Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
แนวคิดหลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย - Coggle Diagram
แนวคิดหลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย
แนวคิด
Anglo-American Model (AAM)
ใช้ในประเทศไทย
เริ่มเมื่อปี 1970s
จุดประสงค์หลัก scoop and run ประคับประคองอาการและนำส่งรพ.ให้เร็วที่สุด
ทีมเวชกิจฉุกเฉินให้การดูแลโดยมีแพทย์เป็นผู้กำกับ
ส่งผู้ป่วยเข้าห้องฉุกเฉิน
ระบบการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ในองค์การความปลอดภัยสาธารณะ
เคลื่อนย้ายผู้ป่วย
รถ Ambulance เป็นหลัก
ใช้ Aero-medical
Coastal ambulance
องค์การที่เกี่ยวข้องเช่น ตำรวจ สถานีดับเพลิง
ค่าใช้จ่ายสูงกว่า FGM
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะนำส่งโรงพยาบาลมีส่วนน้อยที่รักษา ณ จุดเกิดเหตุ
ประเทศที่ใช้แนวคิดนี้ เช่น USA. แคนดา นิซีแลนด์ ออสเตรเลีย
Franco-German (FGM)
เริ่มเมื่อปี 1970s
จุดประสงค์หลัก Stay and Stabilize ให้การดูแลอการ ณ จุดเกิดเหตุ
แพทย์ให้การดูแลโดยมีทีมเวชกิจฉุกเฉินช่วยอาจนำเอาเทคโนโลยีร่วมด้วย
ส่งตัวผุ้ป่วยไปหน่วยเฉพาะ เช่น ICU ห้องผ่าตัด
ระบบการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ในองค์การสาธารณสุข
เคลื่อนย้ายผู้ป่วยโดยใช้ Ambulance, Helicopter
และ Coastal ambulance
ภายใต้การบริการเป็นส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพ
ค่าใช้จ่ายต่ำกว่า AAM
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับการรักษาที่จุดเกิดเหตุส่วนน้อยจะนำส่งโรงพยาบาล
ประเทศที่ใช้แนวคิดนี้ เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส กรีซ มอลต้า ออสเตรเลีย
ความหมาย
การเจ็บป่วยฉุกเฉิน
เจ็บป่วยอย่างกระทันหัน ต้องได้รับการรักษาทันที เช่นเกิดการบาดเจ็บ โรคติดต่อ
การเจ็บป่วยวิกฤต
Critical ผู้ป่วยที่มีอาการหนัก รุนแรง ขั้นฉุกเฉิน
CriticalCare เน้นการประคับประคองอาการไม่ให้กลับไปสู่ภาวะคับขัน
Crisis ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะคับขัน ทำให้อาการดีขึ้นหรือตายได้ทันที
Crisiscare เน้นการแก้ไขอาการที่เป็นอันตราย ป้องกันการล้มเหลวของระบในร่างกาย
อุบัติเหตุ (Accident)
อุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดที่ทำให้เกิดการสูญเสีย
Disaster อุบัติเหตุขนาดใหญ่
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นปกติ เช่น อุบัติเหตุจากการจราจร
ลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน
ผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน
ไม่รู้สึกตัว ชัก เป็นอัมพาต
หยุดหายใจ หายใจช้ากว่า 10 ครั้งต่อนาที หรือเร็วกว่า 30 ครั้งต่อนาที หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย
คลำชีพจรไม่ได้ หรือชีพจรช้ากว่า 40 หรือเร็วกว่า 30 ครั้ง/นาที
ความดันโลหิต Systolic ต่ำกว่า 80 มม.ปรอท หรือ Diastolic สูงกว่า 130 มม.ปรอท
เลือดออกมาก ซีด
กระสับกระส่าย ทุรนทุราย
มือเท้าซีดเย็น เหงื่อออกมาก
มี Hypothermia หรือ Hyperthermia
ถูกพิษจากสัตว์ เช่น งู หรือสารพิษชนิดต่างๆ
ผู้ป่วยวิกฤต
ผู้ป่วยที่สามารถรักษาได้ เช่น ผู้ป่วยที่หมดสติ ระบบการหายใจล้มเหลวเป็นต้น
ผู้ป่วยที่มีอัตราตายสูง เช่น ผู้ป่วยSeptic Shock
ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มที่จะมีอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วย myocardialin farction
ผู้ป่วยที่อัตราตายสูง แม้จะได้รับการรักษา เช่น ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย
ผู้บาดเจ็บจากสาธารณภัย
กลุ่มอาการไม่รุนแรง เดินเองได้
กลุ่มอาการหนัก ไม่สามารถนั่งหรือนอนได้
กลุ่มอาการหนักมากหรือสาหัส ต้องรักษาด่วน
กลุ่มผู้ป่วยเสียชีวิต เป็นกลุ่มที่หมดหวังในการรักษา
หลักการพยาบาลผู้ป่วยภาวะฉุกเฉิน
หลักทั่วไป
เพื่อช่วยชีวิต เช่น กรณีที่ผู้ป่วยมีบาดแผลเลือดออก ต้องรีบห้ามเลือดทันทีโดยใช้วิธีการที่เหมาะสม
การป้องกันและบรรเทาไม่ให้เกิดอาการรุนแรงถึงขั้นวิกฤต เช่น ทำแผล การใส่เฝือกชั่วคราว เป็นต้น
การบันทึกเหตุการณ์อาการและการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ
การส่งต่อรักษา หลังจากการช่วยเหลือเบื้องต้นต้องรีบเคลื่อนย้ายนำส่งโรงพยาบาล พร้อมกับข้อมูลผู้ป่วย และข้อมูลการรักษาเบื้องต้น
หลักในการพยาบาล
มีหลักในการอุ้มยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อย่างนุ่มนวลรวดเร็วปลอดภัย
ซักประวัติการเจ็บป่วยและอาการสำคัญอย่างละเอียด ในเวลาที่รวดเร็ว **กรณีผู้ป่วยอุบัติเหตุต้องซักประวัติการช่วยเหลือเบื้องต้น วิธีการ ระยะเวลาในการนำส่งเพิ่มเติม :
ทำการคัดกรองผู้ป่วยอย่างรวดเร็วแม่นยำ
ให้การรักษาพยาบาลภายใต้นโยบายของโรงพยาบาล และภายในเขตการรับรองของกฎหมาย
ให้การช่วยฟื้นคืนชีพอย่างถูกต้อง
ให้การดูแลจิตใจของผู้ป่วยและญาติ อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบถึงปัญหาการเจ็บป่วย การพยาบาลที่จะได้รับ และแนวทางการรักษาต่อเนื่อง
มีการนัดหมายผู้ป่วยที่ไม่ได้นอนโรงพยาบาลเพื่อให้การรักษาต่อเนื่อง
มีการส่งต่อเพื่อการรักษา ในระหว่างการส่งต่อผู้ป่วยพยาบาล จะต้องเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือผู้ป่วย
หลักการพยาบาลตามบทบาทพยาบาลวิชาชีพงานบริการพยาบาลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินของ
สภาการพยาบาลพ.ศ.2552
ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่กำลังคุกคามชีวิตผู้ป่วย
ค้นหาสาเหตุและ/หรือปัญหาแล้วดำเนินการแก้ไข
ดูแลและรักษาสภาวะของผู้ป่วยให้อยู่ระดับปลอดภัย และเฝ้าระวัง
รักษาหน้าที่ต่างๆ ของอวัยวะสำคัญของร่างกายให้คงไว้
ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและติดเชื้อ
ประคับประคองจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วยและญาติ
การพยาบาลสาธารณภัย
ความหมาย
ภัย (Hazard) เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ความเสียหายต่อทรัพย์สินความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อม
สาธารณภัย / ภัยพิบัติ (Disaster) ภัยที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์แล้วทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน สังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ที่มีผลกระทบต่อสาธารณชน รวมถึง ภัยทางอากาศและการก่อวินาศกรรม
สาธารณภัย
อัคคีภัย
วาตภัย
อุทกภัย
ภัยสาธารณะ
ธรรมชาติ
โรคระบาด โรคติดต่อ
ดินถล่ม
มนุษย์
สารเคมี
รถชน
ภัยทางอากาศ
การก่อ
วินาศกรรม
ก่อการร้าย
กราดยิง
ประเภทของภัยพิบัติ
ภัยที่เกิดจากธรรมชาติ (Natural Disaster)เกิดแบบฉับพลัน เกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป
ภัยที่เกิดจากมนุษย์ (Man-made Disaster) เกิดอย่างจงใจและเกิดอย่างไม่จงใจ
ระดับความรุนแรงของสาธารณภัย
ทางสาธารณสุข
ความรุนแรงระดับที่ 1: เกิดขึ้นทั่วไป มีขนาดเล็ก สำนักงานสาธารณสุขในระดับอำเภอสามารถจัดการได้ตามลำพัง
ความรุนแรงระดับที่ 2 : สาธารณภัยขนาดกลาง ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในการจัดการเข้าระงับภัย
การรุนแรงระดับที่ 3: สาธารณภัยขนาดใหญ่ ที่มีผลกระทบเป็นวงกว้างซึ่งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่สามารถควบคุมสถานการณ์และจัดการระงับภัยได้ ให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขระดับเขตเข้าควบคุมสถานการณ์และระดมทรัพยากรจากจังหวัดใกล้เคียงภายในเขตเข้าจัดการระงับภัย และหากไม่สามารถจัดการได้ให้รายงานโดยให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเข้าควบคุมสถานการณ์
ความรุนแรงระดับที่ 4 : สาธารณภัยขนาดใหญ่ ที่มีผลกระทบรุนแรงยิ่ง นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ที่นายก ฯ มอบหมายให้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ ในด้านการแพทย์และการสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ดำเนินการควบคุมสถานการณ์
อุบัติภัยหมู่
Multiple casualties ทั้งจำนวนและความรุนแรงของผู้ป่วยไม่ความสามารถของโรงพยาบาล
Mass casualties ทั้งจำนวนและความรุนแรงของผู้ป่วยเกินความสามารถของโรงพยาบาลและทีมผู้รักษา
หลักการพยาบาลสาธารณภัย
การบรรเทาภัย (Mitigation): กิจกรรมต่าง ๆ ที่ดำเนินการเพื่อลดหรือกำจัดโอกาสในการเกิดหรือลดผลกระทบของการเกิดภัยพิบัติ
การเตรียมความพร้อม (Preparedness): การรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน เป็นระยะต่อเนื่องจากการบรรเทาภัย โดยการเตรียมคนให้พร้อม วางแผนต่อภาวะฉุกเฉิน
การตอบโต้เหตุการณ์ฉุกเฉิน (Response CSCATT)
C – Command
S – Safety A, B, C (Personal, Scene, Survivors)
C – Communication
A – Assessment
M : Major incident : เป็นเหตุการณ์สาธารณภัยหรือไม่
E : Exact location : สถานที่เกิดเหตุที่ชัดเจน
T : Type of accident : ประเภทของสาธารณภัย
H : Hazard : มีอันตราย หรือเกิดอันตรายอะไรบ้าง
A : Access : ข้อมูลการเดินทางเข้า-ออกจากที่เกิดเหตุ
N : Number of casualties: จำนวนและความรุนแรงของผู้บาดเจ็บ
E : Emergency service : หน่วยฉุกเฉินไปถึงหรือยัง
T – Triage
T – Treatment
T – Transportation
การควบคุมยับยั้งโรคและภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ต้องจัดให้มีระบบเฝ้าระวังภายใน 5 วันหลังภัยพิบัติ
การบูรณะฟื้นฟู (Recovery)
พยาบาลกับการจัดการสาธารณภัย
หลักการบริหารจัดการในที่เกิดเหตุและการรักษาผู้บาดเจ็บ
I - Incident command
S – Safety and Security
A – Assess Hazards
S – Support
T – Triage/Treatment
E – Evacuation
R – Recovery
D – Detection
คุณสมบัติพยาบาลสำหรับจัดการสาธารณภัย
มีความรู้และมีประสบการณ์ด้านการพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินและวิกฤต และด้านการรักษาโรคเบื้องต้นได้
มีความรู้ด้านสาธารณภัย มีความสามารถในการประเมินสถานการณ์และคาดการณ์ถึงปัญหาสุขภาพและให้การพยาบาลที่เหมาะสมได้
มีทักษะในการตัดสินใจที่ดี มีความเป็นผู้นำ และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
มีทักษะในการสื่อสาร และการบันทึกข้อมูลต่างๆได้อย่างถูกต้องครบถ้วนชัดเจน
มีวุฒิภาวะที่เหมาะสมกับสถานการณ์
ระบบทางด่วน (Fast track/Pathway system)
ระบบทางด่วนสำหรับผู้ป่วยอุบัติเหตุ (Trauma fast track)
ระบบทางด่วนสำหรับผู้ป่วยเจ็บหน้าอก (Chest pain fast track)
ระบบทางด่วนสำหรับผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางหลอดเลือดสมอง (Stroke fast track)
หลักการ
การจัดทำควรเป็นทีมสหสาขาวิชาชีพ
จัดทำแผนภูมิการดูแลผู้ป่วย พร้อมกำหนดลักษณะผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉินเร่งด่วน
จัดทำแนวปฏิบัติ ลำดับการปฏิบัติในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงประตูโรงพยาบาล
จัดทำรายการตรวจสอบ (check list)
ฝึกอบรมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีความรู้
แผนการปฏิบัติต้องเน้นย้ำเวลาเป็นสำคัญ ต้องมีแผนปฏิบัติการรองรับ
กำหนด clinical indicator เพื่อการติดตามและประเมินผลในแต่ละขั้นตอนของระบบ
บทบาทพยาบาลกับระบบทางด่วน (Fast track)
การประเมินเบื้องต้นโดยใช้ความรู้ ความสามารถเฉพาะโรค
การรายงานแพทย์ผู้รักษาเพื่อตัดสินใจสั่งการรักษา
การประสานงานผู้เกี่ยวข้อง
การจัดการและดูแลขณะส่งต่อ
การให้การดูแลตามแผนการรักษาภายใต้ระยะเวลาที่จำกัด
การติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง
การให้ความช่วยเหลือเมื่อมีความผิดปกติและติดตามการประเมินผลลัพธ์
การดำเนินงานเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในภาพรวม
การจัดระบบให้มีการทบทวนและพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
บทบาทพยาบาลในระบบทางด่วน (Fast track)
EMS (accessibility)
Triage/ Specific triage/ Assessment
Activate system
Flow (purpose-process-performance)
Investigation
Care delivery
Monitoring: early warning signs & E-response
Risk management (general & clinical)
Co-ordination, Communication, Handover
Inter & Intra transportation
Evaluation, output, outcome
Improvement, Innovation, Integration
ระบบการดูแลผู้บาดเจ็บ
Trauma care system
การเข้าถึงหรือรับรู้ว่ามีเหตุเกิดขึ้น (Access) มีช่องทางในการติดต่อเมื่อเกิดเหตุ
การดูแลในระยะที่อยู่โรงพยาบาล (Hospital care)ดูแลคัดแยก ระบบทางด่วนฉุกเฉิน
การฟื้นฟูสภาพและการส่งต่อ (Rehabilitation & transfer)ส่งต่อผู้ป่วยไปสถานพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่าหรือส่งกลับโรงพยาบาลเดิมต้นสังกัดเมื่อดีขึ้น
การดูแลในระยะก่อนถึงโรงพยาบาล (Prehospital care)การดูแลผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุโดยบุคลากรที่มีความรู้
Trauma life support
Primary survey การประเมินผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ขั้นตอน Primary Survey และ Resuscitation
ขั้นตอน Primary Survey และ Resuscitation
การตรวจประเมินทางเดินหายใจและ C-spine
B Breathing การหายใจ
C Circulation ระบบไหลเวียนโลหิต
D Disability (Neurologic Status)
ระบบประสาทและสมอง
E Exposure (Environๆmental control) การบาดเจ็บอื่นๆ
Airway and Cervical control
การประเมิน Airway เพื่อหาอาการ Airway obstruction
เปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
โดยใช้วิธีการ jaw-thrust Maneuver หรือHead-tilt Chin-liftต้องป้องกันการบาดเจ็บของCervical spine ตลอดเวลา ** ในกรณีผู้ป่วยได้รับอุบัติเหตุไม่ควรใช้Head-tilt Chin-lift
สาเหตุภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น
ลิ้นตก อุดตัน
เลือดออกในช่องปากและทางเดินหายใจส่วนบน
การบวมของ soft tissue ในคอ
สิ่งแปลกปลอมฟัน
เศษอาหารที่อาเจียน
ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา
การอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน
ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บกระดูกสันหลังส่วนคอ
ผู้บาดเจ็บที่ต้องระมัดระวัง Cervical spine injury
ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัว
ผู้ป่วยที่บ่นปวดคอ
ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวคอได้เอง
ผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บศีรษะ การบาดเจ็บคอ
ผู้ป่วยMaxillof
การดูแล
ป้องกันการเคลื่อนไหวของ cervical spine
ประคับประคองไม่ให้มี Hyperextension หรือrotating
ต้องป้องกันการบาดเจ็บของ Spinal cord
โดยการใส่ Cervical collar หรือใช้หมอนทรายวางที่สองข้างของศีรษะไว้ตลอดเวลา
ถ้าทำหัตถการบางอย่างควรให้ผู้ช่วยทำ Manual in-line immobilization ไว้ตลอด
Manual in-line immobilization
(In-line stabilization)
แพทย์จะพิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ (Endotracheal intubation) ในผู้ป่วยที่มีปัญหาทางเดินหายใจอุดกั้น
แพทย์ส่วนใหญ่จะใส่ endotracheal ทางปากเป็นอันดับแรกเนื่องจากได้ผลดี ง่ายและสะดวก
การใส่ Endotracheal tube มีการเงยหน้าผู้ป่วย อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและกดทับบริเวณCervical cord ต้องมีคนประคอง Cervical spine ตลอดเวลา (In-line stabilization)
การใส่ Endotracheal tube ทางจมูก ข้อดีคือไม่ต้องขยับคอแต่ใส่ยาก
การเจาะคอ (Tracheostomy)Tracheostomy ไม่นิยมทำในภาวะฉุกเฉิน เนื่องจากทำได้ช้าและมีภาวะแทรกซ้อนมาก
Breathing and Ventilation
ปัญหาการหายใจที่พบบ่อย
tension pneumothorax
Flail chest with pulmonary contusion
Open pneumothorax
Hemothorax
วิธีการประเมินปัญหาที่พบบ่อย
ดูแผลที่ทรวงอก
ดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก
คลำ การเคาะเพื่อตรวจหาการบาดเจ็บ และฟัง Breath sound ทั้งสองข้าง
Circulation and Hemorrhage control
ระบบไหลเวียน
ภาวะ Shock
อาการที่พบ
ระบบประสาท
ระดับความรู้สึกตัว ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการซึม เชื่องช้า สับสน บางรายมีอาการเอะอะ และสุดท้ายจะหมดสติ
การตอบสนองของรูม่านตา (pupils), Glasgow coma scale เพื่อประเมินการไหลเวียนเลือดไปสมอง ความผิดปกติของสมอง
ผิวหนัง
ผิวหนังเย็น ชื้น เหงื่อออกมาก cyanosis
ยกเว้น septic shock ที่ผิวหนังจะอุ่น สีชมพูในระยะแรก
หัวใจและหลอดเลือด
ผู้ป่วยช็อก Systolic BP จะลดลงต่ำกว่า 90 mm.Hg. หรือต่ำกว่าปกติ 50 mm.Hg. ถ้าน้อยกว่า 60-70 mm.Hg. เลือดจะไปเลี้ยงสมองจะลดลงถ้าน้อยกว่า 50 mm.Hg. สมองจะขาดออกซิเจน
Pulse pressure แคบ
ชีพจรเบา เร็ว จากระบบ Sympathetic แต่ระยะท้ายชีพจรจะช้า และไม่สม่ำเสมอ
Capillary filling time จะพบนานกว่า 1-2 วินาที
Central venous pressure เท่ากับ 7-8 cm.H2O (ปกติ 8-12 cm.H2O)
ระบบหายใจ
พบการหายใจเร็ว และไม่สม่ำเสมอ
จาก Acidosis respiration
ระบบไต
ระยะแรกปัสสาวะจะลดลงเหลือ 30-50 ml./hr. ถ้าเกิดภาวะไตวายปัสสาวะจะออกน้อยกว่า 20 ml./hr.
ระบบทางเดินอาหาร
ผู้ป่วยจะกระหายน้ำ น้ำลายน้อยลง ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน ลำไส้บวม และ ไม่ได้ยิน bowel sound
ภาวะกรดด่างของร่างกาย
ผู้ป่วยจะมีอาการซึม อ่อนเพลีย งุนงง สับสน ไม่รู้สึกตัว หายใจแบบ Kussmaual
ภาวะเนื้อเยื่อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
การรักษาภาวะเสียเลือด
ให้สารน้ำและเลือดทดแทนแล้วการหยุดเลือดด้วยวิธีการต่างๆ ควรทำไปพร้อมๆ กัน
บาดแผลภายนอกที่มองเห็นชัดเจน ควรหยุดเลือดโดยวิธี Pressure ด้วยฝ่ามือ พันแผลด้วย Elastic bandage
การเสียเลือดที่มองไม่เห็น แล้วผู้ป่วยเกิดอาการ Shock
ควรหาตำแหน่งที่อาจมีการเสียเลือดเพราะอาจเกิดการเสียเลือดในส่วนต่างๆของร่างกายได้มากกว่า 1 แห่ง
ตำแหน่งการเสียเลือดที่สำคัญ
ช่องอก
การเอกซเรย์ปอด หรือการใส่ท่อระบาย
ช่องท้องรวมทั้ง retroperitonium ทราบได้โดยการทำ Diagnostic peritoneal lavage
อุ้งเชิงกราน เช่นใน Fracture pelvis หรือ Fracture femur
ต้นขาซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดขนาดใหญ่ เช่น Fracture femur
สาเหตุที่พบบ่อย
Hypovolemic shock จากการเสียเลือด
การพยาบาลเมื่อผู้ป่วยเสี่ยงเกิดภาวะ Shock หรืออยู่ในภาวะ Shock
ให้น้ำเกลือโดยใช้เข็มขนาดใหญ่เบอร์ 16-18 ให้น้ำเกลืออย่างน้อยสองเส้นขึ้นไปแทงที่แขนทั้งสองข้าง
เก็บเลือดส่งตรวจ Matching และ Grouping ด้วย
ผู้ป่วยมีบาดแผลที่แขนอาจพิจารณาให้น้ำเกลือที่ขาได้
ระยะแรกจะให้ Balanced salt solution Ringer’s lactate , Acetar
ผู้ป่วยที่เสียเลือดมากควรให้เลือดทันทีหรือให้เร็วที่สุด
หากไม่มีเลือดจะให้ Colloid ก่อน เช่น Hydroxyethyl starch เป็นต้น เพื่อเพิ่มปริมาณเลือดอย่างรวดเร็ว
หากได้เลือดแล้วรีบให้เลือดทันที
แพทย์จะพิจารณาทำ cut down หรือ venesection ในกรณีที่ผู้ป่วยเสียเลือดมาก
สาเหตุอื่น
Cardiac tamponade
Neurogenic shock
Disability: Neurologic Status
หลังจากดูแลผู้ป่วย Airway, Breathing, Circulation ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต (Life threatening injury)
ควรประเมินระบบประสาทเพื่อประเมินการบาดเจ็บของสมองและไขสันหลัง
เริ่มประเมินจากระดับความรู้สึกตัว
แบบประเมินที่ใช้
Glasgow Coma Scale
AVPU Scale ได้แก่ Alert, Voice, Pain, Unresponsive
CPOMR Scale ได้แก่ Level of conscious, pupil, ocular movement, motor, respiration
Revision trauma scale
Exposure / Environment control
ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บหนัก
ควรถอดเสื้อผ้าเพื่อค้นหาการบาดเจ็บอื่นๆ
อาจใช้กรรไกรในการตัดเสื้อและกางเกงออกเพื่อตรวจร่างกายอย่างถูกต้อง
ขณะตรวจในห้องควรจะอบอุ่น เพื่อป้องกันภาวะ Hypothermia
ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องทำการพลิกตะแคงตัวผู้บาดเจ็บแบบท่อนซุง (Log roll)
เมื่อทำการพลิกคะแคงตัวผู้ทำการตรวจร่างกายจะประเมินการได้รับบาดเจ็บของประสาทสันหลังคือการเกิด functional shut down หลังไขสันหลังได้รับบาดเจ็บทันทีและอาจกินเวลาเป็นชั่วโมงหรือบางครั้งอาจยาวนานถึง 48 ชั่วโมง
ข้อยกเวันในการประเมินเบื้องต้นในผู้ป่วยฉุกเฉิน
หัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest)
ทางเดินหายใจอุดกั้น (airway obstruction)
สถานที่เกิดเหตุไม่ปลอดภัย (scene unsafety)
ภาวะคุกคามชีวิตที่ต้องแก้ไขเร่งด่วน (life threatening)
Resuscitation การช่วยเรื่องการหายใจและการไหลเวียนเลือด เพื่อให้ผู้บาดเจ็บพ้นภาวะฉุกเฉินและวิกฤต
แก้ไข้ปัญหาตามลำดับ ABC
Airway ภายหลังจากการประเมิน การทำ Definitive airway ในผู้บาดเจ็บที่มีปัญหาการหายใจ สามารถรักษาได้โดยการใส่ท่อช่วยหายใจ หากใส่ไม่ได้ อาจพิจารณาการใส่ท่อด้วยวิธีการทางศัลยกรรม
Breathing ผู้บาดเจ็บทุกรายควรได้รับออกซิเจนเสริมหากไม่ได้ใส่ท่อช่วยหายใจ ผู้บาดเจ็บควรได้รับออกซิเจนผ่านหน้ากาก (reservoir face mask) ติดตามระดับความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด
Circulation การห้ามเลือดเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในผู้บาดเจ็บโดยทำร่วมกับการให้สารน้ำทดแทน มื่อทำการเปิดเส้นเลือดแล้วควรเก็บเลือดส่งตรวจเพื่อช่วยในการประเมินความผิดปกติที่เกิดขึ้น การให้สารน้ำในปริมาณมากอาจไม่ได้ทดแทนการห้ามเลือดได้
การให้สารน้ำและเลือด
ควรเปิดหลอดเลือดดำด้วยเข็มขนาดใหญ่และสั้น 2 เส้น เบอร์ 18,16,14
หลีกเลี่ยงแทงเส้นใต้ตำแหน่งของแขนขาที่ได้รับบาดเจ็บ
กรณีสงสัยว่ามีเลือดออกในช่องท้อง เลี่ยงให้สารน้ำที่ขา
ให้สารน้ำที่เป็น Balance salt solution
หากอาการทรุดลง ไม่ตอบสนองพิจารณาการให้เลือดกรุ้ป โอ
ไม่ควรให้เลือดร่วมกับ Lactateed Ringer's solution, acetar
หลังได้รับสารน้ำหรือเลือดควรประเมินการตอบสนองต่อสารน้ำ เช่น ชีพจรลดลง ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นปัสสาวะออกมากกว่า 0.5 มิลลิลิตร/กิโลกรัม/ชั่วโมง ปลายมือปลายเท้าไม่ซีด อุ่นขึ้น ระดับความรู้สึกตัวดีขึ้น
การดูแลและการตรวจประเมิน
ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ
พบได้ตั้งแต่ขณะที่ผู้บาดเจ็บมาถึง หรืออาจเกิดขึ้นภายหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งภาวะอุณหภูมิต่ำอาจมีผลกระทบถึงแก่ชีวิตได้
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ผู้บาดเจ็บทุกรายควรได้รับการติดตามคลื่นไฟฟ้าหัวใจถ้าพบว่ามีความผิดปกติ
การตวงวัดปริมาณปัสสาวะ
เป็นตัวบ่งชี้ที่ดีของปริมาณสาน้ำในร่างกายผู้บาดเจ็บและแสดงให้เห็นแต่เนิ่นๆ การติดตามโดยการใส่สายสวนปัสสาวะ
ข้อยกเว้น
มีเลือดออกจากปลายอวัยวะเพศ
มีรอยช้ำบริเวณขาหนีบหรือฝีเย็บ
มีเลือดคั่งในถุงอัณฑะ
เมื่อตรวจทางทวารหนักคลำไม่พบต่อมลูกหมากในผู้ชาย
กระดูกเชิงกรานแตก
การใส่สายสวนกระเพาะ
ลดการโป่งพองของกระเพาะอาหาร ป้องกันการสำลัก และตรวจประเมินเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น
Secondary Survey การประเมินสภาพร่างกายผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บอย่างละเอียด
การซักประวัติ รวม Mechanism of Injury
History
ตัวผู้ป่วยเอง
กรณีที่ผู้บาดเจ็บไม่รู้สึกตัวอาจต้องสอบถามจาก Prehospital personnel ได้แก่ ผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้นำส่ง
** ควรซักประวัติให้ได้ข้อมูลที่มากที่สุด เพื่อให้ทราบกลไกการบาดเจ็บ และการเปลี่ยนแปลงของอาการผู้ป่วยก่อนมาถึงโรงพยาบาล
ประวัติอื่นๆ เช่น โรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ ประวัติการผ่าตัด เป็นต้น
ซึ่งสรุปได้เป็นคำย่อคือ AMPLE ประกอบด้วย
Allergies ประวัติการแพ้ยา สารเคมีหรือวัตถุต่างๆ
Medication ยาที่ใช้ในปัจจุบัน
Past illness/ Pregnancy การเจ็บป่วยในอดีตและการตั้งครรภ์
Last meal เวลาที่รับประทานอาหารครั้งล่าสุด
Event/ Environment related to injury อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้อย่างไร รุนแรงเพียงใด สถานการณ์สิ่งแวดล้อมขณะเกิดเหตุเป็นอย่างไร
การตรวจร่างกาย Head to toe และ
การตรวจพิเศษต่างๆ เช่น X-ray Laboratory DPL (Diagnostic peritoneal lavage) CT Scan เป็นต้น
กลไกการบาดเจ็บ
เป็นสิ่งที่ทำให้สามารถคาดเดาลักษณะการบาดเจ็บของผู้ป่วยได้ ซึ่งการบาดเจ็บนั้นแบ่งออกเป็น
Blunt trauma ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุจราจร พลัดตกจากที่สูง
Penetrating trauma เกิดจากอาวุธปืน มีด ปัจจัยที่กำหนดชนิดและความรุนแรงของการบาดเจ็บอยู่ที่ตำแหน่งของร่างกายที่บาดเจ็บ ซึ่งจะบ่งบอกถึงอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ชนิดและกระสุนปืนรวมทั้งระยะทางที่ยิง
ข้อพึงระวัง
อาจเกิดภาวะอันตรายบางอย่างที่ตรวจไม่พบใน Primary survey จนทำให้ผู้ป่วยอาการเลวลงในขณะทำ Secondary survey ได้
การทำ Secondary survey อาจทำหลังจากผู้ป่วยออกจากห้องผ่าตัดฉุกเฉินแล้ว
Physical Examination
Head
ใช้มือคลำให้ทั่วหนังศีรษะ
Facial
คลำกระดูกใบหน้าให้ทั่ว
เพื่อหา deformity ที่อาจบ่งบอก facial fracture
Cervical spine and Neck
ผู้ป่วยที่ไม่รู้สึกตัวทุกรายที่มีการบาดเจ็บศีรษะควร
พยาบาลจะใส่ Collar ให้ผู้ป่วยและไม่เคลื่อนไหวคอผู้ป่วยจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการบาดเจ็บของกระดูกคอจากการ X-ray
Chest
ตรวจโดยเริ่มจากดู คลำ เคาะ ฟัง
Abdomen
ดู คลำ ฟัง เคาะ ควรตรวจประเมินฝีเย็บ ตรวจพบกระดูกซี่โครง 6 ซี่ ตรวจพิเศษโดยการใช้สารทึบแสงหรือ Contrast study
Musculoskeletal and
Peripheral vascular assessment
ประเมินบาดแผล
การหักงอ บวมผิดรูป
ประเมินจุดที่เจ็บ การเคลื่อนไหว
คลำ Crepitus
Pelvic fracture
Neurological system
motor, sensory
ต้อง Reevaluation ระดับความรู้สึกตัว
pupil size
Glasgow coma score
Reevaluation
ควรมีการประเมินร่างกายซ้ำเป็นระยะๆ
เพื่อประเมินหาการบาดเจ็บที่อาจตรวจไม่พบในระยะแรก
เป็นการติดตามการเปลี่ยนแปลงอาการของผู้ป่วย
Definitive care การรักษาผู้ป่วยภายหลังได้รับการช่วยเหลือขั้นต้นแล้ว
การผ่าตัด Craniotomy
การผ่าตัดหน้าท้อง Exploratory Laparotomy
การนอนรักษาตัวในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก
(Intensive care unit) เป็นต้น