Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 4 แบบของการวิจัย, นางสาว ปิยวรรณ แสวงวงษ์ เลขที่ 71 รุ่น 36/1 …
บทที่ 4 แบบของการวิจัย
การกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัย
คือ
ใช้ความรู้จากทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการเขียน
เขียนแล้วได้เป็นกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี (Theoretical framework)
กระบวนการสรางมโนทัศน์จากปรากฏการ์ที่เกิดขึ้นจริงตามธรรมชาติ
มี 2 ขั้นตอน
Theoretical framework
เขียนครอบคลุมทุกตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
มักเขียนเป็น diagram
เขียนแสดงความสัมพันธ์ เชื่อมโยงของตัวแปรตามหลักกการทางทฤษฎีที่มีอยู่
Conceptual framework
คือ
เลือกเขียนเฉพาะตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย
ใช้คำบรรยายประกอบแผนภาพ
ปัญหาที่พบ เขียนแสดงตัวแปรไม่ครบทุกตัว
เขียนอธิบายความสัมพันธ์ สอดคล้อง เกี่ยวข้อง ของตัวแปรและอธิบายเหตุผลที่ไม่ได้เขียนถึงตัวแปรครบทุกตัว
การเขียน
เปลี่ยนชื่อเรื่อง
ทำให้มีตัวแปรควบคุม
กำหนดขอบเขตการวิจัย
ทำให้อยู่ใน inclusion criteria
วิธีการเขียน
สรุปและเขียนว่าความรู้ประเด็นนี้เป็นอย่างไร
มีเกณฑ์ช่วยในการอ่าน เพื่อนที่นักวิจัยจะบอกว่า ความรู้เรื่องนี้เป็นอย่างไร
ทบทวนเอกสารและวรรณกรรมให้ครอบคลุม และทันสมัย
ข้อบกพร่องที่พบบ่อย
เขียนเป็นกระบวนการวิจัย
ใช้ Theoretical concept มาเขียน
การทบทวนวรรณกรรมไม่ดีพอ จึง comment ไม่ได้
แสดงความสมพันธ์ไม่ถูกต้อง
ประเภทของการวิจัย
แบ่งตามประโยชน์ของการนำผลการวิจัยไปใช้
การวิจัยประยุกต์
(applied research)
เป็นวิจัยที่เป็นไปเพื่อ
จะนำผลวิจัยที่เกิดขึ้นไปใช้ในการทำงานจริง
การวิจัยเชิงปฏิบัติการ
(action research)
เป็นการวิจัย ที่มุ่งทำให้เกิดผลที่เป็นพัฒนางานหรือแก้ไขข้อบกพร่องของหน่วยงาน
ผลที่ได้จากการวิจัยแบบนี้
มีความเฉพาะเจาะจงเฉพาะหน่วยงานนั้นๆ
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์
(basic or pure research)
ผลจากการวิจัยนี้จะเป็นสูตร กฎ หรือทฤษฎีในการเรียนหรือ
การวิจัยในสาขานั้นๆต่อไป
แบ่งตามวัตถุประสงค์และวิธีการเสนอข้อมูล
การวิจัยเชิงอรรถาธิบาย
(explanatory research)
ไม่มีการทดลอง
หาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ หรือหาปัจจัยที่มีผลต่อตัวแปรได้
ตัวอย่าง
พิสูจน์ว่าปัจจัยด้านเพศ อายุ การศึกษา อาชีพ
และรายได้นั้นมีปัจจัยใดที่มีผลต่อการดื่มน้ำอัดล
การวิจัยเชิงคาดคะเน
(predictive research)
เป็นการวิจัยที่ให้ผลการวิจัยที่บอกสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่คาดไว้ว่าจะเกิด
อาจเป็น แบบคนละทางคือสัมพันธ์ทางลบ
หรือทางเดียวกันคือ สัมพันธ์ทางบวกก็ได้
การวิจัยเชิงบรรยาย
(descriptive research)
เป็นการวิจัยคล้ายกับแบบสำรวจตรงที่ไม่มีการทดลอง
มีการเปรียบเทียบตัวแปร
การวิจัยเชิงวินิจฉัย
(diagnostic research)
เป็นการวิจัยเพื่อค้นหาปัญหาหรือสาเหตุของปัญหา
การวิจัยขั้นสำรวจ
(exploratory research)
เป็นการหาคำ
ตอบเกี่ยวกับตัวแปรที่ศึกษาว่าเป็นอย่างไร
จำนวน ร้อยละ
มาก-น้อย สูง-ต่ำ
ไม่มีการเปรียบเทียบว่าอะไร
มาก-น้อย แตกต่างกันหรือไม่แตกต่าง
แบ่งตามระเบียบวิธีการวิจัย
การวิจัยเชิงทดลอง
(experimental research)
มีการทดลอง
การวิจัยเชิงย้อนรอย
(expost facto research)
เป็นการวิจัยที่ศึกษาจากผลไปหาเหตุ
เริ่มจากกำหนดผลหรือตัวแปรตามก่อนแล้วค่อยค้นหา
สาเหตุ ซึ่งเป็นตัวแปรอิสระ
การวิจัยเชิงบรรยาย
(descriptive research)
ไม่มีการทดลอง ใดๆในการวิจัย
ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน
การวิจัยเชิงสำรวจ
(survey research)
หาคำตอบ เกี่ยวกับตัวแปรว่ามีคุณลักษณะอย่างไร จำนวน เท่าไร เป็นต้น
การเก็บข้อมูลนั้น survey หมายถึงสำรวจ(ถาม)ทุกคน แต่ไม่ค่อยเคร่งครัด
การวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
(historical research)
ศึกษาว่าใน อดีตเกิดอะไรขึ้น ปัจจุบันเป็นอย่างไร หาความสัมพันธ์ตัวแปร บางตัวในอดีตกับปัจจุบัน เพื่อทำนายว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
การวิจัยเชิงประเมินผล
(evaluative research)
ประเมินผลอาจใช้ CIPP แบบที่นักวิจัยไทยนิยม
ประเมินว่า context คือบริบทของงานที่ประเมินเป็นอย่างไร วัตถุประสงค์กับ ปัญหาสอดคล้องกันไหม
input คือปัจจัยนำเข้าเพียงพอไหม
process คือ กระบวนการทำได้ครบไหม มีปัญหาอะไรเข้ามาแทรกไหม และ
product คือผลผลิต ได้ผลเป็นอย่างไร บรรลุวัตถุ ประสงค์ไหม เป็นต้น
แบ่งตามลักษณะของข้อมูล
การวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research)
การวิจัยแบบผสม
(mixed methods)
แบบคู่ขนาน
แบบตามลำดับก่อน-หลัง
การวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research)
แบ่งตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิจัยแบบสำรวจจากตัวอย่าง
(Sample survey research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่าง
การศึกษาเฉพาะกรณี
(Case study)
การศึกษาเฉพาะกรณีเป็นการวิจัยที่นักสังคมสงเคราะห์นิยมใช้มาก
การศึกษาเรื่องที่ สนใจในขอบเขตจำกัดหรือแคบ ๆ และใช้จำนวนตัวอย่าง ไม่มากนัก แต่จะศึกษาอย่างลึกซึ้งในเรื่องนั้น ๆ
การวิจัยแบบสำมะโน
(Census research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของประชากร
การศึกษาแบบต่อเนื่อง
(Panel study)
เป็นการศึกษาที่ มีการเก็บข้อมูลเป็น ระยะ ๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงตาม กาลเวลาของกลุ่มตัวอย่าง
การวิจัยจากการสังเกต
(Observation research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการสังเกต
การวิจัยประเภทนี้ นิยมใช้มากทางด้านมานุษยวิทยา
ส่วนใหญ่เป็นการสังเกตพฤติกรรม
ของบุคคลใน สังคมในแง่ของ
สถานภาพ (Status)
บทบาท (Role)
การวิจัยเชิงทดลอง
(Experimentalresearch)
เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเก็บข้อมูลมาจากการ ทดลอง ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำ (Treatment) โดยมี การควบคุมตัวแปรต่าง ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ กำหนดไว้
การวิจัยจากเอกสาร
(Documentary research)
ผู้วิจัยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร รายงาน จดหมายเหตุ ศิลาจารึก แล้วเสนอผลในเชิงวิเคราะห์
แบ่งตามความสามารถในการควบคุมตัวแปร
การวิจัยเชิงทดลอง
(experimental research)
ตัวอย่าง
ปลูกข้าวโพด ในห้องทดลองที่ควบคุมอุณหภูมิให้เป็น 20 C
เป็นการวิจัยที่ควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนได้เต็มที่
การวิจัยเชิงธรรมชาติ
(naturalistic research)
ไม่ต้องควบคุมตัวแปรแทรกซ้อนใดๆ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ
การวิจัยเชิงกึ่งทดลอง
(quasi experimentalresearch)
เป็นการวิจัยที่ควบคุมได้บางส่วน
งานวิจัยอื่นๆที่ควรรู้จัก
PAR
(participatory action research)
วิจัยที่ทำเพื่อ พัฒนาชุมชน
เริ่มตั้งแต่กำหนดปัญหาไปจนจบ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน
R&D
(research and development)
เริ่มจากทำ research และนำผลของขั้นแรกมาออกแบบ โปรแกรม/โครงการ/หลักสูตร ฯลฯ ที่จะตอบสถานการณ์ ปัญหานั้น
R2R (routine to research)
ทำงานประจำตามปกติ แล้วพบปัญหา/จุดอ่อนในการทำงาน
แล้วหาวิธี (treatment) มาแก้ไขปัญหา แล้วจึงเปรียบเทียบผลก่อน-หลัง
Systematic review,
meta-analysis,
research synthesis
ไม่เก็บข้อมูลภาคสนาม
แต่ใช้งานวิจัยที่มีอยู่แล้วเก็บข้อมูลจากงานวิจัยเหล่านั้น หลังจากนั้นทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่
นางสาว ปิยวรรณ แสวงวงษ์ เลขที่ 71 รุ่น 36/1
รหัสนักศึกษา 612001072