Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด, นางสาวจิราภรณ์ โกสายา เลขที่ 17…
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด
การส่งเสริมสัมพันธภาพมารดาและทารกหลังคลอด
Bonding (ความผูกพัน)
กระบวนการผูกพันทางอารมณ์ที่พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู
มีต่อทารกฝ่ายเดียว เกิดขึ้นตั้งแต่วางแผนตั้งครรภ์
ทราบว่าตั้งครรภ์ หรือเกิดขึ้นชัดเจนเมื่อรับรู้ว่าลูกดิ้น และเพิ่มสูงสุดเมื่อทารกคลอดออกมา
Attachment (สัมพันธภาพ)
ความรู้สึกรักใคร่ผูกพันระหว่างทารกกับพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดู เกิดจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นพิเศษ
และคงอยู่ถาวร จะเกิดขึ้นทีละเล็กละน้อยจากความใกล้ชิด ห่วงใย อาทร เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นความผูกพันทางใจ
จะใช้เวลาในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
การพัฒนาสัมพันธภาพในระยะหลังคลอด
ในระยะแรกหลังคลอดทันที มารดาจะแสดงความรักความผูกพันกับลูก
ตั้งแต่นาทีแรกหลังคลอดจนกระทั่งถึง 1 ชั่วโมงแรกหลังคลอด
เป็นช่วงที่มารดามีความรู้สึกไวที่สุด (Sensitive period) และทารกมีความตื่นตัว
จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ก่อให้เกิดความรักใคร่ผูกพันระหว่างมารดาทารก
กระบวนการพัฒนาสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
ระยะตั้งครรภ์
ขั้นที่ 2 การยืนยันการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 3 การยอมรับการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 4 การรับรู้การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์
ขั้นที่ 5 การยอมรับว่าทารกในครรภ์เป็นบุคคลคนหนึ่ง
ระยะก่อนการตั้งครรภ์
ขั้นที่ 1 การวางแผนการตั้งครรภ์
ระยะคลอดและระยะหลังคลอด
ขั้นที่ 6 การสนใจดูแลสุขภาพตนเองและทารก
ในครรภ์และการแสวงหาการคลอดที่ปลอดภัย
ขั้นที่ 7 การมองดูทารก
ขั้นที่ 8 การสัมผัสทารก
ขั้นที่ 9 การดูแลทารกและให้ทารกดูดนม
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก ในระยะแรกเกิด
การสัมผัส (Touch, Tactile sense)
พฤติกรรมสำคัญที่จะผูกพันมารดาและบุตรคือ
ความสนใจของมารดาในการสัมผัสบุตร โดยจะเริ่มสัมผัสบุตร
ด้วยการใช้นิ้วสัมผัสแขนขา จากนั้นจะบีบนวดสัมผัสตามลำตัว
ทารกจะมีการจับมือและดึงผมมารดาเป็นการตอบสนอง
การประสานสายตา (Eye to eye contact)
เป็นสื่อที่สำคัญต่อการเริ่มต้นพัฒนาการด้านความเชื่อมั่น ความไว้วางใจ และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น มารดาจะรู้สึกผูกพันใกล้ชิดมากขึ้น
เมื่อทารกลืมตาและสบตาตนเอง มารดาส่วนใหญ่จึงพยายามมอง
อย่างเผชิญหน้า (Face to face position) เพื่อให้ประสานสายตากับทารกได้ดีขึ้น ระยะที่ทารกสามารถมองเห็นมารดาได้ชัดเจนคือ 8-12 นิ้ว
การใช้เสียง (Voice)
การตอบสนองเริ่มทันทีที่ทารกเกิด มารดาจะรอฟังเสียงทารกร้องครั้งแรก
เพื่อยืนยันภาวะสุขภาพของทารก และทารกแรกเกิดจะตอบสนองต่อ
ระดับเสียงสูง (High pitch voice) ได้ดีกว่าเสียงต่ำ (Deep loud voice)
จังหวะชีวภาพ (Biorhythmcity)
หลังคลอดทารกจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมภายนอกที่แตกต่าง
จากครรภ์มารดา มารดาจะช่วยทารกให้สร้างจังหวะชีวภาพได้ โดยขณะที่ทารกร้องไห้ มารดาอุ้มทารกไว้แนบอก ทารกจะรับรู้เสียงการเต้นของหัวใจมารดา
ซึ่งทารกจะคุ้นเคยตั้งแต่ในครรภ์ ทำให้ทารกมีความรู้สึกมั่นคงยิ่งขึ้น
การเคลื่อนไหวเป็นจังหวะตามเสียงพูด (Entrainment)
ทารกเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายเป็นจังหวะสัมพันธ์กับ
เสียงพูดสูงต่ำของมารดา เช่น ขยับแขน ขา ยิ้ม หัวเราะ เป็นต้น
การรับกลิ่น (Odor)
มารดาจำกลิ่นกายของทารกได้ตั้งแต่แรกคลอด และแยกกลิ่นทารก
ออกจากทารกอื่นได้ภายใน 3-4 วันหลังคลอด ส่วนทารกสามารถแยกกลิ่นมารดา
และหันเข้าหากลิ่นน้ำนมมารดาได้ภายในเวลา 6-10 วันหลังคลอด
การให้ความอบอุ่น (Body warmth หรือ Heat)
มีการศึกษาพบว่า หลังทารกคลอดทันที ได้รับการเช็ดตัว
ให้แห้ง ห่อตัวทารกและนำทารกให้มารดาโอบกอดทันที
ทารกจะไม่เกิดการสูญเสียความร้อน และทารกจะเกิด
ความผ่อนคลายเมื่อได้รับความอบอุ่นจากมารดา
การให้ภูมิคุ้มกันทางน้ำนม (T and B lymphocyte)
ทารกจะได้รับภูมิคุ้มกันในนมแม่ ได้แก่ T lymphocyte B lymphocyte และ lmmunoglobulin A ช่วยป้องกัน
และทำลายเชื้อโรคในระบบทางเดินอาหาร
การให้ภูมิคุ้มกันทางเดินหายใจ (Bacteria nasal flora)
ขณะมารดาอุ้ม โอบกอดทารก จะมีการถ่ายทอดเชื้อโรค
ในระบบทางเดินหายใจ (normal flora)
ของมารดาสู่ทารก เกิดภูมิคุ้มกันช่วยป้องกัน
ทารกติดเชื้อจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
การประเมินสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
ใช้การสังเกต สอบถาม
ความสนใจในการดูแลตนเองของตนเองและทารก
พฤติกรรมปฏิสัมพันธ์ระหว่างมารดาและทารก
ความสามารถในการปฏิบัติบทบาทการเป็นมารดา
ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของทารก
พฤติกรรมของมารดาและทารกที่แสดงถึง
การขาดสัมพันธภาพ (Lack of attachment)
ไม่สนใจมองบุตร สีหน้าเมินเฉยหรือหันหน้าหนี
ไม่ตอบสนองต่อบุตร เช่น ไม่สัมผัส ไม่ยิ้ม ไม่อุ้มกอดทารก เป็นต้น
พูดถึงบุตรในทางลบ
แสดงท่าทางหรือคำพูดที่ไม่พึงพอใจขณะดูแลบุตร
ขาดความสนใจในการซักถาม
เกี่ยวกับพฤติกรรมของบุตรและการเลี้ยงดูบุตร
บทบาทของพยาบาลผดุงครรภ์ในการ
ส่งเสริมสัมพันธภาพระหว่างมารดากับทารก
ระยะตั้งครรภ์
ยอมรับการตั้งครรภ์
ครอบครัวคอยให้กำลังใจ
การปรับบทบาทการเป็นบิดา มารดา
ยอมรับความเป็นบุคคลของทารกในครรภ์
การกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
ระยะคลอด
ลดความวิตกกังวลของผู้คลอด
ให้ข้อมูลเป็นสื่อกลางระหว่างผู้คลอดและครอบครัว
สร้างบรรยากาศให้เกิดความไว้วางใจ
ส่งเสริมให้การคลอดผ่านไปอย่างปลอดภัย
ระยะหลังคลอด
ส่งเสริมให้มารดาสัมผัส โอบกอดทารกทันทีหลังคลอด
ในระยะ sensitive period
Rooming in โดยเร็วที่สุด
ให้คำแนะนำในการดูแลบุตร
ตอบสนองความต้องการของมารดา
กระตุ้นให้มีปฏิสัมพันธ์กับทารก
เป็นตัวแบบในการสร้างสัมพันธภาพกับทารก
ให้มารดา ทารก บิดา ได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง
นางสาวจิราภรณ์ โกสายา เลขที่ 17 ห้อง A