Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
UNIT5 เครื่องมือที่ใช้ในการบำบัดทาง การพยาบาลจิตเวช, การสื่อสารเพื่อการบำ…
UNIT5 เครื่องมือที่ใช้ในการบำบัดทาง
การพยาบาลจิตเวช
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด (Therapeutic Relationship)
ลักษณะสัมพันธภาพ
สัมพันธภาพเชิงสังคม
ไม่จำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์ ไม่มีการกำหนดเรื่องของเวลา
สัมพันธภาพเชิงวิชาชีพ
มีวัตถุประสงค์ มีระยะเวลา
เทคนิคในการสร้างสัมพันธภาพที่มีความเฉพาะเพื่อการบำบัดทางจิต
การเข้ากันได้ (Rapport)
พยาบาลจะต้องเข้ากับผู้ป่วยได้อย่างกลมกลืน โดยพยาบาลจะต้องมีท่าทีเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใส
การตั้งเป้าหมายชัดเจน (Goal formulation)
พยาบาลจะต้องปฏิบัติเพื่อให้บรรลุตามที่ตั้งไว้ ได้แก่ สร้างความรู้สึกมีคุณค่าในบุคคล ส่งเสริมความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย ลดความวิตกกังวล ช่วยเหลือให้ได้พัฒนาทักษะการติดต่อสื่อสาร และการร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น
การสร้างความไว้วางใจ (Trust)
พยาบาลจิตเวชต้องช่วยให้ผู้ป่วยได้พัฒนาความไว้วางใจทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
การมีอารมณ์ขัน (Humor)
อารมณ์ขันจะช่วยลดความตึงเครียด และช่วยให้บุคคลออกจากภาวะซึมเศร้า ร้องไห้ รู้สึกผิด พยาบาลต้องไวต่อความรู้สึกของผู้ป่วยและทำความเข้าใจ หากไม่เข้าใจอารมณ์ขันจะไม่มีประโยชน์ต่อการสร้างสัมพันธภาพ
ขั้นตอนการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดและการประยุกต์ใช้ในกระบวนการพยาบาล
การประเมินสภาพ
(Assessment)
ขั้นเตรียมการ (preinteracting phase)
การเลือกผู้ป่วย
เลือกผู้ป่วยให้โดยพิจารณาผู้รับบริการที่เห็นว่าน่าจะสร้างสัมพันธภาพได้ไม่ยาก และเลือกโดยดูจากพฤติกรรมการแสดงออกของผู้รับบริการที่พยาบาลเห็นว่าต้องการการช่วยเหลือ
การประเมินความคิด ความรู้สึก และการกระทำของพยาบาล
พยาบาลจะต้องรู้จักตนเองอย่างดี
รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับผู้รับบริการ
ข้อมูลต่างๆ ประวัติการเจ็บป่วย เพื่อนำมาวิเคราะหืและวางแผนให้การพยาบาล
กำหนดเป้าหมายทั่วไปในการสร้างสัมพันธภาพ
กำหนดเป้าหมายในระยะแรกไว้อย่างกว้างๆ เมื่อสัมพันธภาพดำเนินไปแล้ว อาจมีข้อมูลเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ เป้าหมายอาจปรับเปลี่ยนไปให้เหมาะสมของทั้งสองฝ่าย เช่น เวลานัดหมาย
ขั้นเริ่มต้นสร้างสัมพันธภาพหรือปฐมนิเทศ
แนะนำตนเอง
กำหนดข้อตกลงของสัมพันธภาพ
ข้อสังเกตในการประเมินว่าสัมพันธภาพได้เข้าสู่ระยะแก้ไขปัญหาแล้ว
ให้ความร่วมมือ
สนใจ ตั้งใจที่จะสนทนากับพยาบาลทุกครั้ง
มาพบตามนัด ตรงตามเวลา และสถานที่ๆนัดไว้
มีการระบายความรู้สึกของตนเองให้พยาบาลฟัง
สนทนาในขอบเขตที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่นอกเรื่อง
การวินิจฉัยการพยาบาล (Nursingdiagnosis)
การวางแผนการพยาบาล (Planning)
การปฏิบัติการพยาบาล(Implementation)
ขั้นระบุปัญหา(Identification )
ค้นหาสาเหตุของปัญหา พยาบาลใช้เทคนิคการสนทนาที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้รับบริการได้ระบายปัญหาความวิตกกังวลออกมาให้มากที่สุด เพื่อช่วยให้สามารถระบุปัญหา
ขั้นแก้ไขปัญหา (Working phase)
มีการวางแผนการพยาบาล มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน จัดลำดับความสำคัญของปัญหาและการช่วยเหลือ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว
การตีความหมาย จากการฟัง การยอมรับ การทำความเข้าใจ นำมาใช้ในการปรับตัวและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
ช่วยพัฒนาการเข้าใจตนเองและการแก้ไขปัญหาของผู้รับบริการ
มีการสรุป ประเมินการดำเนินสัมพันธภาพร่วมกันทุกครั้ง เพื่อให้ความช่วยเหลือตามแผนการพยาบาล และวางแผนในการสนทนาครั้งต่อไป
ข้อสังเกตในการประเมินว่าสัมพันธภาพได้เข้าสู่ระยะยุติแล้ว
ให้ความร่วมมือในการวางแผนแก้ไขปัญหาร่วมกับพยาบาล
พึงพอใจในประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ปรับเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ และพฤติกรรมไปในทางที่เหมาะสม
ขั้นยุติการสร้างสัมพันธภาพ
ทบทวนวัตถุประสงค์ และชี้ให้เห็นว่าผู้รับบริการได้เรียนรู้ถึงความคิด ประสบการณ์ใหม่ที่ได้รับที่ผ่านมา และผู้ป่วยจะต้องรับผิดชอบในการฝึกฝน ปฏิบัติการดูแลตนเอง มีแนวทางในการปรับตัวที่ถูกต้องและเหมาะสม
ประเมินความรู้สึกของผู้รับบริการต่อการจะสิ้นสุดสัมพันธภาพ และให้เวลาในการระบายความรู้สึก โดยการยุติสัมพันธภาพนิยมบอก 1-2 สัปดาห์ ก่อนยุติสัมพันธภาพเพื่อดูปฏิกิริยาโต้ตอบจะได้ให้การช่วยเหลือทันท่วงที
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด
แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับความเข้าใจในตนเอง (Self understanding)
ทฤษฎีเกี่ยวกับตนเอง ของคาร์ล โรเจอร์
ตนเองที่ตนรับรู้ (Perceived self: PS)
การรับรู้ และประเมินตัวเองของพยาบาลว่าตัวเองมองตัวตนอย่างไร
ซื่งอาจเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงก็ได้
ตนเองในอุดมคติ (Ideal self)
ตัวตนที่ตัวเองคาดหวัง หรือปรารถนาอยากจะเป็น ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในชีวิต
ตนเองที่แท้จริง (Real self: RS)
ตัวตนที่เป็นจริง ลักษณะตัวตนทั้งภายในและภายนอตามความเป็นจริง
ทฤษฎีสัมพันธภาพระหว่างบุคคล ของแฮรี่ สแตค ซุลลิแวน
ฉันไม่ดี (Bad me)
ตัวตนในส่วนที่ตนเองไม่พึงพอใจ และไม่มีความสุข เป็นการเรียนรู้ที่สะสมมาจากการถูกยับยั้ง ถูกลงโทษ หรือถูกตำหนิ
ไม่ใช่ฉัน (Not me)
ตัวตนที่ตนเองไม่อยากเป็น ไม่อยากมี
ฉันดี (Good me)
ตัวตนในส่วนที่ตนเองพึงพอใจ
ปัจจัยที่มีผลต่อการมองตนเองที่แท้จริง
การอบรมเลี้ยงดู
การเติบโตตามวุฒิภาวะ
สิ่งแวดล้อม ขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม
การเรียนรู้
การพัฒนาการตระหนักรู้ในตนเองของพยาบาล
แนวคิดหน้าต่างของโจแฮรี่ (JO-HARRY WINDOW: Joseph Luft and Harry Ingham)
บานที่ 2
ตัวเองไม่รู้ ผู้อื่นรู้ (Blind Spot)
บานที่ 3
ตัวเองรู้ ผู้อื่นไม่รู้ (Private Self)
บานที่ 1
ตัวเองรู้ ผู้อื่นรู้ (Public Self )
บานที่ 4
ตัวเองไม่รู้ ผู้อื่นไม่รู้ (Unknown Self)
การตระหนักรู้ในตนเองของพยาบาล
ตระหนักรู้ในคุณค่าของตัวเอง
ก็จะสามารถให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมได้
ตระหนักในความซื่อสัตย์ และมั่นคง
การมีใจยอมรับความรู้สึกของตัวเอง จะยอมรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยอย่างยุติธรรม
ตระหนักในความใจกว้าง
การเปิดใจยอมรับฟังในสิ่งที่ผู้ป่วยพูด
ตระหนักในการมีความหวัง
ทั้งการที่จะพัฒนาตนเองให้มีความสำเร็จในด้านวิชาชีพ และมีความหวังในการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ในสังคมตามศักยภาพ
ตระหนักในการมีส่วนร่วม
จะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าตนเองมีส่วนร่วมในการวางแผนการพยาบาล และให้การช่วยเหลือผู้ป่วยได้
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัดในการพยาบาลจิตเวช
พยาบาลจะมีความเข้าใจผู้ป่วยในขณะที่สร้างสัมพันธภาพ การเข้าใจตนเองของพยาบาล การยอมรับตนเอง การยอมรับจุดดีจุดด้อยของตนเอง จะส่งผลถึงการยอมรับในตัวผู้ป่วย
การตระหนักรู้ในตนเอง ตระหนักรู้ในอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของตนเองของพยาบาลขณะที่สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย จะส่งผลให้พยาบาลสามารถแยกอารมณ์และความรู้สึกของตนเองที่จะส่งผลในทางลบต่อการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดออกมาได้
การสื่อสารเพื่อการบำบัด (Therapautic Communication)
หลักการเบื้องต้นในการสื่อสารเพื่อการบำบัด
การสื่อสารเพื่อการบำบัด ต้องเลือกใช้คำพูดหรือท่าทางที่สามารถสื่อให้เข้าใจตรงกันอย่างชัดเจน
ต้องตระหนักรู้รูปแบบในการแสดงออกถึงอารมณ์ ความรู้สึกทั้งทุกข์และสุขของตนเองด้วย เพราะจะช่วยให้ไม่ตัดสินผู้รับบริการด้วยแบบอย่างของพยาบาลเอง การแปลความหมายจากการสื่อสารจะตรงตามความเป็นจริงมากขึ้น
ประสบการณ์ชีวิตของแต่ละบุคคลทั้งในอดีตและปัจจุบัน มีผลต่อการแปลความหมายของการสื่อสาร ดังนั้นการแปลความหมายของพยาบาลจำเป็นต้องมีข้อมูลอย่างละเอียดทุกครั้งก่อนการสนทนา
ระดับความสามารถในการเข้าใจสิ่งที่เป็นนามธรรม มีผลต่อการสื่อความหมายในแต่ละบุคคล พยาบาลจึงต้องตระหนักในความแตกต่างของความสามารถดังกล่าวของแต่ละคนด้วย และต้องเลือกใช้วิธีสื่อสารให้เหมาะสมตามความเป็นจริงของแต่ละบุคคล เพื่อให้การสื่อสารบรรลุผลในการบำบัด
ลักษณะของพยาบาลที่เอื้อต่อการสื่อสารเพื่อการบำบัด
ยอมรับ
สนใจ รับฟังอย่างตั้งใจ
จริงใจ
เคารพความเป็นบุคคล
ให้ความช่วยเหลือ เปิดโอกาสให้ผู้รับบริการได้พูดหรือระบายความรู้สึก และให้ผู้รับบริการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องราวของเขาเอง
ยินยอมในเรื่องที่เหมาะสม ไม่โต้แย้งผู้ป่วย
รักษาความลับ
ลักษณะของพยาบาลที่เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสาร
ใช้คำถามปลายปิด (Close-ended question)
พูดมาก ชอบให้คำแนะนำ
การกล่าวแย้งข้อคิดเห็นของผู้รับบริการ
พูดขัดจังหวะ รีบด่วนสรุป
ใช้หลายคำถามในเวลาเดียวกัน
การใช้คำปลอบใจที่ไม่เหมาะสม
เช่น “ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” “อย่ากังวลใจไปเลย”
ไม่รักษาความลับ ขาดความจริงใจ โกหก
มุ่งที่เรื่องของพยาบาลมากกว่าปัญหาผู้รับบริการ
การพูดดูถูกความรู้สึกของผู้รับบริการ
การที่พยาบาลพูดมาก/น้อยเกินไป
เทคนิคที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อการบำบัด
เทคนิคเพื่อกระตุ้น และส่งเสริมให้มีการสนทนา
Using broad opening statement
การใช้คำถามปลายเปิดกว้างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้รับบริการเลือกหัวข้อสนทนา และระบายความคิด ความรู้สึกออกมาได้อย่างเต็มที่ เช่น “วันนี้คุณรู้สึกอย่างไร” “มีเรื่องอะไรไม่บายใจอยู่คะ” “วันนี้คุณอยากคุยเรื่องอะไร” หรือ “ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร”
Using general leads
เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับบริการพูดต่อในกรณีที่พูดแล้วหยุดชะงักไป เช่น “แล้วอย่างไรต่อคะ” “เล่าต่อซิคะ พยาบาลกำลังฟังอยู่”
Reflecting
การสะท้อนกลับ เป็นการช่วยให้ผู้รับบริการเข้าใจความคิด และความรู้สึกของตนเองดีขึ้น
สะท้อนเป็นคำพูด(Reflecting of contents)
เช่น ผู้รับบริการพูดว่า “ในครอบครัวผม จะมีใครรักผมไหม” พยาบาลก็พูดว่า “คุณบอกว่าในครอบครัวคุณ จะมีใครรักคุณไหม”
สะท้อนความคิด ความรู้สึก(Reflecting of feelings)
เช่น ผู้รับบริการพูดว่า “ในครอบครัวผม จะมีใครรักผมไหม” พยาบาลก็พูดว่า “ฟังเหมือนคุณรู้สึกน้อยใจคนในครอบครัว”
Restating
การพูดซ้ำในสิ่งที่ผู้รับบริการพูด เพื่อให้รับรู้ว่าเขาพูดอะไร และทบทวนความคิดหรือคำพูดของเขาใหม่ เช่น ผู้รับบริการพูดว่า “ชีวิตของฉัน..ไม่มีความหมาย” พยาบาลก็พูดว่า “ชีวิตของฉัน...ไม่มีความหมาย”
เทคนิคช่วยให้ระบายความคิด และความรู้สึก
Accepting
การยอมรับผู้รับบริการ เช่น พูดว่า “ค่ะ” “ครับ” “ดิฉันเข้าใจคุณค่ะ”
Making /sharing observation
การบอกสิ่งที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผู้รับบริการ ทั้งคำพูด ท่าทาง พฤติกรรม เช่น บอกว่า “เมื่อคุณพูดถึงแม่ ดูท่าทางคุณเศร้า” “ดูเหมือนสีหน้าคุณกังวล” “วันนี้คุณดูไม่สดชื่นเลย ” “ดูท่าทางคุณโกรธมาก”
Acknowledge the patient’s feeling
การช่วยให้ผู้รับบริการทราบว่าพยาบาลเข้าใจและยอมรับความรู้สึกของเขา เป็นการกระตุ้นให้เขาได้เล่าเรื่องหรือแสดงออกทางอารมณ์ต่อไป เช่น พูดว่า “พยาบาลเข้าใจว่าคุณผิดหวังขณะพูดถึงลูก” “ถ้าเขาทำกับคุณแบบนั้น พยาบาลคิดว่าคุณก็มีความรู้สึกเช่นนี้ได้”
Using silence
การใช้ความเงียบ มีจุดประสงค์เพื่อให้เวลาผู้รับบริการได้คิด พิจารณา และพร้อมที่จะพูด ระบายความรู้สึกออกมา
Giving information
การให้ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริง ในสิ่งที่ผู้รับบริการไม่ทราบ สงสัย และเข้าใจผิด โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยให้ผู้รับบริการเข้าใจ ประเมินและปรับตัวในสภาพการณ์ต่างๆได้ดีขึ้น
เทคนิคส่งเสริมให้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน
Seeking clarification (clarifying)
การขอความกระจ่างของข้อมูล เช่น “ที่คุณบอกว่า เขา หมายถึงใครคะ” “คำว่า อย่างว่า ที่คุณพูด หมายความว่าอย่างไรคะ” “คุณช่วยอธิบายความหมายของคำว่า…
Seeking consensual validation or validating
การตรวจสอบความเข้าใจของพยาบาลว่าตรงกับความเข้าใจ หรือความรู้สึกที่แท้จริงของผู้ป่วยหรือไม่ เช่น พูดว่า “คุณคงรู้สึกสบายใจขึ้น หลังจากพูดเรื่องนี้” “แสดงว่าคุณจะกลับไปอยู่กับแม่ ดิฉันเข้าใจถูกต้องไหมคะ”
Verbalizing implied thought and feeling
คำพูดที่ผู้ใช้บริการพูดเป็นนัยๆ อาจมีความคิด ความรู้สึกซ่อนเร้นอยู่ลึก ๆ เช่น ผู้ใช้บริการ “ถ้าฉันไม่อยู่เสียคนหนึ่ง ทุกคนคงสบาย” พยาบาลควรใช้เทคนิคนี้สอบถามความรู้สึกที่แท้จริงของเขาว่า “คุณรู้สึกว่า คุณเป็นภาระให้ทุกคนต้องลำบากใช่ไหมคะ”
Validating
เป็นการตรวจสอบความเข้าใจของพยาบาลว่าตรงตามความต้องการและความรู้สึกจริงๆของผู้รับบริการหรือไม่ เช่น พยาบาลคาดว่า ผู้รับบริการมีความรู้สึกกังวลลดลงหลังจากได้พูดคุยและได้เล่าเรื่องคับข้องใจต่างๆ พยาบาลใช้เทคนิคนี้ตรวจสอบความเข้าใจโดยการถามว่า “คุณคงสบายใจขึ้นหลังจากได้เล่าเรื่องต่างๆให้ฉันฟัง” “คุณรู้สึกทุเลาลงบ้างไหมคะ”
เทคนิคช่วยเสริมให้รู้สึกมีคุณค่าในตนเอง
Giving recognition
การแสดงให้เห็นว่าพยาบาลจำผู้รับบริการได้ เช่น “วันก่อนพยาบาลเห็นคุณช่วยเก็บใบไม้หน้าตึก” “ทรงผมใหม่ของคุณทำให้คุณดูสดใสขึ้น” “ฉันจำได้ว่าคุณไม่ชอบรับประทานเนื้อ”
Offering self
การเสนอตัวเพื่อช่วยเหลือ เป็นการแสดงความจริงใจของพยาบาลที่จะให้การช่วยเหลือ สนใจและเอาใส่ใจ เช่น พูดว่า “พยาบาลจะนั่งเป็นเพื่อนคุณ” “ผมพอจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง” “ฉันเต็มใจที่จะรับฟังเรื่องต่างๆที่คุณอยากเล่า”
เทคนิคการกระตุ้นให้ผู้รับบริการคิดและไต่ตรองเรื่องราวของเขาใหม่
Exploring
การสำรวจเชิงลึก เพื่อค้นหาข้อมูลให้มากขึ้น เป็นการตรวจสอบความคิด ประสบการณ์ที่สำคัญหรือสัมพันธภาพที่ลึกซึ้ง ซึ่งผู้รับบริการมักจะไม่อยากเปิดเผย เช่น ผู้รับบริการเล่าว่า “เพื่อนที่ทำงานชอบจับผิดผม” พยาบาลอาจถามต่อว่า “ คุณคิดว่าเพื่อนคุณทำอย่างนั้นเพื่ออะไร” หรือ “คุณเกิดความคิดหรือรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น”
Focusing
การมุ่งประเด็นสำคัญ เช่น พยาบาลอาจพูดว่า “เรื่องแฟนของคุณน่าสนใจ เราลองพูดถึงเรื่องนี้ก่อนดีไหมคะ” “คุณพูดมาหลายเรื่อง เราลองพิจารณาทีละเรื่อง โดยเริ่มที่เรื่องเรียนก่อนดีไหมครับ”
Voicing doubt
การตั้งข้อสงสัย เช่น ผู้รับบริการเล่าว่า “ทุกคนรังเกียจผม” พยาบาลพูดว่า “ เป็นไปได้หรือคะ ที่ทุกคนจะรังเกียจคุณ ” หรือผู้รับบริการบอกว่า “ผมไม่เคยได้รับความยุติธรรม” พยาบาลพูดว่า “จริงหรือคะ ที่คุณไม่เคยได้รับความยุติธรรมสักครั้งเดียว”
Encouraging evaluation
การกระตุ้นให้ผู้รับบริการประเมินตนเอง คิดพิจารณาไตร่ตรองเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่ผ่านมา เช่น “คุณรู้สึกอย่างไรที่หมอยังไม่ให้กลับบ้าน” “คุณคิดว่าผลที่เกิดจากการดื่มเหล้าของคุณ คืออะไร”
Encouraging formulation of a plan of action
การกระตุ้นให้สร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ โดยให้ผู้รับบริการคาดการณ์ล่วงหน้าว่าหากเกิดเหตุการณ์อย่างที่เคยประสบมาอีก เขาจะมีการวางแผนแก้ไขปัญหาอย่างไร เพื่อให้พยาบาลสำรวจกิจกรรมที่จะทำตามขั้นตอนของผู้รับบริการ ก่อให้เกิดความเข้าใจในการปรับตัวครั้งต่อไป เช่น พยาบาลถามว่า “คราวหน้าหากมันเกิดขึ้นอีก คุณจะทำอย่างไร”
Summarizing
การสรุป เช่น “ในชั่วโมงที่ผ่านมา เราได้คุยกันถึงเรื่อง…”
Presenting reality
การให้ความจริง ใช้ในกรณีที่ผู้รับบริการมีการรับรู้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผิดไปจากความเป็นจริง เช่น “พยาบาลรู้ว่าคุณได้ยินเสียงนั้น แต่ตอนนี้พยาบาลไม่ได้ยิน” “ดิฉันเข้าใจว่าคุณมองเห็นงู แต่คนอื่นไม่เห็นนะคะ
Confrontation
การบอกการกระทำของผู้รับบริการอย่างตรงไปตรงมา เป็นการแสดงให้เขาเห็นว่า การกระทำ ความคิด ความรู้สึกของเขา มีความขัดแย้งกัน ทำให้ผู้รับบริการ สามารถจัดการกับความขัดแย้งในตนเองได้ เช่น พยาบาลพูดว่า “คุณบอกว่าจะเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม แต่ยังเห็นคุณแยกตัวอยู่คนเดียว” “คุณบอกว่าจะรักษาตัวเพื่อลูก แต่เห็นคุณไม่กินยา”
การประยุกต์ใช้เทคนิคการสื่อสารในการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด
ระยะเริ่มต้น
เทคนิคที่เหมาะสมในระยะนี้ คือ เทคนิคที่ช่วยให้ผู้รับบริการรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เช่น Giving Recognition, Giving Information, Offering Self และเทคนิคที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการเป็นฝ่ายนำในการสนทนา เช่น Using General lead , Using Broad Opening Statement
ระยะดำเนินการหรือระยะทำงาน
เทคนิคที่สำคัญที่จะช่วยให้การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัดบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
1.เทคนิคการกระตุ้นให้ 15 ผู้รับบริการพูดระบายความคิด ความรู้สึก เช่น Sharing Observation, Acknowldge the Patient’s Feeling , Using Silence
เทคนิคการกระตุ้นให้ผู้พูด คิดและไตร่ตรองเรื่องราวของเขาใหม่ก็จะช่วยให้พยาบาลได้ข้อมูลที่ชัดเจนตรงตามความเป็นจริง เช่น เทคนิค Focusing, Exploring, Summarizing
เทคนิคในการส่งเสริมให้เข้าใจตรงกันก็จะช่วยให้พยาบาลและผู้รับบริการมีความเข้าใจตรงกันหรือสนทนาในประเด็นที่ยังไม่กระจ่างชัดให้กระจ่างมากขึ้นโดยใช้เทคนิคต่อไปนี้ Clarifying, Validating, Verbalizing implied thought and feeling
ระยะสิ้นสุดสัมพันธภาพ
พยาบาลควรใช้ความเมตตา และทัศนคติที่ดีในการดูแล เอื้ออำนวยให้ผู้รับบริการพึ่งตนเองได้ ดำรงชีวิตอยู่เองได้ ส่งต่อให้มีแหล่งช่วยเหลือและกลับไปใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ดีที่สุด
พยาบาลควรระวัง การสื่อสารที่ขัดขวางการบำบัด เช่น การใช้คำปลอบใจที่ไม่เหมาะสม การกล่าวแย้งข้อคิดเห็นของผู้รับบริการ การกล่าวคำแก้ตัว