Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
:star:เข้ากลุ่มครั้งที่ 4 วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 :star: - Coggle Diagram
:star:เข้ากลุ่มครั้งที่ 4 วันที่ 20 พฤษภาคม 2563 :star:
การตัดและซ่อมแซมฝีเย็บ
การตัดฝีเย็บ
การตัดเนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อบางส่วนของช่องคลอดและฝีเย็บ เพื่อขยายทางคลอดให้กว้างขึ้น
สาเหตุของการตัดฝีเย็บ
ความไม่สมดุลระหว่างศีรษะทารกกับฝีเย็บ
การคลอดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝีเย็บถูกยืดขยายอย่าง เนื่องจากแรงผลักดันมาก มดลูกหดรัดตัวแรงเกินไป มารดาเบ่งแรง รีบเอาศีรษะออกในรายที่คลอดท่าก้น โดยไม่ระวังฝีเย็บ
คลอดโดยใช้สูติศาสตร์หัตถการ โดยเฉพาะการใช้คีม เพราะความกว้างของ shank หรือการตัดเอาทารกออกเป็นส่วนๆ (Decapitation) โดยไม่ระวังฝีเย็บ
ประโยชน์ของการตัดฝีเย็บ
ลดอันตรายต่อสมองทารก จากการที่ศีรษะทารกถูกกดกับบริเวณปากช่องคลอดนาน ๆ
ภาวะเลือดออกภายในสมอง
ป้องกันการฉีกขาดของ Perineal body, External anal sphincter และผนังของ rectum
ป้องกันการฉีกขาดหรือการยืดหย่อนของ Pelvic floor
สะดวกแก่การซ่อมแซมฝีเย็บ
ช่วยลดระยะที่ 2 ของการคลอด
ข้อบ่งชี้ในการตัดฝีเย็บ
ผู้คลอดครรภ์แรก
ผู้คลอดครรภ์หลังที่เคยเย็บฝีเย็บมาแล้ว
การคลอดท่าก้น
การคลอดทารกก่อนกำหนด
เพื่อป้องกันไม่ให้ศีรษะทารกถูกกดดันมากเกินไป เนื่องจากทารกที่คลอดก่อนกำหนด จะเกิดภาวะเลือดออกในสมองได้ง่ายกว่าทารกที่คลอดครบกำหนด
ทารกมีขนาดใหญ่
ทารกที่คลอดโดยเอาท้ายทอยอยู่ทางด้านหลัง
ในรายที่ต้องทำสูติศาสตร์หัตถการ
ในรายที่เคยมีการฉีกขาดจนถึง Rectum ในการคลอดครั้งก่อน ๆ
ฝีเย็บแคบ สูง หรือ หนา
ชนิดของการตัดฝีเย็บ
Lateral episiotomy
เป็นการตัดจาก posterior fourchette ไปทางด้านข้างขนานกับแนวราบ
ไม่นิยมทำเนื่องจากเสียเลือดมาก แผลหายช้า หลังจากแผลหายแล้วรูปร่างของช่องคลอดมักผิดปกติ และอาจตัดโคนท่อ Bartholin’s gland
Median episiotomy
เป็นการตัดจาก posterior fourchette ลงไปตามแนวดิ่ง และควรหยุดห่างจากกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักอย่างน้อย 1 ชม.
เป็นวิธีที่นิยมทำ เนื่องจากเสียเลือดน้อย การเย็บซ่อมแซมทำได้ง่าย และไม่รู้สึกเจ็บปวดที่บาดแผลภายหลังคลอดเท่ากับแบบ Medio - Lateral แต่มีโอกาสฉีกขาดลุกลามไปถึง rectum ได้มากกว่าแบบ Medio - Lateral episiotomy
Medio - Lateral episiotomy
เป็นการตัดจากจุด posterior fourchette ลงไป โดยทำมุมกับแนวดิ่ง 45 องศา
เป็นวิธีที่นิยมทำ เนื่องจากมีโอกาสฉีกขาดลุกลามไปถึง rectum ได้น้อยกว่าแบบ median แต่การเย็บซ่อมแซมยากกว่า median
เวลาที่เหมาะสมในการตัดฝีเย็บ
ในกรณีที่คลอดปกติ
ไม่ควรตัดฝีเย็บเร็วเกินไป และไม่ควรตัดช้าเกินไป เวลาที่ เหมาะสมในการตัดฝีเย็บ
ตัดระหว่างที่ มีการหดรัดตัวของมดลูก และเมื่อตัดแล้วคาดว่าศีรษะทารกจะคลอดภายในเวลาที่มดลูกหดรัดตัวอีก 2 – 4 ครั้ง
ในรายที่ใช้เครื่องมือช่วยคลอด
ควรใส่เครื่องมือให้เรียบร้อย และลองดึงประมาณ 1-2 ครั้ง ถ้า ส่วนนำมีการเคลื่อนต่ำลงมา จึงตัดฝีเย็บ
ควรตัดขณะที่ก้นทารกโผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อย
วิธีการตัดฝีเย็บ
ฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณที่จะตัด โดยแทงเข็มฉีดยาเป็นรูป Fan – shaped แห่งละไม่เกิน 3 ซีซี ห่างกัน 1 ซม.
เพื่อไป Block Perineal nerve และ Inferior hemorrhoidal nerve
ยาชาที่ใช้ เช่น 2 % Xylocaine c adrenaline 1 : 80,000, 1 % Xylocaine เป็นต้น
ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมือซ้าย (ผู้ที่ถนัดขวา) สอดระหว่างฝีเย็บและส่วนนำของทารกแล้ว จึงสอดกรรไกรเข้าไปตัด
ควรตัดเพียงครั้งเดียว เพราะถ้าตัดหลายครั้งขอบแผลจะไม่เรียบ และต้องคาดคะเนขนาดให้พอดี
ตัดฝีเย็บผ่านผิวหนังและกล้ามเนื้อภายใน superficial perineal compartment ตามชนิด ที่ต้องการตัด
เพื่อความสะดวกในการเย็บซ่อมแซมฝีเย็บ ควรเริ่มตัดให้ตรงกับกึ่งกลางของ Fourchette
ข้อควรระวังในการตัดฝีเย็บ
ต้องตัดให้แผลยาวพอ
เลือกวิธีตัดให้เหมาะสม
ระวังตัดถูกกล้ามเนื้อรอบหูรูดทวารหนัก ( Sphinctor ani)
เริ่มตัดจากตรงกลางของ Fourchette
ภาวะแทรกซ้อนจากการตัดฝีเย็บ
การติดเชื้อ
ความเจ็บปวด
การเสียเลือด
มีความเจ็บปวดเวลาร่วมเพศ
การพยาบาลขณะที่ตัดฝีเย็บ
บอกให้ผู้คลอดทราบ
ฉีดยาชาอย่างถูกวิธีให้ในขนาดที่เหมาะสมและระวังไม่ฉีดเข้าไปในหลอดเลือด
ตัดฝีเย็บในเวลาที่เหมาะสม
สังเกตฤทธิ์ข้างเคียงของยาชา ซึ่งเกิดจากฉีดยาเข้าหลอดเลือด ได้แก่ ซึม มีอาการกระตุกตามใบหน้า แขน ขา ชัก ทางเดินหายใจถูกกด การไหลเวียนของโลหิตไม่เพียงพอ
สังเกตปริมาณเลือดที่ออกจากฝีเย็บ ถ้ามีเลือดออกมาก ควร stop bleeding
การซ่อมแซมฝีเย็บ (Perineorrhaphy)
เป็นการเย็บซ่อม Fascia และกล้ามเนื้อ ด้วยไหมละลาย No 2/0 - 3/0 ให้ขอบแผลเชื่อม กันเหมือนเดิม
ระดับการฉีกขาดของฝีเย็บ
First degree tear
เป็นการฉีกขาดของผิวหนังที่ฝีเย็บและชั้นเยื่อบุผนังช่องคลอด
Second degree tear
เป็นการฉีกขาดของชั้นผิวหนัง เยื่อบุ พังผืด และกล้ามเนื้อของช่อง คลอดและฝีเย็บ
Third degree tear
เป็นการฉีกขาดเช่นเดียวกับ Second degree tear และกล้ามเนื้อเนื้อหู รูดทวารหนัก
Fourth degree tear
เป็นการฉีกขาดเช่นเดียวกับ Third degree tear และมีการฉีกขาดต่อ จากกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักจนถึงผนังของ Rectum
ชนิดของการเย็บแผล
Interrupted simple suture
การเย็บแผลทั้งสองข้างให้มาบรรจบกันตรงกลางแล้วผูกปม การเย็บควรใช้เข็มตักให้ห่างจากขอบแผลประมาณ 1 ซม. และลึกลงข้างใต้แผลประมาณ 1 ซม. หรือมากกว่า
Horizontal figure-of-eight suture
(การเย็บรูปเลข 8 ) ใช้เย็บจุดเลือดออก เย็บ rectus sheath และแผลอื่น ๆ แทนการเย็บแบบที่ 1 ได้
Continuous non-locking
ใช้ไหมเส้นเดียวเย็บตลอดความยาวของแผลแล้วจึงผูกปม ทำได้ง่าย เสร็จแล้ว ใช้เย็บเนื้อเยื่อที่ไม่ต้องการแรงยึดมากนัก
Continuous lock
วิธีเย็บคล้ายกับแบบ simple suture แต่ใช้ไหมเส้นเดียวกันเย็บตลอด ความยาวของแผล ใช้เย็บในรายที่ต้องการให้ส่วนที่เย็บตึงมากกว่าวิธีที่ 3 เป็นการช่วยให้เลือดหยุด
Subcuticular stitch
ใช้เย็บชั้นใต้ผิวหนัง เริ่มต้นจากมุมแผล แล้วใช้เข็มแทงใต้ผิวหนังเข้าไป ห่างจากขอบอย่างน้อย 0.3 เซนติเมตร เข้าและออกในขอบแผลทั้งสองข้าง ที่ระดับเดียวกันจนถึงมุมแผลอีกข้างจึงผูกปม
การป้องกันการตกเลือดระยะที่ 3 ของการคลอด
แรกรับผู้คลอด
ค้นหาปัจจัยเสี่ยง หลีกเลี่ยงหรือรักษาปัจจัยเสี่ยง และให้การเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
แก้ไขปัญหาภาวะซีดก่อนคลอด เช่น เม็ดเลือดแดงต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น
ในรายที่มีความเสี่ยงสูง ควรงดน้ำและอาหารทางปาก
ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ เจาะเลือดตรวจหาความเข้มข้นของเลือด จองเลือดให้พร้อม
ประเมินการหดรัดตัวของมดลูกและดูแลกระเพาะปัสสาวะให้วาง
เพื่อป้องกันการคลอดที่ยาวนาน และระมัดระวังการได้รับยาบรรเทาปวดมากเกินไป เพราะจะทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
เตรียมทีมสหสาขาวิชาชีพประกอบด้วยสูติแพทย์ วิสัญญีแพทย์ ธนาคารเลือด หรือ ส่งตัว
เพื่อคลอดในสถานที่ที่มีความพร้อม
การดูแลในระยะคลอด
หลีกเลี่ยงหรือรักษาปัจจัยเสี่ยง
การคลอดยาวนาน การติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ เป็นต้น ระมัดระวังไม่ให้เบ่งคลอดยาวนานเกินไป
ทำคลอดในระยะที่สองและสามของการคลอดอย่างถูกต้องและเหมาะสม ไม่บีบเคล้นหรือ คลึงมดลูกก่อนรกลอกตัว
เพราะอาจทำให้รกลอกตัวผิดปกติและรกค้างได้ และเมื่อตรวจพบวารกลอกตัวสมบูรณ์แล้วควรทำคลอดรกทันที
ดูแลแบบ active management of the third stage of labor (AMTSL)
ให้ออกซิโทซิน 10ยูนิต เข้ากล้ามเนื้อ หลังทารกคลอด หรือผสมออกซิโทซิน 10 –20 ยูนิต ในสารละลาย 1,000 มิลลิลิตรเข้าทางหลอดเลือดดำ หยดต่อเนื่อง 100 –150 มิลลิลิตร/ชั่วโมง
การหนีบสายสะดือทารกภายใน 1-3 นาทีหลังทารกคลอด
ทำคลอดรกด้วยวิธีดึงสายสะดือ (controlled cord traction)
โดยหนีบสายสะดือใกล้ ฝีเย็บโดยใช้ sponge forceps จับสายสะดือให้ตึงเล็กน้อย รอจนมดลูกหดรัดตัวดีแล้วดึงสายสะดือลงอย่างนุ่มนวล
ขณะที่มืออีกข้างวางเหนือกระดูกหัวหน่าว คอยดันมดลูกไม่ให้เคลื่อนตามลงมาเพื่อป้องกันมดลูกปลิ้น พยายามให้ผู้คลอดช่วยเบ่งขณะดึง ถ้ารกไม่เคลื่อนตามขณะดึง 30-40 วินาที ให้หยุดและทำใหม่ เมื่อมดลูกมีการหดรัดตัวครั้งต่อไป
4 คลึงมดลูกทันทีหลังรกคลอดให้มดลูกหดรัดตัวดี
ตรวจคลำมดลูกเช็คการแข็งตัวทุก 15 นาที ใน 2 ชั่วโมงแรก และนวดซ้ำตามความจำเป็น
5 ตรวจรกว่าครบหรือไม่
ตรวจดูช่องทางคลอดว่ามีการฉีกขาดหรือไม่ และเย็บซ่อมแซมโดยเร็ว
ให้ oxytocin ต่อใน 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
การดูแลในระยะหลังคลอด
1 ในระยะ 2 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
เฝ้าระวังการตกเลือดหลังคลอดอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นระยะที่เกิดการตกเลือดหลังคลอดได้มากที่สุด
โดยตรวจคลำมดลูกว่ามีการหดรัดตัวหรือไม่
ประเมินปริมาณเลือดที่ออกจากช่องคลอด อาการทั่วไป
วัดสัญญาณชีพ ทุก 15-30 นาที
2 ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง โดยกระตุ้นให้ถ่ายปัสสาวะ
เพื่อไม่ขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูกและทำให้ตกเลือดหลังคลอดได้หากปัสสาวะเองไม่ได้อาจพิจารณาสวนปัสสาวะทิ้ง :
3 ในรายที่ได้รับออกซิโทซินอยูแล้ว ภายหลังคลอดควรให้ต่อไปอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
4 สอนให้ผู้คลอดคลึงมดลูกเพื่อให้มดลูกหดรัดตัวจนแข็งจึงหยุดคลึง
5 ตรวจดูการบวมเลือดของอวัยวะสืบพันธุ์หลังคลอด
การคาดคะการเสียเลือด
การตกเลือดหลังคลอด หมายถึงการเสียเลือดผ่านทางช่องคลอด ภายหลังทารกคลอดมีปริมาณตั้งแต่ 500 มิลลิลิตรขึ้นไป เป็นภาวะแทรกซ้อนในทางสูติศาสตร์ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่สำคัญสาเหตุหนึ่งของมารดาหลังคลอด
การประเมินการสูญเสียเลือดโดยการคาดคะเนด้วยตาเปล่านั้น มักคลาดเคลื่อนน้อยกว่าความเป็นจริงเสมอ
ส่วนใหญ่มักจะประเมินต่ำกว่าความเป็นจริง เมื่อมารดาหลังคลอดมีอาการ และอาการแสดงของการตกเลือดหลังคลอดแล้ว
หากไม่ ได้รับความช่วยเหลือที่รวดเร็วและทันท่วงที อาจทำให้มารดาเสียชีวิตได้ภายใน 2 ชั่วโมงหลังคลอด
การประเมินการสูญเสียเลือดในระยะคลอดที่แม่นยำจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การวินิจฉัยและรักษาภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เป็นการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายของมารดาหลังคลอด
วิธีการประเมินการสูญเสียเลือด
ประเมินจากอาการแสดงทางคลินิก
การวัดปริมาณเลือด
การคาดคะเนด้วยตาเปล่า
การตวงเลือด
การชั่งน้ำหนักเลือด
การวัดความเข้มข้นของเลือด
แต่ละวิธีมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก ไม่สะดวกในการนำมาปฏิบัติ แต่พบว่าวิธีการตวงเลือด เป็นวิธีทีแม่นยำและน่าเชื่อถือ การตวงเลือดบางวิธีสะดวก แต่มีราคาค่อนข้างแพง
ชุดถุงพลาสติกโพลีฟิล์มรองเลือด
ชุดถุงพลาสติกโพลีฟิล์มรองเลือด
สามารถนำไปประเมินการสูญเสียเลือดในระยะคลอดที่แม่นยำ มีต้นทุนต่ำ ผลิต จากวัสดุที่หาง่าย ราคาถูก
โดยใช้วัสดุส่วนหนึ่งจากวัสดุที่ ใช้แล้วบางส่วนเป็นวัสดุคงทนสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้
ชุดถุงพลาสติกโพลีฟิล์มรองเลือดที่พัฒนาขึ้นสามารถมองประสิทธิผลของการใช้ถุงเก็บปัสสาวะที่ทำจากถุงพลาสติก
เห็นปริมาณเลือดที่สูญเสียได้ตลอดเวลา โดยสังเกตที่ อุปกรณ์วัดปริมาตร (ถ้วยตวง) รองรับเลือดที่วางบนขา ตั้งสเตนเลสได้เลย ไม่ต้องเสียเวลานำไปตวงอีก
ทำให้การประเมินการสูญเสียเลือดได้รวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้น เป็นการพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง และป้องกันภาวะตกเลือดหลังคลอดให้มีประสิทธิภาพ ก่อนที่มารดาจะมีอาการตกเลือดหรือมีภาวะช็อก
ช่วยลดอัตราการเกิดภาวะทุพพลภาพและการเสียชีวิตของมารดา ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการนอนโรงพยาบาลนาน
ระดับการสูญเสียเลือด
ระดับที่1
ปริมาณการสูญเสียเลือดร้อยละ 15-20 (500-1,000 มิลลิลิตร)
มีอาการใจสั่น มึนงง ชีพจรและความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ระดับที่2
ปริมาณการสูญเสียเลือดร้อยละ 20-25 (1,000-1,500 มิลลิลิตร)
อาการอ่อนแรง เหงื่อออก ชีพจรเต้นเร็วมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิตตำเล็กน้อย (80-100 มิลลิเมตรปรอท)
ระดับที่3
ปริมาณการสูญเสียเลือดร้อยละ 30 (1,500-2,000 มิลลิลิตร)
อาการกระสับกระส่าย ซีด ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเร็วมากกว่า 120 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิตลดลงอยู่ในช่วง 70-80 มิลลิเมตรปรอท
ระดับที่4
ปริมาณการสูญเสียเลือดมากกว่า 2,500 มิลลิลิตร
อาการหมดสติ ขาดอากาศหายใจ ไม่มี ปัสสาวะ ชีพจรเต้นเร็วมากกว่า 140 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิตลดลงอย่างมาก อยู่ในช่วง 50-70 มิลลิเมตรปรอท
การสูญเสียเลือดระดับ 3 และระดับ 4 มีความรุนแรงมาก หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที จะทำให้ผู้คลอดเสียชีวิตภายใน 1-1 ½ ชั่วโมง เนื่องจากการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว
การประเมินและการพยาบาลผู้คลอด 2 ชั่วโมงหลังคลอด
การประเมินสภาพร่างกายทั่วไป
การรวบรวมข้อมูลประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดของครรภ์ปัจจุบัน
การวัดสัญญาณชีพ
เพราะจะเป็นสัญญาณที่บอกความปกติหรือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ให้ประเมินสภาพการหดรัดตัวของมดลูก
ดูขนาดตำแหน่งและความสูงของมดลูก
มดลูกที่หดรัดตัวดีจะมีลักษณะกลมแข็ง ต่ำกว่าระดับสะดือ
ถ้ามดลูกนิ่มลอยอยู่เหนือสะดือ อาจทำให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด
ประเมินสภาวะของกระเพาะปัสสาวะว่าเต็มหรือว่าง
เพราะถ้ามีปัสสาวะคั่งค้าง จะทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี
น้ำคาวปลา (Lochia) ในระยะนี้จะมีลักษณะสีแดงสด
ประเมินสภาพของช่องทางคลอดและแผลฝีเย็บว่ามีภาวะ Hematoma บวมช้ำหรือความเจ็บปวดมากน้อยเพียงใด ระดับการฉีกขาดของแผลฝีเย็บ
ความไม่สุขสบายต่าง ๆ
ประเมินอาการอ่อนเพลีย ความเจ็บปวดและการรับรู้ต่อสิ่งแวดล้อมภายหลังคลอด
การประเมินสภาวะด้านจิตสังคม
ประเมินความรู้สึกต่อการคลอดหรือ สังเกตปฏิกิริยาที่แสดงออกกับทารกว่าเป็นอย่างไร
มารดาจะอ่อนเพลียมาก ไม่ควรรบกวนมารดามากเกินไปและดูแลให้พักผ่อนเต็มที่
การดูแลมารดาหลังคลอด 2 ชั่วโมง
1 จัดให้มารดานอนหงายราบในท่าที่สบาย ให้นอนหนีบขาเข้าหากัน เพื่อให้แผลที่เย็บไม่ตึงเกินไป
2 ดูแลร่างกายของมารดาให้สะอาด โดยเปลี่ยนผ้าที่เปียกและเปรอะเปื้อนออกไป เช็ดตัวให้แห้งสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าให้
สังเกตการหดรัดตัวของมดลูกทุก 15 นาที ใน 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด และทุก 30 นาทีในชั่วโมงที่สอง
ถ้ามดลูกหดรัดตัวไม่ดีควรจะคลึงมดลูก
ถ้ามดลูกหดรัดตัวแข็งอยู่แล้วไม่ควรจะกระตุ้นอีกเพราะจะทำให้มดลูกหดรัดตัวมากเกินไปเป็นผลให้เกิดการตกเลือดหลังคลอด
4 สังเกตจำนวนและลักษณะของเลือดที่ออกทางช่องคลอด
โดยหลังรกคลอดจะเสือเลือดประมาณ 100 - 200 ซีซี. และในระยะที่สี่ของการคลอดนี้จะมีเลือดออกได้อีก 100 ซีซี. ซึ่งรวมแล้วมารดาจะเสียเลือดประมาณ 300 ซีซี.
แต่ถ้ามีเลือดออกมาจำนวนเกิน 500 ซีซี. ขึ้นไป ถือว่ามีการตกเลือดหลังคลอดเกิดขึ้น
5 ตรวจดูกระเพาะปัสสาวะให้ว่างอยู่เสมอ
ถ้าพบกระเพาะปัสสาวะ จะขัดขวางต่อการหดรัดของมดลูก ทำให้เกิดการตกเลือด หลังคลอดได้ ถ้าปัสสาวะไม่ออกอาจต้องสวนปัสสาวะ
6 วัดสัญญาณชัพทุก 15 นาที ในชั่วโมงแรกหลังคลอด แล้ววัดทุก 30 นาทีในชั่วโมงที่สองหลังคลอด
การวัดอุณหภูมิภายหลังคลอด
อุณหภูมิอาจสูงหรือต่ำกว่าปกติเล็กน้อย ถ้าสูงกว่า 37.7 o C เรียกว่า Reactionary fever พบใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
8 ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายของมารดา
โดยการห่มผ้าเพื่อป้องกันอาการหนาวสั่นในระยะหลังคลอด
9 เนื่องจากมีการ NPO ทำให้ร่างกายมีการสูญเสียน้ำ ในระยะเจ็บครรภ์และระยะคลอด
หลังคลอดมารดาจึงกระหายน้ำ และหลังคลอดให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ได้ทันที
10 มารดามีความอ่อนเพลียจากการคลอด
พยายามให้มารดาได้พักผ่อนนอนหลับเต็มที่
11 มารดาที่มีแผลที่ฝีเย็บหรือมีการหดรัดตัวของมดลูกที่รุนแรง
จะมีผลให้มารดาเจ็บปวดมาก ควรให้ยาแก้ปวดหรือยานอนหลับ เพื่อให้มารดาได้พักเต็มที่
12 สังเกตดูแผลที่ฝีเย็บว่ามีการฉีกขาดของแผลที่เย็บไว้หรือไม่ มีอาการบวมหรือไม่ ดูอาการคั่งของเลือดคือ เกิด Hematoma ที่บริเวณแผลฝีเย็บ
13 การเขียนรายงานการคลอด จะทำให้เสร็จพร้อม ๆ กับกระบวนการคลอด สิ้นสุดลงเวลาย้ายมารดาออกไปหน่วยหลังคลอดจะต้องส่งรายงานการคลอดไปพร้อมกันด้วย
14 การย้ายมารดาออกจากห้องคลอด ภายหลังการคลอด 2 ชั่วโมง
หลักการประเมินมาราหลังคลอดตามแนวทางอื่น ๆ
หลักการประเมิน 5B
1 Black ground and Body condition คือ การตรวจสอบประวัติการคลอด
Breast and Lactation คือ การประเมินลักษณะของเต้านม หัวนม และการไหลของน้ำนม
3.Bladder and Uterus คือ Bladder เป็นการประเมินกระเพาะปัสสาวะ
Bleeding ,Lochia and Episiotomy คือ ประเมินลักษณะและปริมาณของเลือดหรือน้ำคาวปลาที่ออกจากช่องคลอด
Bottom คือ การประเมินทวารหนักและอวัยวะโดยรอบว่ามีอาการปวด บวม แดง หรือมีเลือดคั่งหรือไม่
หลักการประเมิน 13 สำหรับมารดาหลังคลอด
1) Black ground ภูมิหลัง
2) Body condition การประเมินภาวะร่างกาย
3) Body temperature and blood pressure อุณหภูมิร่างกายและความดันโลหิต
4) Breast and lactation เต้านมและการหลั่งน้ำนม
5) Belly and fundus หน้าท้องและยอดมดลูก
6) Bowel movement การทำงานของลำไส้
7) Bladder กระเพาะปัสสาวะ
8) Bleeding and lochia เลือดและน้ำคาวปลา
9) Bottom ฝีเย็บและทวารหนัก
10) Blues ภาวะด้านจิตใจ
11) Baby ทารก
12) Bonding and attachment สัมพันธภาพ
13) Belief ความเชื่อ
การส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างบิดา มารดา ทารกและสมาชิกในครอบครัว
การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดาและทารก ทำได้หลายแนวทาง
การสัมผัสเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดาและทารก
โดยเฉพาะการสัมผัสทารกใกล้ชิดทางผิวหนังโดยตรง เพราะการสัมผัสเป็นการสื่อภาษา และสื่อสารสู่ทารกรวมทั้งความรู้สึกต่างๆ
เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อมารดาและทารก โดยเฉพาะถ้าบิดา มารดาได้สัมผัสบุตรทันทีภายหลังคลอดและ 3 วันแรกหลังคลอด
การให้ทารกได้ดูดนมมารดาตั้งแต่ชั่วโมงแรกๆหลังคลอด
เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์มาดาและทารกในการสร้างความรักใคร่ผูกพันเพราะขณะที่ทารกดูดนมมารดาจะทำให้ผิดหนังของทารกได้สัมผัสผิวหนังของมารดาโดยตรง
ทำให้มารกรู้สึกอบอุ่น มีความสุข ทารกและมารดาจะสบตากัน ความรู้สึกของมารดาและทารกจะถ่ายทอดถึงกันอย่างแนบแน่นใกล้ชิด
การให้บิดาได้สัมผัสโอบอุ้มทารกเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบิดากับทารก
ให้ความรู้แก่บิดาในการดูแลทารกช่วยให้บิดาสามารถตอบสนองความต้องการของทารกได้มากขึ้น
การที่บิดาได้ช่วยเหลือมารดาในการดูแลทารกนับเป็นแรงสนับสนุนทางสังคมที่ทำให้มารดามีความเครียดลงลดลง
การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดาและทารก
การให้คำแนะนำแก่บิดามารดาเกี่ยวกับความรักใครผูกพันก่อนทารกคลอด
ห้ามารดาได้พบทารกโดยเร็วที่สุดในเวลาที่มารดาและทารกมีความไวต่อการสร้างความรักใคร่ผูกพัน
ต่อกัน คือภายใน 45-60 นาทีภายหลังทารกเกิด
รวมทั้งส่งเสริมให้มารดามีส่วนร่วมในการกระตุ้นระบบประสาทการรับรู้ของทารก
ให้บิดาได้อุ้ม สัมผัส และประสานตากับทารกทันทีหลังทารกคลอด
ให้คำแนะนำแก่บิดาเกี่ยวกับวิธีการอาบน้ำและการอุ้มทารก
นายสุธีรัตน์ ทำของดี เลขที่ 142 รหัสนักศึกษา 612401145