Diabetes Insipidus

ความหมาย

คือโรคที่ร่างกายสูญเสียความสมดุลของน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยในคนทั่วไป โดยมีผลมาจากความผิดปกติของฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone)

อาการเบาจืด

อาการที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด

กระหายน้ำบ่อยผิดปกติ ผู้ป่วยจะกระหายน้ำ และรู้สึกเหมือนกระหายน้ำตลอดเวลาแม้ว่าจะดื่มน้ำเข้าไปในปริมาณที่มากแล้วก็ตาม

ปัสสาวะบ่อยและมากกว่าปกติ โรคเบาจืดจะทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยขึ้น บางรายอาจปัสสาวะทุก ๆ 15 - 20 นาที และปัสสาวะที่ออกมามีสีอ่อน มีลักษณะเจือจาง นอกจากนี้ ปริมาณของปัสสาวะที่ออกมาจะมากกว่าคนปกติ

สาเหตุของเบาจืด

โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Central Diabetes Insipidus)

เกิดจากความเสียหายของต่อมใต้สมอง หรือสมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) โดยความเสียหายนี้จะส่งผลให้สมองไม่สามารถผลิต สะสม และหลั่งฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกได้เป็นปกติ และหากฮอร์โมนชนิดนี้มีไม่เพียงพอต่อความต้องการก็จะทำให้ของเหลวจำนวนมากถูกกำจัดออกมาทางปัสสาวะ

สาเหตุที่ทำให้ต่อมใต้สมองและสมองส่วนดังกล่าวเกิดความเสียหาย

ความผิดปกติทางพันธุกรรมซึ่งเกิดขึ้นได้น้อย

เนื้องอกที่สมองส่วนไฮโปทาลามัส หรือต่อมใต้สมอง

การสูญเสียเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงต่อมใต้สมอง

โรคบางชนิดที่ส่งผลให้สมองบวม

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

การบาดเจ็บที่ศีรษะ

การผ่าตัด

โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต (Nephrogenic Diabetes Insipidus)

เกิดจากความผิดปกติของไตที่ส่งผลให้ไตไม่สามารถตอบสนองต่อฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกได้

ความเสียหายของไตที่เกิดอาจเกิดขึ้นได้จาก

การใช้ยา เช่น ลิเทียม (lithium) เตตร้าไซคลิน หรือยาต้านไวรัสบางชนิด

ระดับแคลเซียมในร่างกายสูงมากเกินไป

โพแทสเซียมในร่างกายอยู่ในระดับต่ำ

โรคไตเรื้อรัง

ทางเดินปัสสาวะอุดตัน

การวินิจฉัยโรคเบาจืด

การตรวจปัสสาวะ

แพทย์จะนำเอาตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจเพื่อความเข้มข้นของปัสสาวะ ซึ่งหากผู้ป่วยเป็นโรคเบาจืด ปัสสาวะจะประกอบไปด้วยน้ำมากกว่าของเสีย

การตรวจด้วยการงดน้ำ

แพทย์จะตรวจโดยให้ผู้ป่วยงดดื่มน้ำหรือของเหลวอื่นหลายชั่วโมง เพื่อดูระดับของการตอบสนองของร่างกาย โดยระหว่างการตรวจ แพทย์จะวัดปริมาณปัสสาวะของผู้ป่วย และอาจเจาะเลือดเพื่อตรวจวัดระดับฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Antidiuretic Hormone: ADH) นอกจากนี้ แพทย์ยังอาจนำตัวอย่างเลือดและปัสสาวะที่ได้ไปตรวจหาปริมาณน้ำตาลและเกลือแร่ต่าง ๆ ซึ่งหากผู้ป่วยเป็นโรคเบาจืด ปริมาณปัสสาวะจะมาก ปัสสาวะจะเจือจาง แต่ถ้าหากภายในเลือดและปัสสาวะมีน้ำตาลสูงผู้ป่วยก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะป่วยด้วยโรคเบาหวานมากกว่าโรคเบาจืด

การทดสอบด้วยฮอร์โมนแอนติไดยูเรติก (Vasopressin Test)

หลังจากตรวจด้วยการงดน้ำแล้ว แพทย์อาจให้ฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกในปริมาณเล็กน้อย โดยมักฉีดเข้าทางหลอดเลือด ซึ่งวิธีนี้ทำให้แพทย์เห็นการตอบสนองที่ร่างกายมีต่อฮอร์โมนชนิดนี้ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ระบุชนิดของโรคเบาจืดได้ดียิ่งขึ้น

การตรวจด้วยวิธีการสแกนเอ็มอาร์ไอ (MRI Scan)

เป็นวิธีการตรวจวินิจฉัยในกรณีที่แพทย์สันนิษฐานว่าผู้ป่วยอาจเป็นโรคเบาจืดชนิดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง แพทย์จะเห็นความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัส หรือต่อมใต้สมองได้

การรักษาเบาจืด

การรักษาโรคเบาจืดที่เกิดจากจากความผิดปกติของสมอง

ารทดแทนปริมาณฮอร์โมนที่ขาดไป ด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ที่มีชื่อว่าเดสโมเพรสซิน (Desmopressin) แต่ถ้าหากอาการไม่รุนแรงมากนัก ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องรักษา และเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำให้มากขึ้นแทน โดยในการรักษาแพทย์อาจให้ผู้ป่วยใช้ยาชนิดพ่น ยารับประทาน หรือยาฉีดในการรักษาขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้ป่วย ทว่าหากผู้ป่วยมีความผิดปกติของต่อมใต้สมอง หรือสมองส่วนไฮโปทาลามัส เช่น มีเนื้องอก แพทย์จะต้องรักษาความผิดปกติเหล่านั้นให้หายก่อน

การรักษาโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต

รับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ เพื่อช่วยให้ปริมาณปัสสาวะลดลง และให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างเพียงพอเพื่อป้องกันภาวะขนาดน้ำ นอกจากนี้แพทย์อาจสั่งจ่ายยาไฮโดรคลอโรไทเอไซด์ (Hydrochlorothiazide) ซึ่งเป็นยาขับปัสสาวะ แต่มีฤทธิ์ในการลดการกรองเลือดของไตลงด้วย ซึ่งจะทำให้ปัสสาวะลดน้อยลงเมื่อไช้ยาไปสักระยะ หรือ NSAIDs อย่าง ไอบูโพรเฟน เพื่อช่วยลดปริมาณปัสสาวะ และอาจใช้ยาอื่นร่วมด้วย วิธีนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น

การรักษาโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของกลไกควบคุมการกระหายน้ำ และโรคเบาจืดที่เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์

การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่ลดปริมาณของเหลวที่บริโภคเข้าไป และอาจสั่งใช้ฮอร์โมนแอนติไดยูเรติกสังเคราะห์ เพื่อช่วยให้ปริมาณปัสสาวะลดลงด้วย ทั้งนี้หากผู้ป่วยมีอาการทางจิตร่วมด้วย การรักษาอาการทางจิตก็สามารถช่วยให้โรคเบาจืดทุเลาลงได้เช่นกัน และหากการใช้ยาไม่สามารถช่วยได้ก็อาจต้องใช้การรักษาด้วยวิธีอื่นแทน เพื่อปริมาณลดปัสสาวะลง

ภาวะแทรกซ้อนของเบาจืด

ภาวะขาดน้ำ

หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ

ปวดศีรษะ

ปากและริมฝีปากแห้ง

ตาลึกโบ๋

มีอาการมึนงง และหงุดหงิดง่าย

ภาวะเกลือแร่ในร่างกายเสียสมดุล

ปวดศีรษะ

อ่อนเพลีย หรือรู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา

มึนงง หงุดหงิดง่าย

ปวดกล้ามเนื้อ

ความอยากอาหารลดลง

คลื่นไส้

กล้ามเนื้อเป็นตะคริว

การพยาบาล

การหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ

หลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น

หากพบว่ามีอาการผิดปกติต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศีรษะและสมอง หรือมีอาการอื่น ๆ

ปัสสาวะบ่อยและมากผิดปกติ

กระหายน้ำตลอดเวลาก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด

การวินิจฉัยของผู้ป่วยใน Case

การตรวจร่างกาย

อุณหภมูิร่างกาย 37.8 องศาเซลเซียส อัตราการเต้นของหัวใจ 76 ครั้ง/นาที
ความดันโลหิต 128/58 มิลลิเมตรปรอท

การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

จำนวนเม็ดเลือดขาว 11,150 /mm3 ฮีโมโกลบิน 9.6 กรัม/เดซิลิตร โซเดีนม 138 mEq/L โพแทสเซียม 5.0 mEq/L