Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การพยาบาลมารดาในระยะหลังคลอด - Coggle Diagram
การพยาบาลมารดาในระยะหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงด้านสรีรวิทยาของมารดาในระยะหลังคลอด
กระบวนการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงมดลูก
ขนาดและน้ำหนักของมดลูก
การลดระดับของมดลูก
มดลูกเข้าอู่
กระบวนการย่อยสลายโมเลกุล
การหดรัดตัวของใยกล้ามเนื้อมดลูก
เยื่อบุโพรงมดลูก
ทันทีหลังรกคลอด
ตำแหน่งที่รกเกาะจะเกิดแผล
ผลจากการเกิด
uterine contraction และarterial vasoconstriction
ทำให้เกิดการหายของแผล
มีการลอกหลุดของเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว
ถ้าหากมีการตั้งครรภ์ครั้งใหม่
1 more item...
กระบวนการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุโพรงมดลูก
ชั้นนอก (spongy layer)
Lochia
การหดรัดตัวของมดลูกในระยะนี้
เป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยในการห้ามเลือด
ทำให้เกิดการตายของเยื่อบุโพรงมดลูก
หากมดลูกหดรัดตัวไม่ดี
จะทำให้หลอดเลือดเหล่านี้ปิดไม่สนิท
เกิดภาวะตกเลือด หลังคลอดได้
ชั้นใน (basal layer)
สร้างเยื่อบุโพรงมดลูกขึ้นใหม่
กระบวนการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของมดลูก
น้ำคาวปลา
สิ่งที่ถูกขับออกมาจากแผลในโพรงมดลูกบริเวณตำแหน่งที่เกาะของรก
น้ำคาวปลาปกติ
ลักษณะเลือดปนน้ำเหลือง
มีฤทธิ์เป็นด่าง
หมดภายในสัปดาห์ที่ 3 หรือ สัปดาห์ที่ 4
มี 3 ลักษณะ
Lochia serosa
Lochia alba
Lochia rubra
กระบวนการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงปากมดลูก
ปากมดลูก
ไม่เคยผ่านการคลอด
ภายหลังคลอด ปากมดลูก บวม บาง ช้ำ
เคยผ่านการคลอด
ลักษณะคล้ายปากปลา
กระบวนการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของช่องคลอด
ภายใน 6 – 10 สัปดาห์
ผนังช่องคลอดฟื้นตัวกลบัสสู่ภาวะปกต
หากมีเพศสัมพันธ์ก่อนอาจจะเกดิความเจ็บปวดได
ภายในสัปดาห์ที่ 3 – 4 หลังคลอด
ผนังช่องคลอดจะค่อยๆฟื้นตัวช้าๆ
กระบวนการที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฝีเย็บ
แผลฝีเย็บหายเหมือนก่อนการตั้งครรภ์
ประมาณ 4-6 เดือน
หลังคลอด บริเวณฝีเย็บจะร้อนแดง erythematous เกิดจากการคั่งและบวมช้ า
กรณีตัดฝีเย็บหรือมีการฉีกขาดแผลฝีเย็บจะเริ่มหาย ภายใน 2 – 3 สัปดาห์
บางรายมีความไม่สุขสบาย
ปวดแผลฝีเย็บ
อาจนาน 6 เดือนหลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงหัวนมและเต้านมหลังคลอด
ต่อมใต้สมองผลิตฮอร์โมน prolactin เพิ่มขึ้น ทำให้มีการสร้างน้ำนม
ระยะนี้เกิดกลไกการผลิตน้ำนม (production of milk) หลั่งน้ำนม (let – down reflex)
หลังคลอด ฮอร์โมน estrogen และ progesterone ลดลงอย่างรวดเร็ว มีการไหลเวียน เพิ่มที่เต้านม
การเปลี่ยนแปลงของระบบต่อมไร้ท่อ
ฮอร์โมนต่างๆในร่างกายลดลง เพื่อปรับฮอร์โมนในร่างกายให้เป็นปกติ
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะ
ส่วนประกอบของน้ำปัสสาวะ
ระยะแรกหลังคลอดพบ lactosuria
ระดับblood urea nitrogen สูงในมารดา BF
อาจพบ mild proteinuria (+1)
อาจพบ ketonuriaได้ในผู้คลอดที่คลอดยาวนานร่วมกับมีภาวะ dehydration
การขับออกทางเหงื่อและปัสสาวะในระยะหลัง คลอด
2-3 วันแรกหลังคลอดมารดาจะรู้สึกไม่สุขสบายจากการมีเหงื่อออกมากโดยเฉพาะในเวลา กลางคืนและปัสสาวะออกมา ประมาณ 2,000-3,000 ml.
ไต
การทำงานของไตลดลง
ท่อไตและกรวยไตที่ขยายในระยะตั้งครรภ์
จะกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนการตั้งครรภ์ ภายใน 4-6สัปดาห์หลังคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบหัวใจและหลอดเลือด
การเสียเลือดในระยะคลอด ทำให้ปริมาณเลือดในร่างกายลดลง ประมาณ 1-2 สัปดาห์
ปริมาณเลือดจะเหมือนก่อนการตั้งครรภ์ จากปัจจัย
ฮอร์โมนจากรกลดลง เนื่องจากสูญเสียการทำหน้าที่
น้ำนอกเซลล์กลับเข้าสู่หลอดเลือด
สิ้นสุดการไหลเวียนเลือดระหว่างมารดาและทารก
การขับออกของรก สูญเสียเลือดประมาณ 300-500 ml. (C/S สูญเสียเลือดประมาณ 1,000 ml.)
การเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินอาหาร
ท้องผูก
น้ำหนัก
ลดลงทันทีหลังคลอด ประมาณ 4.5 -5.5 กก. จากการคลอดทารกและการสูญเสียเลือด
ความอยากอาหาร
มีความอยากเพิ่มขึ้นจากการสูญเสียพลังงานในการคลอด
การเปลี่ยนแปลงของระบบผิวหนัง
Striae gravidarum บริเวณหน้าท้อง เต้านม และต้นขา จะค่อยๆจางเป็นสีเงิน และจะไปหายสมบูรณ์
หลอดเลือดที่ผิดปกติ เช่น spider angiomus, plamar erythema และ epulis โดยปกติจะลดลง
Linea nigra, Facial chloasma สีผิวที่เข้มขึ้นบริเวณ ลานนมจะจางลง และหายไป
การเปลี่ยนแปลงของระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้าง
กล้ามเนื้อและข้อต่อ
1 – 2 วันหลังคลอดมารดามักมีอาการล้าและปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ เป็นผลมาจากการเบ่งคลอด การลดลงของระดับ relaxin ช้าๆ
ประมาณ 6-8 สัปดาห์หลังคลอดข้อต่อจะกลับคืนสู่สภาพ เหมือนเดิมก่อนตั้งครรภ์
กล้ามเนื้อหน้าท้อง
ผนังกล้ามเนื้อมีการยืดขยายจากการคลอด ความตึงตัว ของกล้ามเนื้อลดลงโดยเฉพาะสตรีที่ผ่านการคลอดหลายครั้ง พบ diastasis recti เกิดจาก rectus abdomenis ออกเป็น 2 ส่วน ท าให้ไม่มีกล้ามเนื้อตรงกลางหน้าท้อง
การส่งเสริมสุขภาพในมารดาหลังคลอด
การดูแลแผลฝีเย็บและน้ำคาวปลา
การประเมินแผลฝีเย็บและน้ำคาวปลา ควรประเมินอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน โดยใช้หลักการREEDA
การบรรเทาความไม่สุขสบายจากการปวดแผลฝีเย็บ
sitz bath (การนั่งแช่ก้น) ใช้บรรเทาความปวดริดสีดวงทวาร
hot sitz bath (การนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่น) ช่วยให้ไหลเวียนโลหิตดีขีึ้น
cool sitz bath (การนั่งแช่ก้นในน้ำเย็น) ช่วยลดอาการบวมของฝีเย็บและลดการตอบสนองของประสาทส่วนปลาย
ice pack (การวางถุงน้ำแข็ง) ใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
การใช้ยาแก้ปวด
การอบแผลฝีเย็บด้วย intra red light
ช่วยลดอาการบวมของแผลฝีเย็บ
การขับถ่ายปัสสาวะและอุจจาระ
ขับถ่ายปัสสาวะ
ความความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะลดลงหลังคลอด
กระตุ้นให้ปัสสาวะ
ภายใน 4 ชั่วโมง
ขบัถ่ายอุจจาระ
มีอาการท้องผูก 3-4 วัน
ให้ยาระบายอ่อนๆ หรือสวนอุจจาระ
การบรรเทาอาการปวด
อธิบายให้ทราบว่าอาการปวดมดลูกเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ใน 1-2วันแรกหลังคลอด
โดยเฉพาะมารดาครรภ์หลังที่มีอาการปวดมากกว่าครรภ์แรก
ห้ามประคบความร้อนบริเวณหน้าท้องในวันแรก เพราะมดลูกจะคลายตัวและทำให้เกิด PPH ตามมา
รับประทานยาแก้ปวดก่อน BF อย่างน้อย 30นาที หากมีอาการปวดมดลูกมาก
แนะนำให้นอนคว่ำโดยใช้หมอนรองใต้ท้องน้อยทำให้มดลูกถูกกด เป็นการกระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัว และน้ำคาวปลาไหลออกได้สะดวก
ส่งปรึกษาแพทย์หากมีอาการปวดมดลูกมากกว่าปกติ และนานมากกว่า 72ชั่วโมง เนื่องจาก อาจมีเศษรกและก้อนเลือดค้างในโพรงมดลูก
ดูแลกระเพาะปัสสาวะให้ว่าง กระตุ้นปัสสาวะทุก 3 –4 ชั่วโมง
ส่งเสริมการนอนหลับพักผ่อน
ให้คำแนะนำมารดาในการใช้เทคนิคการผ่อนคลาย
จัดสิ่งแวดล้อมให้เงียบ สงบ และส่งเสริมการพักผ่อน
ปรับกิจกรรมการพยาบาลอย่างเป็นระบบ
รบกวนมารดาน้อยที่สุด เพื่อให้พักผ่อนอย่างเต็มที่
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และอาหารที่ทำให้ท้องอืด
แนะนำให้มารดาหลังคลอดปรับเปลี่ยนเวลานอน เช่น ให้นอนหลับพักผ่อนพร้อม บุตรหรือหาบุคคลอื่นช่วยดูแลบุตรเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย
การทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์และการเปลี่ยนผ้าอนามัย
วิธีจับผ้าอนามัย ควรจับกับด้านที่ไม่สัมผัสกับอวัยวะสืบพันธุ์ ใส่และถอดผ้าอนามัย จากด้านหน้าไปด้านหลัง
โดยใส่ให้กระชับไม่เลื่อนไปมา เพราะอาจนำเชื้อโรคจากทวารหนักมายังช่องคลอดได้
เปลี่ยนผ้าอนามัยเมื่อรู้สึกเปียกชุ่มหรือทุกครั้งหลังขับถ่ายและล้างมือก่อนและหลังจับผ้าอนามัยทุกครั้ง
ทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์ภายนอกด้วยสบู่และน้ำสะอาดโดยล้างจากด้านหน้าไปด้านหลังเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากทวารหนักและซับให้แห้งหลังขับถ่าย
สังเกตความผิดปกติของน้ำคาวปลาขณะขับถ่ายและเปลี่ยนผ้าอนามัย
ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์
การรับประทานอาหารและการควบคุมน้ำหนักในมารดาหลังคลอด
อาหาร สมุนไพรเร่งน้ำนม
เมล็ดของลูกซัด
ปลีกล้วย
เหง้าขิง
การบริหารร่างกายของมารดาหลังคลอด
กรณีรู้สึกเหนื่อยมาก น้ำคาวปลาไหลมาก หรือ หน้า มืด
ให้หยุดพัก และลดระยะเวลาความแรงในการบริหารร่างกายในครั้งถัดไป
มารดาหลังคลอดปกติ ควรเริ่มบริหารร่างกายภายใน 24 ชม.แรก
ควรบริหารวันละ 20-30 นาที จนครบ 6 สัปดาห์หลังคลอด
มารดาควรปัสสาวะและให้นมบุตรอิ่มก่อนเริ่มบริหาร
ประโยชน์
มดลูกเข้าอู่เร็ว
ผ่อนคลายความตึงเครียดของร่างกาย
น้ำาวปลาไหลสะดวก
ท่าบริหารร่างกายหลังคลอด
http://www.somdej.or.th/index.php/2016-10-18-08-56-03
ฝึกการหายใจ และบริหารปอด
ท่าบริหารเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อ ก้นย้อย กล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บ
เพื่อให้มดลูกเข้าอู่เร็ว
และลดอาการปวดหลัง
บริหารไหล่ และแขน
การบริหารกล้ามเนื้อน่อง และข้อเท้า
การบริหารคอและกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะเพื่อลดความเครียด
บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและอุ้งเชิงกรานพร้อมกัน
การบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อหน้าอกแข็งแรง และเต้านมไม่หย่อนยาน
การเปลี่ยนแปลงด้านจิตสังคมของมารดาในระยะหลังคลอด
พันธกิจในระยะหลังคลอด
การปรับตัวในการดูแลบุตร
การตอบสนองของบุตรต่อการดูแล
การยอมรับบุตร
ความคิดเห็นจากบคุคลใกล้ชิดและบุคลากรทางสุขภาพ
การกำหนดตำแหน่งสมาชิกในครอบครัวให้บุตรคนใหม่
การปรับตัวมารดาหลังคลอด
ระยะพึ่งพา
เป็นระยะที่ต้องการพึ่งพาผู้อื่น
การพยาบาล
ควรส่งเสริมให้มารดาได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ
ดูแลให้มารดามีความสุขสบาย
เปิดโอกาสให้มารดาระบายความรู้สึก
เกิดใน 1-2 วันแรก หลังคลอด
ระยะกึ่งพึ่งพา
เป็นระยะที่เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
การพยาบาล
ควรให้ ค าแนะน าในการดูแลบุตร
กระตุ้นให้มารดาฝึกบทบาทในการดูแลบุตร
เพื่อลดความ กังวลและสร้างความมั่นใจ
เกิดขึ้นในช่วง 3-10 วันหลังคลอด
ระยะพึ่งตนเอง
เป็นระยะที่มารดามีความเป็นตัวเองมากขึ้น
เกิดขึ้น ประมาณ 2 สัปดาห์หลัง คลอด
ปรับตัวต่อบทบาทการเป็นมารดา
ควรส่งเสริมให้มารดามีการ ตอบสนองความต้องการของ ทารกที่เหมาะสม
การดำรงบทบาทการเป็นมารดา
ระยะคาดหวังบทบาท
ระยะการกระทำบทบาทตามรูปแบบ
ระยะการกระทำบทบาทของตนเองที่ไม่เป็นตามรูปแบบเฉพาะ
ระยะการกระทำบทบาทตามเอกลักษณข์องตนเอง (1-4 เดือนหลังคลอด)
ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับตัวของมารดาหลังคลอด
อายุ
สัมพันธภาพ ระหว่างคู่สมรส
ภาวะสุขภาพของบุตร
ภาวะสุขภาพของมารดา
ด้านครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อม
ระดับการศึกษาและรายได้ครอบครัว