่ว
ไข้เลือดออกแดงกี่ที่ช็อค (Dengue Shock Syndrome ) DSS
ผู้ป่วยไข้เลือดออกแดงกิ่วที่มีอาการและผลเลือดยืนยันดังกล่าวข้างต้น ร่วมกับอาการชีพจรเบาเร็ว มีการเปลี่ยนแปลงในระดับความดันโลหิตโดยตรวจพบมี Pulse pressure แคบน้อยกว่า 20 mmHg มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย poor capillary refilled <2 วินาที
การวินิจฉัย
ช็อค
มีไข้สูง
เลือดออกง่าย
เจ็บชายโครงขวาเนื่องจากตับโต
เกล็ดเลือดต่ำ
เลือดข้นข้น
ความรุนแรงของโรค
Grade 1 ผู้ป่วยไม่ช็อก เป็นไข้เลือดออกโดยที่ไม่มีจุดเลือดออก ทำ tourniquet test ให้ผลบวก
Grade 2 ผู้ป่วยไม่ช็อก มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง มีเลือดกำเดาไหล หรืออาเจียนเป็นเลือด
Grade 3 ผู้ป่วยช็อก มีความดันโลหิตต่ำ ชีพจรเร็ว pulse pressure แคบ เหงื่อออก กระสับกระส่าย
Grade 4 ผู้ป่วยช็อกรุนแรง วัดความดันโลหิตไม่ได้
Rabies (โรคพิษสุนัขบ้า)
อาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ
ระยะที่ 1 อาการนำของโรค (Prodrome)
ผู้ป่วยจะมีอาการต่าง ๆ ที่ไม่จำเพาะ เช่น มีไข้ต่ำ ๆ ประมาณ 38-38.5 องศาเซลเซียส หนาวสั่น ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน อาจมีอาการกระสับกระส่าย
ระยะที่ 2 ปรากฏอาการทางระบบประสาท
1) แบบคลุ้มคลั่ง (Furious rabies)
2) แบบอัมพาต (Paralytic rabies)
3)แบบแสดงอาการไม่ตรงต้นแบบ (Non-classic)
ระยะที่ 3 ไม่รู้สึกตัว หรือ ระยะสุดท้าย
อาการหมดสติและเสียชีวิตจากระบบหายใจและไหลเวียนโลหิตล้มเหลว รวมทั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภายใน 1-3 วันหลังมีอาการไม่รู้สึกตัว
การวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้า
Direct fluorescent antibody test
RT-PCR
ในกรณีที่ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วเซลล์ประสาทที่มีความจำเพาะเรียกว่า “เนกริบอดีส์” (Negri bodies) อยู่ภายในเซลล์
การพยาบาลผู้ป่วย/ผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า
การรักษาบาดแผลตามลักษณะของแผลที่ถูกสัตว์กัด
การให้รับประทานยาปฏิชีวนะ
การฉีดยาป้องกันบาดทะยัก
คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า
ควรแยกผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าออกจากสิ่งเร้าต่าง ๆ
ผู้ที่คอยดูแลผู้ป่วยควรใส่เสื้อผ้าอย่างมิดชิด ใส่แว่นตา และผ้าปิดจมูก เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากผู้ป่วย
Thyphoid (ไข้รากสาดใหญ่)
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อไทฟอยด์ (Salmonella typhi) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย
การติดต่อ
การติดต่อเกิดได้เฉพาะจากคนสู่คนเท่านั้น โดยผู้ที่ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะจะขับเชื้อออกมาทางอุจจาระเป็นหลัก (และทางปัสสาวะเป็นส่วนน้อย)
ระยะฟักตัวของโรค
ประมาณ 3-21 วัน ซึ่งระยะเวลาที่สั้นหรือนานจะขึ้นอยู่กับปริมาณของเชื้อที่ได้รับเข้าสู่ร่างกาย
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การเพาะเชื้อจากของเหลวหรือเนื้อเยื่อในร่างกาย
การทดสอบไวดาล (Widal test)
การตรวจหาสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ (Antibody)
การตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่น ๆ
ภาวะแทรกซ้อน
เลือดออกในลำไส้ (ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ อาจถึงช็อกได้) และลำไส้ทะลุ (ท้องอืด ท้องแข็ง)
การดูแล/รักษา
การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
การรักษาประคับประคองตามอาการ
การเฝ้าระวังภาวะ Shock
สังเกตภาวะแทรกซ้อน อาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด
การเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำ
ผู้ที่เป็นพาหะ (Carrier)
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
อหิวาตกโรค (Cholera)
การติดเชื้อ
เชื้อแบคทีเรีย vebrio cholera
การฟักตัว
24 ชั่วโมง - 5 วัน
การติดต่อ
ทางตรง การรับประทานอาหาร
ทางอ้อม การใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย
อาการ
ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเล็กน้อย
ถ่ายเป็นน้ำรุนแรงโดยไม่มีอาการปวดท้องบางรายอุจจาระอาจมีสีเหมือนน้ำซาวข้าวเพราะว่ามีมูกมาก
ผู้ป่วยจะมีอาการกระหายน้ำมาก ปากคอแห้ง ปัสสาวะน้อยเป็นสีเหลืองเข้มหรือไม่มีเลย ชีพจรเต้นเร็ว กระสับกระส่ายหรือซึม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจอุจจาระและเพาะเชื้อจากอุจจาระ (Rectal swab culture)
การตรวจ Polymerase Chain Reaction:PCR
การพยาบาล
การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
การให้ Oral Dehydrate Salt
เตรียมเตียงที่มีช่องตรงกลางสำหรับให้ผู้ป่วยนอนถ่ายได้ โดยมีถังสำหรับรองรับที่สามารถดูลักษณะและวัดปริมาณอุจจาระได้
การให้ยาฆ่าเชื้อตามแผนการรักษา
แยกผู้ป่วย
กักกันผู้สัมผัสโรค
ทำลายเชื้อโรคที่ติดมากับสิ่งขับถ่ายและภาชนะที่ผู้ป่วยใช้
ภาวะแทรกซ้อน
ภาวะเลือดคั่งในปอด
ภาวะไตวายเฉียบพลัน
ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
ภาวะตะคริว
ภาวะลำไส้ไม่ทำงาน
การป้องกัน
ล้างมือให้สะอาด
ดื่มน้ำต้มสุกและสะอาด
รับประทานอาหารปรุงสุก
หลีกเลี่ยงอาหารดิบ
รับประทานผลไม้ที่ปอกเปลือกเอง
ระวังผลิตภัณฑ์เนยนม
Leptospirosis
ระยะฟักตัว 2- 20 วัน
การติดเชื้อ Leptospira
อาศัยอยู่ในท่อหลอดไตของสัตว์ได้หลายชนิด เช่น หนุ สุกร โค กระบือ สุนัข
สาเหตุการติดต่อ
การกินอาหาร ดื่มน้ำปัสสาวะของสัตว์ เดินลุยน้ำ อาบน้ำที่ปนเปื้อนปัสสาวะวะ เชื้อจะเข้าทางบาดแผล ทางเยื่อบุจมูก ปากหรือตา
อาการที่สำคัญแบ่งเป็น 2 ระยะ
ระยะเชื้อเข้ากระแสเลือด
ระยะร่างกายสร้างภูมิ
Severe leptospirosis
อาการแสดงที่สำคัญ
ภาวะเยื่อบุตาบวมแดงเกิดขึ้นในตาทั้งสองข้าง
กดเจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง โดยเฉพาะที่น่อง
มีเลือดออกแบบต่างๆ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง
ผื่น อาจจะพบได้หลายแบบ ผื่นแดงราบ ผื่นแดง ผื่นลมพิษ
อาการเหลือง
การวินิจฉัย
จากประวัติการสัมผัสโรค และตรวจร่างกายเมื่อแพทย์สงสัยแพทย์จะตรวจ
CBC การตรวจเลือดทั่วไป จะพบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่ม บางรายเกร็ดเลือดต่ำ
ESR เพิ่ม
ตรวจปัสสาวะ พบเม็ดเลือดแดง ไข่ขาวในปัสสาวะรวมทั้งพบน้ำดีbilirubin ในปัสสาวะ
ตรวจการทำงานของตับ พบการอักเสบของตับโดยจะมีค่าSGOT,SGPT สูงขึ้น
ในรายที่รุนแรงการทำงานของไตจะเสื่อม ค่า Creatinin, BUN จะเพิ่มขึ้น
การเพาะเชื้อจากเลือดสามารถเพาะได้ในระยะแรกของโรค
การตรวจทางภูมิคุ้มกัน สามารถตรวจพบหลังการติดเชื้อ 2 สัปดาห์
การพยาบาล
การให้ยาปฏิชีวนะ
การให้ยาลดไข้
การให้ยาแก้ปวด
การให้ยาแก้คลื่นไส้อาเจียน
การให้สารน้ำและเกลือแร่
บาดทะยัก (Tetanus)
สาเหตุ
ติดเชื้อ Bacteria Clostridium tetani
ระยะฟักตัว
7-21 วัน
พยาธิสภาพ
เกิดจาก Ganglioside ที่ myoneural junction ของกล้ามเนื้อเรียบและ neuronal membrane ในไขสันหลัง เข้าไปใน Axon ของ cell ประสาท ทำให้หลั่งสาร GABA มีผลยับยั้งต่อ Motor neuron ทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อรุนแรง
การวินิจฉัย
ตรวจระดับของ serum antitoxin titer ถ้าพบว่ามีระดับที่มากกว่า 0.01 IU/mL
พบเชื้อ Clostridium tetani จากแผลได้โดยไม่มีอาการของโรค
spatula test จะช่วยในการวินิจฉัยได้ โดยใช้ไม้กดลิ้น(spatula) แตะบริเวณของ orophalynx ผู้ป่วยที่ปกติจะเกิด gag reflex และจะพยายามย้อน
แต่ในผู้ป่วยที่เป็นบาดทะยัก จะพบว่าผู้ป่วยกลับกัดไม้กดลิ้น จาก reflex spasm ของกล้ามเนื้อขากรรไกร
Scrub Typhusโรคไข้รากสาดใหญ่
ติดเชื้อ
แบคทีเรียในกลุ่มริกเก็ตเซีย Rickettsia tsutsugamushi ( Rickettsia orientalis)
ระยะฟักตัว
ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งแสดงอาการประมาณ 6-20 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 10 – 12 วัน
พาหะ
ตัวไรอ่อน (Chigger), หมัด(Flea)
อาการและอาการแสดง
Classical type
Mild type
Subclinical type
การวินิจฉัย
การตรวจทางน้ำเหลือง
การตรวจ Complement-Fixation
การตรวจ Indirect Immunofluorescence Antibody: IFA
การวินิจฉัยด้วยเทคนิค Polymerase Chain Reaction: PCR
ภาวะแทรกซ้อน
โรคตับอักเสบ
ปอดอักเสบ
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
เยื่อหุ้มสมองกับสมองอักเสบ
ภาวะที่มีการแข็งตัวของก้อนเลือดกระจายไปทั่วร่างกาย
การทำงานของอวัยวะในร่างกายล้มเหลว
Meliodosis
การติดเชื้อ
แบคทีเรีย Burkholderia pseudomallei ชนิด Gram-negative bacilli
การรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายโดยการสัมผัส
ระยะฟักตัว
1-21 วัน โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 9 วัน
อาการ Localized Infection
Localized pain or swelling
Fever
Ulceration, Cellulitis
Abscess
อาการ Pulmonary Infection
Cough
Chest pain
High fever
Headache
Anorexia
อาการ Bloodstream Infection
Fever
Headache
Respiratory distress
Abdominal discomfort
Joint pain
Disorientation
อาการ Disseminated Infection
Fever
Weight loss
Stomach or chest pain
Muscle or joint pain
Headache
Seizures
การรักษา/การพยาบาล
Surgical drainage
การให้ยาปฏิชีวนะ
การให้สารน้ำตามแผนการรักษา
วัณโรค
การแพร่ของเชื้อโรค Transmission
เชื้อวัณโรคจะแพร่โดยเชื้ออยู่ในเสมหะที่มีขนาด 1-5 ไมครอน
สภาวะที่เอื้อต่อการติดเชื้อ
จำนวนเชื้อวัณโรคที่อยู่ในอากาศ
ความเข้มข้นของเชื้อโรคซึ่งขึ้นกับปริมาณเชื้อและการถ่ายเทของอากาศ
ระยะเวลาที่คนอยู่ในห้องที่มีเชื้อโรค
ภูมิคุ้มกันของคนที่สัมผัสโรค
เชื้อที่เป็นสาเหตุ
M. tuberculosiso var hominis
M. bovis
M africanum
M. microti
พยาธิสภาพ
รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย เชื้อโรคจะเข้าที่เนื้อปอด แล้วแบ่งตัวในเซลล์มาโครฟาจของถุงลม เมื่อแบ่งตัวแล้วจะส่งไปยังระบบน้ำเหลืองที่ต่อมน้ำเหลืองขั้วปอด (Hilar node)
อาการ
ไข้ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ครั่นเนื้อครั่นตัว เหงื่อออกกลางคืน
ระยะแรกๆอาจจะไอแห้งๆไม่มีเสมหะ
ไอเสมหะมีเลือดออก
การวินิจฉัยโรค
ประวัติการสัมผัสโรค
การตรวจเสมหะ
การ Tuberculin test
การถ่ายรังสีปอด
การตรวจหาเชื้อวัณโรคโดยวิธี RNA and DNA amplification
การปฏิบัติตนเมื่อเป็นวัณโรค
กินยาตามชนิดและขนาดที่แพทย์สั่งให้อย่างสม่ำเสมอจนครบกำหนด
ควรงดสิ่งเสพติดทุกชนิด เช่น เหล้า บุหรี่ ฯลฯ
สวมผ้าปิดจมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
เปลี่ยนผ้าปิดจมูกที่สวม บ่อยๆเพราะผ้าปิดจมูกเอง ก็เป็นพาหะได้เช่นกัน
บ้วนเสมหะลงในภาชนะ หรือกระป๋องที่มีฝาปิดมิดชิด
จัดบ้านให้อากาศถ่ายเทสะดวก ให้แสงแดดส่องถึงและหมั่นนำเครื่องนอนออกตากแดด