Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
โรคกลากน้ำนม(Pityriasis alba), นางสาว ศุภสุตา โกยสมบูรณ์ เลขที่ 51 รหัส…
โรคกลากน้ำนม(Pityriasis alba)
ความหมาย
กลากน้ำนม (Pityriasis Alba) หรือเกลื้อนน้ำนม เป็นโรคผิดปกติทางผิวหนังที่เกิดจากการลดจำนวนของเม็ดสีที่ผิวหนังลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้สีผิวบริเวณนั้นจางลงเป็นวงด่าง โดยในช่วงแรกอาจเป็นผื่นชมพูอ่อน ๆ แห้งและตกสะเก็ด คล้ายอาการผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) โรคนี้สามารถพบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักเกิดกับเด็กและวัยรุ่นได้มากกว่าวัยอื่น
อาจเรียกว่า “โรคด่างแดด” เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่ชั้นหนังกำพร้าไม่สามารถสร้างเม็ดสีได้ตามปกติ ทำให้ผิวหนังส่วนนั้นจางลงกลายเป็นวงด่างขาว
กลากน้ำนมเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย
เด็กวัยตั้งแต่อายุประมาณ 3-16 ปี
สามารถพบได้ทั้งในเด็กชายและเด็กหญิง
เด็กที่มีอายุน้อยกว่า 12 ปี
เด็กที่มีอายุน้อยกว่านี้หรือผู้ใหญ่ก็อาจเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
อาการและรอยโรค
ในระยะเริ่มแรกรอยโรคจะเกิดเป็นจุดแดงเล็ก ๆ ก่อน (ในระยะนี้อาจมีอาการคันที่ผื่นได้ และผู้ป่วยอาจไม่ทันได้สังเกตเห็น) แล้วจุดแดงนี้จะแผ่ขยายเป็นวงสีแดงหรือสีชมพูจาง ๆ ขนาดตั้งแต่ 0.5-4 เซนติเมตร มีขุยบาง ๆ ต่อมาจะจางลงทำให้เห็นเป็นวงสีขาว ๆ มีขุยบาง ๆ ติดอยู่
รอยโรคจะมีลักษณะเป็นวงกลมหรือวงรี ขอบเขตไม่ชัดเจน ขอบมักจะค่อย ๆ กลืนไปกับสีผิวหนังปกติ (รอยด่างขาวจะเห็นได้ชัดตรงกลาง แล้วจางออกไปทางส่วนริม จึงทำให้ขอบของวงดูไม่ชัดเจน และในคนผิวคล้ำวงขาวของกลากน้ำนมจะเห็นได้ชัดมากกว่าในคนผิวขาว) ซึ่งผู้ป่วยจะไม่มีอาการคันหรือเจ็บแต่อย่างใด
ลักษณะผื่นเป็นรอยด่างขาวราบขอบเขตไม่ชัดเจน ไม่มีขุยหรืออาจมีขุยบาง ๆ ไม่มีอาการใด ๆ มักพบตามใบหน้า ลำตัว คอ หรือแขนขา จำนวนอาจมีวงเดียว หรือหลาย ๆ วงก็ได้
หลังจากการเกิดผื่นแดงผ่านไปหลายสัปดาห์ หลังจากนั้นสีของรอยด่างจะค่อย ๆ อ่อนลง ซีดจางกว่าสีผิวบริเวณรอบ ๆ (Hypopigmented) ทำให้สามารถสังเกตเห็นได้ง่ายโดยเฉพาะคนผิวคล้ำ แต่รอยด่างจะค่อย ๆ หายได้เองภายในไม่กี่เดือน บางรายอาจมีอาการเป็นปี หรืออาจจะดีขึ้นเมื่อมีการทามอยส์เชอไรเซอร์
โรคนี้อาจเป็นเรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ นาน 1-2 ปี แต่จะไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียงแต่อย่างใด ยกเว้นปัญหาในด้านความงามและภาพลักษณ์ และเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้วกลากน้ำนมมักจะหายไปได้เอง
โรคนี้เป็นโรคที่หายได้เองและจะไม่ทิ้งรอยด่างหรือแผลเป็นเอาไว้ แต่ก็อาจกลับมาเป็นซ้ำได้อีก (มักจะหายได้เองภายในเวลาเป็นเดือนหรือหนึ่งปี)
โรคนี้ไม่สามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้ เพราะไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราแต่อย่างใด
สาเหตุ
เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ที่ชั้นหนังกำพร้าไม่สามารถสร้างเม็ดสี (Pigment) ได้ตามปกติ จึงทำให้ผิวหนังในส่วนนั้นกลายเป็นรอยด่างขาว
ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากการแพ้ลม แพ้คลอรีนหรือแพ้แสงแดด การติดเชื้อแบคทีเรีย ภาวะขาดอาหาร การผิดอาหาร สบู่ที่มีด่างมากและน้ำเหลืองเสีย หรืออาจเกิดจากเชื้อที่เกิดออกมาพร้อมกับน้ำมูกหรือน้ำใส ๆ ที่ออกมาทางจมูก และมักพบในคนที่มีพันธุกรรมเป็นโรคภูมิแพ้ (Atopic dermatitis) ซึ่งจะทำให้ผิวหนังมีภาวะที่ไวต่อลมและแสงแดด
อาจเกิดจาก รังสีอัลตราไวโอเลต ภาวะร่างกายขาดสารทองแดง หรือเชื้อรา (Malassezia Yeasts) ที่อาจกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสีจนทำให้เกิดการผลิตเม็ดสีน้อยลงจนเกิดเป็นรอยด่าง
การดูแลรักษาและการป้องกัน
ถ้าเป็นผื่นแพ้คลอรีน อาจใช้ prednisolone 1% ทาบาง ๆและหลีกเลี่ยงคลอรีน
แนะนำว่าไม่มีอันตราย พบว่าหายเองได้
หลีกเลี่ยงแสงแดด
ถ้าผิวหนังแห้ง ทาครีม โลชั่นหรือวาสลินบาง ๆ
5.การอาบน้ำหรือการล้างทำความสะอาดบริเวณที่เป็นรอยโรค ควรใช้สบู่อ่อน ๆ เช่น สบู่เหลว สบู่เด็ก หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสำหรับเด็กอ่อน
6.อาบน้ำอุณหภูมิปกติหรืออุ่นพอประมาณ ไม่อุ่นมากจนเกินไป
7.การใช้เครื่องสำอางกับผิวบริเวณที่เป็นโรค ควรใช้เครื่องสำอางชนิดไม่แพ้และชนิดอ่อนโยนต่อผิวหนัง
ยาเเละครีม
ในรายที่เกิดอาการคันรุนแรง อาจต้องใช้ยาทาผิวช่วยบรรเทา ซึ่งมีทั้งแบบมีสเตียรอยด์อ่อน ๆ และไม่มีสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม
ยาไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone)
ยาพิเมโครลิมัส (Pimecrolimus)
ยาทากลุ่มต้านแคลซินูริน (Calcineurin Inhibitors)
ทาโครลิมัส (Tacrolimus)
ถ้าพบว่าเป็นกลากน้ำนมจริง แพทย์จะให้ทาด้วยครีมสเตียรอยด์ (Corticosteroid) ความเข้มข้นต่ำโดยให้ทาวันละ 1-2 ครั้ง ในระยะเวลาที่จำกัดภายใต้การดูแลของแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน
ครีมไตรแอมซิโนโลน อะเซโทไนด์ 0.02% (TA / Triamcinolone acetonide 0.02% cream)
ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1-2% (Hydrocortisone 1-2% cream)
ห้ามใช้ครีมสเตียรอยด์ความเข้มข้นสูงหรือชนิดที่แรง ๆ เพราะอาจทำให้ผิวหนังเป็นรอยด่างขาวจากยาได้ ซึ่งจะรักษาให้หายได้ยาก
ห้ามซื้อยาทาประเภทแสบร้อนหรือขี้ผึ้งเบอร์ต่าง ๆ มาใช้ทา เพราะอาจทำให้หน้าไหม้เกรียม หรือหนังแห้งเป็นผื่นดำได้
การวินิจฉัย
แพทย์จะสอบถามประวัติผู้ป่วยในเบื้องต้น ตรวจดูสภาพผิวและตำแหน่งรอยด่างที่เกิดตามร่างกาย แต่ในบางรายอาจต้องตรวจด้านอื่นเพิ่มเติม เพื่อช่วยยืนยันผลการวินิจฉัย เนื่องจากโรคกลากน้ำนมมีอาการคล้ายคลึงกับโรคที่มีภาวะไฮเปอร์พิกเมนเทชั่น (Hypopigmentation) อื่น ๆ เช่น โรคกลาก โรคเกลื้อน ซึ่งทำให้สีผิวซีดจางกว่าสีผิวปกติข้างเคียงเช่นเดียวกับโรคกลากน้ำนม
การตรวจแยกโรค
1.การตรวจด้วยแสงอัลตราไวโอเลต (Wood Lamp Examination) เป็นการใช้ไฟส่องไปยังบริเวณผิวหนังที่เป็นรอยด่างด้วยเครื่องมือพิเศษ หากพบว่าเป็นโรค จะทำให้มองเห็นผิวบริเวณนั้นเรืองแสง
2.การขูดตัวอย่างผิวหนังส่งตรวจ (Skin Scraping) โดยแพทย์จะขูดเอาตัวอย่างผิวบริเวณที่เป็นรอยด่างส่งไปตรวจที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดูชนิดของเชื้อรา
3.การตัดชิ้นเนื้อ (Skin Biopsy) โดยตัดชิ้นผิวหนังที่เป็นรอยด่างบางส่วนออกมาตรวจวิเคราะห์ ซึ่งช่วยให้ทราบว่าเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังและจำนวนเม็ดสีที่ลดลง แต่มักไม่ต้องตรวจถึงขั้นนี้
นางสาว ศุภสุตา โกยสมบูรณ์ เลขที่ 51 รหัส 611001050