Please enable JavaScript.

Coggle requires JavaScript to display documents.

บทที่ 3 การเตรียมและการช่วยเหลือมารดาและทารกที่ได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือ…

- - - - ใน 26 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ค่า S > L
      - อายคุรรภ์26 –34 สัปดาห์ ค่า L/S = 1 : 1
      - อายคุรรภ์ 34 –36 สัปดาห์ ค่า L จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ S จะลดลง เล็กน้อยทำให้ ratio สูงขึ้น เปลี่ยนเป็น 2: 1
      - ถ้า L/S ratio > 2 แสดงว่า ปอดของทารกสมบูรณ์เต็มที่โอกาสเกิดภาวะ RDS ตํ่า
  - - - ถ้าเกิดฟองอากาศเกิดขึ้นและคงอยู่นาน 15 นาทีทั้ง 2 หลอด แสดงว่า ได้ผลบวก บ่งชี้ว่าทารกมีโอกาสเกิด RDS น้อย
      - ถ้าพบฟองอากาศเฉพาะหลอดที่ 1 แสดงว่า ได้ผลลบ ปอดของทารก ยังไม่สมบูรณ์
    - - มีฟองอากาศ 3 หลอดแรก แสดงว่า ได้ผลบวกปอดของทารกเจริญเต็มที่
      - มีฟองอากาศ 2 หลอดแรก แสดงว่า ได้ผล intermediate ปอดทารกยังเจริญไม่เต็มที่
      - มีฟองอากาศหลอดเดียวหรือไม่พบแสดงได้ผลลบ ปอดทารกยังเจริญไม่เต็มที่
      - ถ้าได้ผลลบควรตรวจหาค่า L/S ratio ต่อไปเพราะอาจเป็นผลลบลวง (false negative)
  - - - เก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง (24-hour urine) และเก็บในช่วงเวลาเดียวกันเสมอ
        
        แนะนําให้ปัสสาวะทิ้งก่อน 1 ครั้งแล้วเริ่มเก็บจนครบ 24 ชั่วโมง
        
        เริ่มเมื่อ GA 28 wks และตรวจ 3 ครั้ง/สัปดาห์ จนอายุครรภ์ครบกำหนด
        
        ค่า estriol ลดลงฉับพลัน คือ ผลการตรวจครั้งใดครั้งหนึ่งตํ่ากว่าค่าเฉลี่ย เกิน 50 % แสดงว่า ทารกอยู่ในภาวะอันตราย (ควรตรวจNST และ CST เพื่อประเมินการทาํงานของรก)
        
        ค่า estriol ต่ำอย่างเรื้อรัง คือ ต่ำกว่า 2-SD ของค่าเฉลี่ยทุกครั้งที่ตรวจ อาจเกิดจาก chronic uteroplacentalinsufficiency,IUGR,ทารกพิการแต่กําเนิด,ทารกติดเชื้อเรื้อรัง
    - - การเก็บตัวอย่างเลือดดำ 2 mlโดยเจาะเลือดในเวลาเดียวกันทุกครั้ง เพราะระดับ estriol ในเลือดจะไม่คงที่
        
        การแปลผลค่า unconjugated estriolใน plasma
        
        ค่า สูง พบในเบาหวาน ครรภแ์ฝด
        
        ค่า ต่ำ พบในทารกในครรภ์มีต่อมหมวกไตฝ่อ หรือ anencephaly
  - - - เวลาที่เหมาะสมในการตรวจ คือ GA16 –18 wks
        
        ถ้าพบระดับ MSAFPสูงหรือต่ำกว่าปกติ
        
        ควรตรวจซํ้าและทำ ultrasound เพื่อยืนยันอายุครรภ์ รวมทั้งแยกจากภาวะครรภ์แฝด
        
        จากนั้นทำ amniocentesisตรวจวเิคราะห์นํ้าคร่ำหา ระดับ AFP ในนํ้าคร่ำ
        
        ค่าปกติ AFP 2.0 - 2.5 MOM (Multiple of median)
  - - - GA ที่เหมาะสม คือ 16 -18 wksมีปริมาณนํ้าคร่ำ 150 –250 ml แต่การเพาะเลี้ยงเซลล์ใช้เวลาประมาณ 10 วัน ถ้าทารกผิดปกติ และต้องการทำแท้งจะทำได้ยากกว่าในไตรมาสแรก
- - - - นับผลรวมของการดิ้นในช่วงเวลา 12 ชั่วโมง (08.00 –20.00 น.) โดยแนะนำให้นับวันละ 3 ช่วง ได้แก่ 1 ชั่วโมง ตอนเช้า1 ชั่วโมง ตอนเที่ยง และ 1 ชั่วโมงตอนเย็น ผลรวมเป็นจำนวนครั้งที่ทารกดิ้นต่อวัน
        
        ในแต่ละช่วง ถ้าทารกดิ้น< 3 ครั้ง ควรนับต่อไปอีก 1 ชั่วโมง แล้วทำเช่นนี้ในวันถัดไป
        
        ถ้าดิ้น < 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมง 2 วันติดกัน ถือว่าเป็นสัญญาณ อันตราย ควรรีบมาพบแพทย์
    - - เป็นการนับจำนวนทารกเคลื่อนไหวตั้งแต่ 09.00 น. จนครบ 10 ครั้ง ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง (ถึง 21.00 น.)
        
        เริ่มทำตั้งแต่อายุครรภ์ 32 สัปดาห์
        
        ถ้าเด็กดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมง แสดงว่า เกิดภาวะ decrease of fetal movement (DFM)
    - - เทคนิคการนับเหมือนวิธีของ Pearson
        
        แต่เริ่มทำตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์
        
        ถ้าเด็กดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมง แสดงว่าเกิดภาวะ DFM
  - - - เป็นการปล่อยคลื่นเสียงความถี่สูงออกไปจากต้นกําเนิดเสียง และเปิดเครื่องรอรับสัญญาณเสียงสะท้อนกลับ
      - ในทางการแพทย์tranducerprobe มีหน้าที่ส่งคลื่นเสียงความถี่สูงออกไปยังส่วนที่ต้องการตรวจ และรับคลื่นเสียงสะท้อนกลับและแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งส่งสัญญาณกลับไปปรากฎเป็นรูปต่าง ๆ
      - ควรตรวจเมื่อ GA 7-10 wksผดิพลาดไม่เกิน 5 วัน ช่วงนี้เชื่อถืออายุครรภ์ได้สูงสุด
  - - - คะแนนเต็ม เท่ากับ 10 คะแนน
        
        8 –10 ปกติ
        
        4 - 6 ผิดปกติควรเฝ้าติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
        
        0-2 ผิดปกติควรยุติการตั้งครรภ์
  - - - ค่าปกติ คือ 2.1 – 8ซม.
        
        ค่าที่อยู่ระหว่าง 0 –2 ซม. ถือว่า มีภาวะนํ้าคร่ำน้อย (Oligohydramnios)
        
        ค่าที่ > 8 ซม. ถือว่า มีภาวะนํ้าคร่ำมากกว่าปกติ (Polyhydramniosหรือ Hydramnios)
    - - ค่าปกติ คือ 5 –25 ซม.
        
        ถ้า< 5 ซม.ถือว่า Oligohydramnios
        
        ถ้า> 25 ซม.ถือว่า Polyhydramnios
- - - - ขณะที่มี acceleration อาจจะมีหรือไม่มีการดิ้นของทารก ในครรภ์ร่วมด้วยก็ได้
        
        FHS เพิ่มจาก baseline ≥15 ครั้ง/นาที และคงอยู่นาน≥ 15 วินาทีในแต่ละครั้งของการดิ้นเกิดขึ้นอย่างน้อย 2 ครั้ง ภายใน 20 นาที
        
        FHS 120-160 ครั้ง/นาที
        
        1.Reactive
      - 4.Suspicious
        
        การเพิ่มของ FHS < 2 ครั้ง หรืออัตราเพิ่ม< 15 ครั้ง/ นาที หรืออยู่สั้นกว่า 15 วินาที เมื่อทารกดิ้น
        
        มี long term variability
      - 3.Uninterpretable
        
        คุณภาพการทดสอบไม่สามารถแปลผลได้
        
        ควรทำภายใน 24-48 ชั่วโมง
      - Non-reactive
        • การเพิ่มขึ้นของ FHR ไม่เป็นไปตามเกณฑ์หรือไม่มีการเพิ่มขึ้นของ FHR เลยในการตรวจนาน 40 นาทีควรตรวจ OCT หรือ BPP ต่อ
  - - - เมื่อมดลูกหดรัดตัว เลือดไหลเวียนจากรกไปสู่ทารกน้อยลง จะทำให้ทารกขาดเลือดหรือออกซิเจนชั่วคราว
      - ทารกที่มีปริมาณออกซิเจนสำรองเพียงพอ จะทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้
      - ทารกมีออกซิเจนสาํรองไม่เพียงพอ จะเกิดภาวะขาดออกซิเจน
    - - 1.Negative
        •ไม่มี late deceleration
        •base line variability ปกติ
        •FHS เพิ่มขึ้นหลังทารกดิ้นหรือมดลูกหดรัดตัว
      - 2.Positive
        •มี late deceleration ทุกครั้งในระยะช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูก
        •base line variability มักจะลดลงกว่าปกติ
        •FHSไม่เพิ่ม เมื่อทารกดิ้นหรือมดลูกหดรัดตัว
      - 3.Suspicious
        •มี late deceleration เป็นครั้งคราว •base line variability อาจปกติหรือลดลง
        •ถ้าไม่มีการเพิ่มของ FHS เมื่อทารกดิ้น ควรทำซํ้าใน 24 ชั่วโมง
      - 4.Hyperstimulation
        •มดลูกมีการหดรัดตวัมากกว่าปกติ หรือหดรัดตวัแรงมาก
        •ในกรณีนี้ถ้ามี late deceleration เกิดขึ้นจะแปลผลไม่ได้
      - 5.Unsatisfactory
        •ไม่สามารถแปลผลเนื่องจากกราฟที่บันทึกไม่สามารถอ่านได้หรือมีการ หดรัดตัวของมดลูกน้อยกว่า3 ครั้งในเวลา 10 นาที