Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลในการประเมินภาวะสุขภาพของมารดาและภ์ทารกในครรภ์ - Coggle Diagram
การพยาบาลในการประเมินภาวะสุขภาพของมารดาและภ์ทารกในครรภ์
1.การประเมินทางคลินิก
ตรวจครรภ์
วัดระดับยอดมดลูก
การคลำขนาดทารก
การนับการดิ้นของทารกในครรภ์
ให้นับและบันทึกเมื่อ GA 28 wksขึ้นไป
วิธีการ
1.แบบกำหนดช่วงเวลา
(Fixed time period)
Sadovsky &Polishuk
นับการดิ้นครั้งละ 30 – 60 นาทีหลังอาหาร
เช้า กลางวัน เย็น แล้วนำมาบวกกัน ถือเป็นการนับใน 12 ชม.
Rayburn
นับการดิ้นทารกวันละครั้งในช่วงเวลาที่สะดวกนาน 1 ชม.
หรือมากกว่านั้น นับ 2 วันติดกันเมื่อ GA > 28 wks.
2.แบบกำหนดจำนวนครั้งที่ทารกดิ้น
(fixed number)
Pearson
“Cardiff Count to Ten” นับตั้งแต่ 08.00 น./09.00 น.
จนครบ 10 ครั้งหยุด ทา 32 wks. ขึ้นไป
Baskett & Liston
“Modified Cardiff Count” เหมือนวิธีของ pearson
แต่ลดเวลาลงเหลือ 4 ชม. (08.00-12.00 น.)
ทำเมื่อ 30 wks. ขึ้นไป
2.การประเมินโดยวิธีทางชีวฟิสิกส์
(Biophysical monitoring)
3) Amniography
การฉีดสารทึบแสง (radiopaque) เข้าไปในถุงน้าคร่ำแล้วถ่ายภาพรังสี
ดูปริมาณน้ำคร่ำที่ผิดปกติ
ดูตำแหน่งของรกและตรวจความผิดปกติของทารกได้ โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร เช่น esophageal atresia เป็นต้น
4) Amnioscopy
การส่องดูภายในถุงน้ำคร่่ำ มองผ่านเยื่อหุ้มทารก
กรณีปากมดลูกเปิดกว้างพอ
•สามารถตรวจดูลักษณะของน้าคร่าว่ามีขี้เทาปนหรือไม่
ใช้ส่องดูส่วนนาของทารกในรายที่ถุงน้าทูนหัวแตกแล้วและเจาะเลือดทารกเพื่อตรวจ blood gas
เกิดการติดเชื้อแก่ conceptive product
แaะ upper genital tract
2) Radiography
การถ่ายภาพรังสีอาจทาให้เกิดอันตรายแก่ทารกได้โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกเนื่องจากรังสีเป็น teratogens
ดังนั้นวิธีการถ่ายภาพรังสีจึงไม่นิยมทำในปัจจุบัน
การถ่ายภาพรังสี เพื่อประเมินอายุครรภ์
และตรวจหาตำแหน่งของรกได้
5) Fetoscopy
การส่องกล้องดูทารกในครรภ์โดยใช้เครื่องมือ endoscope ชนิดพิเศษที่เรียกว่า laparoamnioscope สอดใส่เข้าไปในถุงน้ำคร่ำ
โดยผ่านทางหน้าท้องของสตรีตั้งครรภ์
ตรวจสอบความผิดปกติของทารกในรายที่มีประวัติภาวะเสี่ยง
ใช้เก็บตัวอย่างเลือดทารกเพื่อตรวจวินิจฉัยภาวะ
fetal hemoglobinopathies
1) Ultrasonography
Doppler ultrasound
M-mode
B-mode (brightness mode)
Real-time ultrasound
A-mode (amplitude mode)
ไตรมาสแรกจะใช้การตรวจวัดความยาวจากศีรษะถึงกัน
ไตรมาสที่ 2 จะวัดค่า BPD ของศีรษะทารกและความยาวของกระดูกโคนขา (femur length [FL)
3.การประเมินโดยวิธีชีวเคมี
(Biochemical monitoring)
3.การตรวจตัวอย่าง
เลือดทารกในครรภ์
(fetal blood samping)
การเจาะเลือดจากสายสะดือทารกผ่านทางหน้าท้อง
การเจาะเลือดจากหนังศีรษะทารกในครรภ์
(Fetal scalp blood sampling)
ถ้าค่า PH 7.20 - 7.24 ถือว่าเป็น pre-acidosis ควรตรวจซ้้าภายใน 15 -20 นาที เพื่อดูการเปลี่ยนแปลง
ถ้า PH ต่้ากว่า 7.20 แสดงว่ามีภาวะ acdsis ควรช่วยให้การคลอดสิ้นสุดโดยเร็ว
4.การตรวจวิเคราะห์เนื้อรก
(chorionic villus samping)
ตรวจหา chromosome, วิเคราะห์ DNA, และ enzyme เพื่อหาความผิดปกติทางพันธุกรรมทารกในครรภ์
ตรวจเมื่อ GA 8 – 11 wks.
2.การตรวจเลือดสตรีตั้งครรภ์
(maternal blood study)
1.การตรวจหาระดับฮอร์โมน human placental lactogen (hPL)
ค่า hPL ใกล้ก้าหนดคลอด 5.4 – 7.0 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร
ระดับ hPL ต่้ากว่า 4 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร แสดงถึงทารกในครรภ์อยู่ในภาวะอันตราย
การตรวจหา alpha fetoprotein
(maternal serum alpha fetoprotein [MSAFP]
ระยะเวลาเหมาะสมในการตรวจ คือ GA 16-18 wks.
ระดับ MSAFP สูง/ต่้ากว่าปกติ ควรตรวจซ้้าและท้า U/S ยืนยันอายุครรภ์ รวมทั้งแยกจากภาวะครรภ์แฝด
ระดับ MSAFP สูงผิดปกติจะพบได้ในกรณีที่ทารกมีภาวะ open neural tube defect
ระดับ MSAFP ต่้ากว่าปกติพบว่าสัมพันธ์กับ Down's syndrome และ Edward's syndrome
การตรวจระดับ estriol ในเลือด
สูงพบได้ในสตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะเบาหวาน ครรภ์แฝดหรือไตท้าหน้าที่บกพร่อง
ลดลงอาจพบในรายที่ทารกในครรภ์มีภาวะผิดปกติ เช่น ต่อมหมวกไตฝ่อ anencephaly ในทารกที่มีภาวะ Down's syndrome และ Edward's syndrome
การตรวจหา akalne phosphatase
และ oxytocinase
alkaline phosphataseลดลง ในรายที่ทารกขาดอาหารหรือขาดออกซิเจนเรื้อรัง
oxytocinase ลดลงในรายที่ทารกตายในครรภ์
การตรวจหาฮอร์โมน human chorionic gonadotropin [hcG]
5.การเจาะถุงน้้าคร่ำ
(amniocentesis)
นิยม GA 16-18 wks.
การเจาะถุงน้้าคร่้าและดูดเอาน้้าคร่้ามาตรวจ โดยใช้เข็มเจาะผ่านหน้าท้องเข้าไปใน amniotic cavity ร่วมกับการ U/S ร่วม วิเคราะห์ DNA หาระดับของ AFP และ acetylcholinesterase
1.การตรวจระดับ estriol
ในปัสสาวะ (urine estriol)
ตรวจ 3 ครั้ง/wks.
ให้สตรีตั้งครรภ์ปัสสาวะทิ้งก่อน 1 ครั้ง จากนั้นเก็บ urine จนครบ 24 ชม. หากเก็บไม่ครบผลตรวจอาจผิดพลาด
การแปลผลค่า estriol ผิดปกติ
1.Estriol ลดลงฉับพลัน ต่้ากว่า 4 มก./24 ชม. >>> ทารกอาจตายในครรภ์ (ตรวจ NST, CST ร่วมเพื่อประเมิน utero-placental function)
2.Estriol ต่้าเรื้อรัง (chronically low) ต่้ากว่า 2 standard deviation >>> สาเหตุจาก IUGR, chronic utero-placental in sufficiency, ทารกพิการ, ทารกติดเชื้อ รกลอกตัว, ทารกมีความผิดปกติของไต, สตรีตั้งครรภ์มีภาวะ anemia,
3.Estriol ลดต่้าลงเรื่อยๆ
6.การตรวจวิเคราะห์น้้าคร่ำ
(amniotic fluid analysis)
เพื่อประเมินอายุครรภ์และ fetal maturity
การตรวจ Lecithin/sphingomyelin ratio (L/S ratio)
ค่า L:S ratio ปกติ มากกว่า 2.0 แสดงถึงปอดเจริญสมบูรณ์
Foam stability test หรือ shake test
แบบที่ 1 ทดสอบจำนวน 2 หลอด >> การแปลผล เกิดฟองอากาศขึ้นและคงอยู่นาน 15 นาที ทั้ง 2 หลอดทารกมีโอกาสเกิดภาวะ RDS น้อย
แบบที่ 2 ทดสอบจ้านวน 5 หลอด >> การแปลผล เกิดฟองอากาศใน 3 หลอดแรก แสดงว่าได้ผลบวกบ่งถึงความสมบูรณ์ของปอดทารก
การตรวจหาระดับ creatinine
ไม่ต่้ากว่า 2.0 มก./100 มล. แสดงว่าทารกในครรภ์เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
การตรวจ Nile blue test
เซลล์ติดสีส้มเป็นเซลล์ไขมัน การติดมากกว่าร้อยละ 50 ขึ้นไปแสดงว่าอายุครรภ์ครบก้าหนด
เซลล์ติดสีฟ้าไม่ใช่เซลล์ไขมัน
การตรวจเพื่อประเมินภาวการณ์
มีชีวิตของทารกในครรภ์
2.1 การตรวจดูสีหรือลักษณะทั่วไปของน้้าคร่้า
2.2 การตรวจระดับ bilirubin ในน้้าคร่้า
การตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรม
หรือความพิการแต่กำเนิด
3.1 การตรวจระดับ alpha fetoprotein (AFP)
3.3 การเพาะเลี้ยงเซลล์และตรวจ karyotyping
3.2 การตรวจหา enzyme เช่น phenyl alanine
การประเมินทางอิเล็กโทรนิก
Non-stress test (NST)
Reactive
ทารกจะอยู่ในภาวะปลอดภัย
Non-reactive
ทารกอยู่ในภาวะเสี่ยง
Contraction stress test (CST)
Negative
บ่งชี้ ทารกไม่มีอันตรายจาก
uteroplacental insufficiency ภายใน 1 สัปดาห์
Positive
บ่งชี้ว่า ทารกอยู่ในภาวะอันตราย
ควรให้คลอดโดยเร็ว
การประเมินโดย Biophysical profile (BPP)
1.การเคลื่อนไหวการ
หายใจของทารก(FBM)
2.การเคลื่อนไหวของ
ทารกส่วนล้าตัว(FM)
3.ความแข็งแรงของ
กล้ามเนื้อ(FT)
4.Non stress test (NST)
5.ปริมาณของน้้าคร่้า
(AFV)