Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดและหลักการพยาบาลเด็กปกติและเจ็บป่วย, การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษา…
แนวคิดและหลักการพยาบาลเด็กปกติและเจ็บป่วย
Pain Assessment
ประกอบด้วย
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม
การประเมินความเจ็บปวดด้วยตนเอง
การประเมินจากการเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยา
เครื่องมือที่ใช้ประเมินpainในเด็ก
การประเมินความเจ็บปวดควรถามเกี่ยวกับ
รูปแบบ ระยะเวลาความเจ็บปวด :เจ็บตลอดเวลา เป็นๆหายๆ
ลักษณะการเจ็บปวด: เจ็บ ปวด แสบ ปวดแสบ ปวดร้อน
ตำแหน่งที่ปวด
ผลกระทบต่อความปวด :หงุดหงิด ก้าวร้าว นอนไม่หลับ
ความรุนแรงของความปวด
ปัจจัยที่ทำให้ปวดมากขึ้น ลดลง
CRIES Pain Scale
พฤติกรรม
ร้องไห้
คะแนน
0 = ไม่ร้อง
1 = เสียงสูง
2 = ปลอบไม่หยุด
Vital signs
0 = HRorBP</=preop
1 = HRorBP<20% preop
2 = HRorBP>20% preop
O2forSaO2>95%
0 = ไม่ใช้
2 = <30%O2
3 = >30%O2
การแสดงออก
0 = ไม่มี
1 = หน้าเบ้
2 = หน้าเบ้/คราง
การนอนไม่หลับ
0 = ไม่มี
1 = ตื่นบ่อย
2 = ตื่นตลอด
Neonatal Infants Pain Scale (NIPS)
แขน
0=วางสบายๆ
1=งอ
ขา
0=วางสบายๆ
1=งอ/
เหยียด
การหายใจ
0=หายใจสม่ำสมอ
1=หายใจเร็วขึ้นหรือช้าลงหรือกลั้นหายใจ
ระดับการตื่น
0=หลับ/ตื่น
1=กระสับกระส่ายวุ่นวาย
ร้องไห้
0=ไม่ร้อง
1=ร้องคราง
2=กรีดร้อง
สีหน้า
1=แสยะปากเบะจมูกย่นคิ้วย่นปิดตาแน่น
0=เฉยๆสบาย
CHEOPS (Children’s Hospital of Eastern Ontario Pain Scale )
2.คะแนนอยู่ระหว่าง 4-13
3.พยาบาลเป็นผู้ประเมิน
1.ใช้กับเด็ก 1-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
การแปลผล
5-7 = ปวดน้อย
8-10 = ปวดปานกลาง
4 = ไม่ปวด
11-13 = ปวดมาก
FLACC Scale (Face ; Legs ; Activity ; Cry ; Consolability
Scale)
ใช้กับเด็ก 1เดือน-6 ปี หรือไม่รู้สึกตัว
คะแนนอยู่ระหว่าง 0-10
พยาบาลเป็นผู้ประเมิน
การแปลผล
0 = ไม่ปวด
1-3 = ปวดน้อย
4-6 = ปวดปานกลาง
7-10 = ปวดมาก
Faces scale
การใช้รูปภาพแสดงสีหน้าบอกความรู้สึกปวด
เริ่มด้วยไม่ปวดสีหน้ายิ้มร่าเริงมีความสุข
ปวดพอทนแทนด้วยภาพหน้านิ่วคิ้ว
พยาบาลจะให้ผู้ป่วยดูรูปดังกล่าวและก็แปลผลออกมา
Numeric rating scales
คะแนนอยู่ระหว่าง 0-10
ใช้ได้ตั้งแต่เด็กวัยเรียนขึ้นไป ซักถามถ้าไม่ปวดเลย ให้ 0 ปวดมากที่สุดให้ 10 ขณะนี้ปวดเท่าใด
การแปลผล
4-6 = ปวดปานกลาง
1-3 = ปวดน้อย
0 = ไม่ปวด
7-10 = ปวดมาก
การประเมินความปวดตามวัย
อายุ
แรกเกิด-3 ปี
พฤติกรรม
ทางเลือกแรก
สรีรวิทยา
ทางเลือกที่สอง
รายงานด้วยตนเอง
ไม่ได้
3-6 ปี
รายงานด้วยตนเอง
ได้บ้าง
พฤติกรรม
ทางเลือกแรกร่วมกับราายงานด้วยตนเอง
สรีรวิทยา
ทางเลือกที่สอง
6ปี
รายงานด้วยตนเอง
ทางเลือกแรก
พฤติกรรม
ทางเลือกที่สอง
สรีรวิทยา
อาจใช้ประกอบ
หลักการประเมินความปวด
ประเมินก่อนให้การพยาบาล เพื่อเป็นสมมติฐาน และหลังให้การพยาบาล เพื่อประเมินผล
ควรประเมินอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยประเมินทั้งขณะพักและขณะทำกิจกรรม
เลือกวิธีที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย และควรใช้วิธีเดียวกันตลอดการให้การพยาบาลนั้นๆ
เด็กเล็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้ที่มีการรับรู้บกพร่อง หรือไม่สามารถสื่อสารได้ ควรดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากการประเมินอาจได้ข้อมูลไม่ครอบคลุมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด
บทบาทของพยาบาลกับการประเมินความปวด
สร้างสัมพันธภาพที่ดี ใช้คำพูดสุภาพ เข้าใจง่าย
ให้ความสนใจโดยเป็นผู้ฟังที่ดี และเชื่อในคำบอกเล่าของผู้ป่วย
ระหว่างการประเมินควรบันทึกพฤติกรรม แนวคิด สภาพอารมณ์ จิตใจ
และบุคลิกภาพของผู้ป่วย เพื่อเป็นข้อมูล
อาจใช้วิธีสัมภาษณ์จากคนดูแลใกล้ชิด ถ้าเป็นเด็กเล็กอาจถามจากบิดา มารดา
การดูแลเด็กเมื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ความหมาย
ความหมายพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน
เด็ก หมายถึง
คนที่มีอายุยังน้อย อายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์ และยังไม่บบรลุนิติภาวะด้วยการสมรส
บุคคลที่อายุ 7 ปี บริบูรณ์ แต่ไม่เกิน 14 ปี บริบูรณ์
วัยยังเล็ก อ่อนวัย
เด็ก ความหมายด้านสุขภาพ
หมายถึงบุคคลตั้งแต่แรกเกิด ถึง 15 ปี
ช่วงวัยของเด็ก แบ่งตามระยะพัฒนาการ
Toddler เด็กวัยเดิน อายุ 1-3 ปี
Preschool age เด็กวัยก่อนเรียน 3-5 ปี
School age เด็กวัยเรียน 6-12 ปี
Infant ทารกอายุมากว่า 28 วันถึง 1 ปี
Newborn ทารกแรกเกิด 28 วันหลังคลอด
Aldolescent วัยรุ่น 13-15 ปี
สิทธิเด็ก (Convention on the Right of the Child)
วันที่20พฤศจิกายน ของทุกปี
ประเทศไทยลงนามเข้าเป็นภาคี อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ตั้งแต่ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2535
มีทั้งหมด 4 ด้าน ได้แก่
สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง
สิทธิที่เด็กได้รับปกป้องคุ้มครองจากการทารุณกรรมทุกรูปแบบ เช่น การทารุณกรรมทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศ
รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศหรือการแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การค้าประเวณีเด็ก การขายเด็ก การนำด็กไปขอทาน
สิทธิในด้านพัฒนาการ
ทุกคนจะได้รับสิทธิ์ให้เหมาะสมกับสภาพพัฒนาการ ร่างกาย จิตใจ เช่น การมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมกับคนในครอบครัวและสังคม
มีโอกาสพักผ่อนรับข้อมูลอย่างอิสระสามารถคิดและการแสดงออก
สิทธิในการมีชีวิต
สิทธิของเด็กที่คลอดออกมาแล้วจะต้องมีชีวิตอยู่รอดอย่างปลอดภัย
ต้องประกันอย่างเต็มที่เท่าที่จะทำได้ให้มีการอยู่รอดและพัฒนาของเด็ก
สิทธิในการมีส่วนร่วม
สิทธิสำคัญกับการให้เด็กเกิดความกล้าแสดงออกและความคิดของเด็ก
อนุญาตให้เด็กมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของการกระทำของตัวเอง
ระยะของการเจ็บป่วย
ระยะเรื้อรัง (Chronic)
มีผลกระทบต่อการปรับตัวของบุคคลและครอบครัวอย่างมาก
เป็นระยะที่รักษาไม่หายขาดต้องเผชิญกับความเครียดเป็นเวลานาน
ระยะวิกฤต (Crisis)
เป็นระยะที่มีโอกาสเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วการดูแลเน้นการรักษา
ป้องกันภาวะแทรกซ้อน อันตรายที่จะเกิดกับชีวิตผู้ป่วย
พยาบาลต้องมีีความรู้ความสามารถทักษะดี มีสติ ทันสมัย มีการสื่อสารดี การตัดสินใจดี
ระยะเฉียบพลัน (Acute)
หมายถึง ทันทีทันใด รุนแรงมาก ใช้ในวงการแพทย์ เช่น อาการหัวใจวายเฉียบพลัน
ระยะสุดท้าย / ใกล้ตาย (Death / Dying)
เป็นระยะที่ได้รับการวินิจฉัยการเจ็บป่วยขั้นสูญเสีย การรักษาด้วยยา ดูแลอย่างใกล้ชีวิต
มีชีวิตอยู่ได้ 6 เดือนหรือน้อยกว่า
ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเด็ก
ประเภทที่ 3 : การปนเปื้อน
ประเภทที่ 4 : ภายในร่างกาย
ระดับปฏิบัติการด้วยนามธรรม(อายุ 11-12 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่ )มี 2 ประเภท
ประเภทที่ 2 : สาเหตุสัมพันธ์กับวัตถุ หรือบุคคลที่อยู่ใกล้ๆ
ระดับความคิดความเข้าใจในขั้นปฏิบัติการด้วยรูปธรรม(อายุ 7-11 ปี) มี 2 ประเภท
ประเภทที่ 5 : ความเจ็บป่วยเกิดจากอวัยวะภายในร่างกายทำงานไม่ดี หรือไม่ทำงาน
ประเภทที่ 1 : ตอบตามปรากฏการณ์
ประเภทที่ 6 : เข้าใจถึงสาเหตุของความเจ็บป่วยที่พัฒนาถึงขึ้นสูงสุด
ประเภท 0 : ตอบแบบไม่เข้าใจ
ระดับความคิดความเข้าใจก่อนขั้นปฏิกิริยา(อายุ 18 เดือน – 7 ปี) มี 2 ประเภท
ความเข้าใจของเด็กเกี่ยวกับความตาย
วัยเดินและวัยก่อนเรียน
คิดว่าตายแล้วสามารถกลับคืนมาได้(Reversible)เหมือนการไปเที่ยวชั่วคราว
ความตายเปรียบเหมือนการนอนหลับ ทำให้เด็กบางคนกลัวการนอนกลัวว่าหลับแล้วอาจจะตายแล้วไม่ตื่นอีกเลย
เด็กวัยนี้บางคนอาจเข้าใจความตายเป็นจุดสุดท้ายของชีวิตเกือบ
สมบูรณ์ โดยเฉพาะเด็กที่เคยเผชิญการตายของสัตว์เลี้ยงหรือผู้ใหญ่
วัยเรียน
เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ตนเองอาจจะมีชีวิต เติบโต หรือตายจากไป
สามารถจินตนาการเรื่องความตาย และเข้าใจได้ว่าตัวเองก็อาจจะตายในวันหนึ่ง
สามารถเข้าใจเรื่องโรค การวินิจฉัย และการพยากรณ์โรคได้
กลัวการสูญเสียตนเองและบุคคลอันเป็นที่รัก
วัยแรกเกิดและวัยทารก
อายุ < 6 เดือน ไม่เข้าใจความหมาย ไม่มีความหมายอายุ > 6 เดือนผูกพันกับผู้เลี้ยงดู รู้สึกแยกจาก
มีปฏิกิริยาด้วยการตอบสนองของ physiological reflexเพื่อต่อสู้ให้ตนเองมีชีวิตรอด
หากเด็กอยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต พ่อ แม่ ตลอดจนบุคลากรทีมการ
ดูแล ควรช่วยให้เด็กผ่านช่วงเวลาของความตายโดยไม่ทุกข์ทรมาน
วัยรุ่น
เป็นวัยที่มีความเป็นส่วนตัว เป็นตัวของตัวเองมาก ต้องการจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับตัวเองด้วยตัวเอง
ยอมรับความตายของตนเองยากที่สุดเหมือนการลงโทษ การถูกกำหนดให้เป็นไปทั้งที่ตนเองไม่ต้องการ
พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูควรเอาใจใส่ ตอบสนองความต้องการถึงแม้ไม่ได้ขอร้อง
เด็กกับการเจ็บป่วยในโรงพยาบาล
เด็กมีความเครียดส่งผลต่อตัวเด็กและครอบครัว มากน้อยเพียงใดขึ้นกับ
ความสามารถของเด็กต่อการปรับตัวในการเผชิญความเครียด
ความรุนแรงของความเจ็บป่วย
2.ประสบการณ์เดิมที่เด็กเคยเผชิญ
พัฒนาการตามวัยของเด็ก
5.ระบบการดูแลช่วยเหลือเด็ก
ผลกระทบของความเจ็บป่วยของเด็กแต่ละช่วงวัย
วัยทารก
การเจ็บป่วยทำให้เด็กรู้สึกไม่สุขสบาย ส่งผลต่อความต้องการทั่วไปของทารก
เช่น กินได้น้อยลง ถูกจำกัดกิจกรรม เจ็บปวด
และการเจ็บป่วยที่ทำให้ร่างกายพิการที่มองเห็นเด่นชัดตั้งแต่เกิดจะมี
วัยเดิน
อยากรู้อยากเห็นไม่เคยแยยกจากพ่อแม่ การเจ็บป่วยต้องทำให้แยกจาก
เมื่อเจ็บป่วยบิดามารดาอาจจะปกป้อง คุ้มครองหรือระวังเกินไป ไม่ยอมอยู่ในอำนาจ
ก่อนวัยเรียน
เด็กวัยนี้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์อย่างมุ่งหวังที่จะประสบผลสำเร็จในงานบางอย่าง
เด็กที่ป่วยบ่อยหรือเจ็บป่วยเรื้อรังจะมีความยากลำบากในการเรียนรู้
วัยเรียน
เด็กวัยนี้จะเป็นวัยที่มุ่งมั่นต่อผลสำเร็จ มีการสังคมนอกบ้าน
เด็กที่เจ็บป่วยโดยเฉพาะการเจ็บป่วยเรื้อรังทำให้หย่อนความสามารถเรื่องการเรียน
วัยรุ่น
มีการค้นหาเอกลักษณ์ความเป็นตัวของตัวเองมีความเป็นอิสระเด็กที่เจ็บป่วยบ่อย
จะมีผลกระทบต่อ ความเชื่อมั่นในตนเองภาพลักษณ์ บุคลลิกภาพ
ปฏิกิริยาของเด็กต่อการเจ็บป่วย
ความวิตกกังวลจากการแยกจาก (separation anxiety)
ความเจ็บปวดทางกายเนื่องจากการตรวจรักษา (body injury and pain)
ความเครียดและการปรับตัวของเด็กและครอบครัว : การสูญเสีย
ความสามารถในการควบคุม (loss of control)
การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ (body image)
ความตาย
การพยาบาลเด็กแต่ละระยะของการเจ็บป่วย
การพยาบาลเด็กระยะเฉียบพลันและระยะวิกฤติ
Pain management
Critical care concept
Separation anxiety
ระยะสิ้นหวัง(despair)
ความสิ้นหวังแสดงออกโดย อาการโศกเศร้า เสียใจอย่างลึกซึ้ง
แยกตัวอยู่เงียบ ๆ ร้องไห้น้อยลง เสียงครางโยเย ท่าทางอ่อนเพลีย
ระยะนี้เด็กจะยอมร่วมมือในการรักษาที่เจ็บปวดต่อต้านเพียงเล็กน้อยยอมกินอาหาร
ระยะประท้วง (protest)
เด็กพยายามที่จะให้มารดาอยู่ด้วยการร้องไห้ประท้วงรุนแรงมากขึ้นเมื่อมารดาจะจากไป
เด็กจะปฏิเสธทุกอย่าง ไม่ยอมร่วมมือในการรักษา
เด็กจะร้องไห้อย่างรุนแรงมากร้องตลอดเวลา
ระยะปฏิเสธ(denial)
ถ้าเด็กป่วยต้องอยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานานวัน และได้รับการพยาบาลจากพยาบาล
ระยะนี้เด็กจะหันกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว เหมือนกับว่าเด็กปรับตัวได้
Stress and coping
การพยาบาลเด็กระยะเรื้อรังและระยะสุดท้าย
Body image
Death and dying
ปฏิกิริยาของบิดามารดาต่อการเจ็บป่วยของเด็ก
การปฏิเสธ และไม่เชื่อ ในระยะแรก
ความรู้สึกโกรธและโทษตัวเอง เมื่อรู้แน่ชัดว่าเด็กป่วยจริง
ความรู้สึกกลัว และวิตกกังวล มักจะมีความสัมพันธ์กับอาการรุนแรงของโรคที่เด็ก
ความรู้สึกกลัว และวิตกกังวล มักจะมีความสัมพันธ์กับอาการรุนแรงของโรคที่เด็ก
Preparation for Hospitalization and Medical Procedures
Preparing Infants
เกิดความเครียด
เที่ยวชมสถานที่แปลกประหลาดเสียงกลิ่น
ใหม่กิจวัตรที่แตกต่าง
มีผู้ดูแลหลายคน
การนอนหลับขัดจังหวะ
แยกจากผู้ปกครอง
ความสับสนทั้งกลางวันและกลางคืน
Stressors
ต้องพักบนเตียง / ห้องแปลก ๆ
ติดต่อกับคนที่ไม่คุ้นเคย
ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
การเตรียมเด็กวัยหัดเดิน / เด็กก่อนวัยเรียน
•การเล่นแบบโต้ตอบกับตุ๊กตา
•อ่านหนังสือเกี่ยวกับการไปโรงพยาบาล
•คำอธิบายง่ายๆ
การเตรียมวัยเรียน
•ให้เด็กอธิบายความเข้าใจกลับคืน
• อ่านหนังสือ
•สนับสนุนให้เพื่อนของเด็กไปเยี่ยม
•ให้เด็กรู้ว่าเป็นที่ยอมรับได้ที่จะร้องไห้และกลัว
เตรียมวัยรุ่น
อยู่ห่างจากโรงเรียน / เพื่อน
สูญเสียการควบคุม
กลัวการผ่าตัดและความเสี่ยง
กลัวสิ่งแปลกปลอม
กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับพวกเขาที่ป่วยในโรงพยาบาล
แนวคิดและหลักการพยาบาลใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
องค์ประกอบที่สำคัญของการดูแลเด็กโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
การตระหนักและการเคารพ (Respect) เคารพและยอมรับในความแตกตางทางวัฒนธรรม ความเป็นบุคคล ค่านิยม ความเชื่อ
การร่วมมือ (Collaboration)
การสนับสนุน (Support)
หลักการดูแลเด็กโดยใช้ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง
ยอมรับว่าครอบคัวมีจุดแข็ง และมีลักษณะเฉพาะ รวมทั้งเคารพวิธีเผชิญกับปัญหาที่แตกต่างกัน
ประเมินจุดแข็ง และมีวิธีการเผชิญปัญหาของครอบครัว
เสริมสร้างพลังอำนาจ (Empowerment) ของ ครอบครัว โดยเริ่มจากจุดแข็ง
5.ลงมือปฎิบัติสนับสนุน ช่วยเหลือครอบครัวเรื่องปัญหาและอารมณ์ เช่น ส่งปรีกษา
เข้าใจและผสานความต้องการตามระยะพัฒนาการ ของ บุคคลและครอบครัวเข้าในระบบบริการสุขภาพ
เคารพยอมรบในความหลากหลายของเชื้อชาติวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื้อ และเศรษฐกิจ
3.การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นแก่บิดามารดาอย่างต่อเนื่อง ท่าทางที่เหมาะสม
อธิบายคำศัพท์ทางการแพทย์ให้ครอบครัวให้เข้าใจ
อธิบายเป้าหมายและเหตุผลของการพยาบาล
ตอบข้อสงสัยของบิดามารดา
จัดบริการให้มีความยืดหยุ่น เข้าถึงได้และตอบสนองความต้องการ ของครอบครัว
จัดหาวิธีการและการรรักษาทางเลือกให้แกแ้บิดามารดา
สนับสนุนให้เกิดการดูแบบสหสาขา เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สำคัญ
สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างบิดามารดากับทีมสุขภาพในทุก
ระดับของการบริการดูแลสุขภาพทั้งที่โรงพยาบาล บ้าน และชุมชน
มีการสื่อสารในทางที่ดี เปิดเผย และต่อเนื่อง
ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และให้ความไว้วางใจ
วางแผนการดูแลรักษา และตัดสินใจร่วมกัน
8.กระตุ้นและสนับสนุนเครือข่ายผู้ปกครอง
สนับสนุนความร่วมมือของเครือข่ายระหว่างแพทย์และผู้ปกครอง
ส่งต่อครอบครัวไปยังเครือข่ายผู้ปกครอง
ให้คุณค่าความสำคัญในการช่วยเหลือครอบครัว
เคารพและตระหนักว่าครอบครัวคือส่วนคงที่ในชีวิตเด็ก ในขณะที่
บุคลากรด้านสุขภาพและระบบบริการสุขภาพมีการเปลี่ยนแปลง
ให้ความสำคัญกับการตัดสินใจของสมาชิกในครอบครัว
ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ครอบครัวกังวลหรือเห็นว่าสำคัญ
นางสาว กนกวรรณ เนียมพลู 612001005 เลขที่5 รุ่น 3/1