Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
บทที่ 3 การเตรียมและช่วยเหลือมารดาทารกที่ได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ …
บทที่ 3 การเตรียมและช่วยเหลือมารดาทารกที่ได้รับการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ
Biophysical Assessment
Ultrasound
คือ การใช้คลื่นเสียงที่มีความถี่สูงผ่านผิวหนังเข้าไปเนื้อเยื่อที่ต้องการตรวจ ดูขนาดขอบเขต รูปร่าง การเคลื่อนไหวของอวัยวะ
การที่ลูกดิ้นน้อยลง
หมายถึง ทารกอยู่ในภาวะอันตราย มีความ
เสี่ยงที่จะเสียชีวิต ดังนั้นถ้ามารดาพบว่าน้อยลง หรือหยุดดิ้น ให้มาพบแพทย์ทันที และควร
มีการบันทึกการดิ้นของทารกในแต่ละวัน
แนวทางการตรวจ ultrasound
ประเมินอายุครรภ์และการเจริญเติบโตของทารก
ปริมาณน้ำคร่ำ
ดูลักษณะและตำแหน่งของรก
ดูจำนวนและการมีชีวิตของทารก
ตรวจ 4- chamber view ของหัวใจทารก
ตรวจลักษณะทางกายวิภาคของทารก
ข้อบ่งชี้ Ultrasound ด้านมารดา
ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์ในระยะเริ่มแรก
ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติ
ตรวจดูตำแหน่งที่รกเกาะ
ตรวจดูภาวะแฝดน้ำ / น้ำคร่ำน้อย
ตรวจในรายสงสัยครรภ์ไข่ปลาอุก
ใช้วินิจฉัยการตั้งครรภ์นอกมดลูก
การตั้งครรภ์ที่มีห่วงอนามัยอยู่ด้วย
เพื่อดูความผิดปกติ เช่น ก้อนเนื้องอกที่อุ้ง
เชิงกราน
ตรวจดูตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนทำ
amniocentesis
ข้อบ่งชี้ Ultrasound ด้านทารก
ดูการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ หรือคาด
คะเนอายุครรภ์
ตรวจดูความผิดปกติของทารกในครรภ์
เพื่อวินิจฉัยภาวะทารกตายในครรภ์
เพื่อดู lie position และส่วนนำของทารกใน
ครรภ์
เพื่อตรวจดูการหายใจของทารกในครรภ์ทารก
เจริญเติบโตช้าในครรภ์ (IUGR)
เพื่อตรวจดูจำนวนของทารกในครรภ์
การแปลผล Ultrasound
ขนาดของถุงการตั้งครรภ์
(Gestational Sac : GS)
อายุครรภ์ 5 -7 week ถุงที่หุ้มทารกไว้ซึ่งจะเห็น
ได้ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ใช้ยืนยันการตั้งครรภ์ ใช้ในการหาอายุครรภ์ โดยวัดเส้นผ่าศูนย์กลางของถุงการตั้งครรภ์ ทั้ง 3 แนวคือกว้าง ยาว สูง
ความยาวของทารก
(Crown-rump lerght : CRL)
อายุครรภ์ 7-14 week คือ ความยาวตั้งแต่ศีรษะถึงส่วนล่างสุดของกระดูกไขสันหลัง ซึ่งมีความแม่นยำมาก คลาดเคลื่อนเพียง 3 - 7 วัน
Biparietal diameter : BPD
เส้นผ่าศูนย์กลางของส่วนที่ยาวที่สุดของศีรษะ
ของทารก เป็นตัววัดที่นิยมมากที่สุด อาศัยจุดสัมพัทธ์ คือ เป็นระดับ BPD ที่กว้างที่สุด การ
คำนวณจะแม่นยำสุด คือ ช่วง 14 - 26 สัปดาห์คำนวณอายุครรภ์โดยประมาณ คือ BPD (ซม.) X 4
สัปดาห์
ความยาวของกระดูกต้นขา
(Femur length : FL)
วัดจากส่วนหัวกระดูก-ปลายแหลมของปลายกระดูก ควรวัดก่อนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์
เส้นรอบท้อง(Abdominal circumference : Ac)
วัดยาก ไม่ค่อยนิยม เนื่องจากมีการ
เปลี่ยนแปลงของหน้าท้องจากสาเหตุบางอย่างเช่น ทารกโตกว่าอายุครรภ์หรือเล็กว่าอายุครรภ์,
ทารกมีตับ หรือม้ามโต
Fetal Biophysical profile
(BPP)
คือ การประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ โดยใช้
คลื่นเสียงความถี่สูงตรวจวัดการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่างๆของทารกที่ถูกกระตุ้นและควบคุมด้วย
ระบบประสาทส่วนกลาง (Biophysical activity)
4 ตัวแปร (การหายใจ, การเคลื่อนไหว, แรงตึงตัวของกล้ามเนื้อ , การเต้นของหัวใจทารก) ร่วมกับ การวัดปริมาณน้ำคร่ำอีก 1 ตัวแปร
วิธีการตรวจ
เตรียมหญิงตั้งครรภ์ในท่านอน Semi-fowler
ตะแคงซ้ายเล็กน้อย
ใช้ Ultrasound ตรวจวัดข้อมูล 5 ตัวแปรที่
ต้องการ
กำหนดค่าคะแนนของแต่ละข้อมูล ข้อละ 2
คะแนน
เมื่อพบว่าปกติให้ 2 คะแนน และให้ 0 คะแนนเมื่อ
พบว่าผิดปกติ
เกณฑ์ปกติ คะแนน =2
สังเกตนาน 30 นาที
การหายใจของทารกในครรภ์ หายใจต่อเนื่อง
อย่างน้อย 20 วินาที อย่างน้อย 1 ครั้ง
การเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ขยับตัวหรือ
เคลื่อนไหวแขนขาอย่างน้อย 2 ครั้ง
แรงตึงตัวของกล้ามเนื้อ เหยียดตัว กางแขนขา
และหดกลับอย่างรวดเร็ว หรือกำและคลายมืออย่างน้อย 1 ครั้ง
การเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ NST ได้ผลปกติ
ปริมาณน้ำคร่ำ ตรวจพบโพรงน้ำคร่ำอย่างน้อย
1 แห่ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างน้อย 2 cm.
การแปลผล
คะแนน 8-10 คะแนน แสดงว่า ปกติ ไม่มีภาวะ
เสี่ยงควรตรวจซ้ำใน 1 สัปดาห์
คะแนน 6 คะแนน แสดงว่า มีภาวะเสี่ยงต่อการ
ขาดภาวะออกซิเจนเรื้อรังของทารก ควรตรวจซ้ำใน 4-6 ชั่วโมง
คะแนน 4 คะแนน แสดงว่า มีภาวะขาด
ออกซิเจนเรื้อรัง
คะแนน 0-2 คะแนน แสดงว่า มีภาวะขาด
ออกซิเจนเรื้อรังอย่างรุนแรง ควรให้มีการคลอดโดยเร็ว
วิธีนับลูกดิ้น
วิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง คือ Count to tenคือ การนับการดิ้นของทารกในครรภ์ให้ครบ10 ครั้ง ในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงต่อกันในท่านอนตะแคง มารดาสามารถเลือกเวลาที่สะดวกตอนไหนก็ได้ หรือเวลาที่ทารกดิ้นเยอะในช่วงเย็นก็ได้โดยไม่จำเป็นทำหลังรับประทานอาหารถ้านับลูกดิ้นไม่ถึง 10 ครั้ง แปลผลว่า ผิดปกติ
ให้คำแนะนำ
“daily fetal movement record (DFMR)”คือ การนับลูกดิ้น 3 เวลาหลังมื้ออาหาร ครั้งละ 1ชั่วโมงถ้าน้อยกว่า 3 ครั้งต่อชั่วโมง แปลผลว่าผิดปกติถ้านับต่ออีก 6-12 ชั่วโมงต่อวันรวมจำนวนครั้งที่ดิ้นใน 12 ชั่วโมงต่อวัน ถ้าน้อยกว่า 10 ครั้ง ถือว่าผิดปกติ ทารกมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตในครรภ์
Electronic Fetal monitoring
เป็นเครื่องมือทาง Electronic ที่ได้นำมาใช้เพื่อ
ตรวจดูสุขภาพทารกใน
เครื่องมือ
หัวตรวจ มี 2 แบบ คือ
Tocodynamometer หรือ tocometer จะเป็นส่วนที่
วางอยู่บนหน้าท้องมารดาบริเวณยอดมดลูกเพื่อประเมินความรุนแรงของการหดรัดตัวของมดลูก
ultrasonic transducer สำหรับฟังอัตราการเต้นของหัวใจทารกจะเป็นส่วนที่วางอยู่บนหน้าท้องบริเวณหัวใจทารก เพื่อประเมินการเต้นของหัวใจและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อมีการหดรัดตัวของมดลูก
การเต้นของหัวใจทารกและคำต่างๆ
ที่เป็นสากล
Baseline features (ในช่วงที่มดลูกไม่หดรัดตัว)
อัตราการเต้นของหัวใจทารก
Baseline fetal heart rate ปกติ 110 – 160
ครั้ง/นาที
Tachycardia > 160 ครั้ง/นาที
Bradycardia < 110 ครั้ง/นาที
Variability คือ อัตราการเต้นของหัวใจทารกที่มีการ
เปลี่ยนแปลง
Absent : ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง
Minimal : มีการเปลี่ยนแปลง 0 ถึง 5 beat /
min
Moderate : มีการเปลี่ยนแปลง 6 ถึง 25
beat/min
Marked : มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่า 25
beat/min
การที่ variability ลดลงหรือหายไปแสดงถึง บางส่วนของสมองหยุดส่งกะแสไฟฟ้ากระตุ้นการทำงานของหัวใจทารกพบใน
ทารกได้รับยากดประสาทเช่น Pethidine,
Morphine, Phenobarb
ทารกหลับ คลอดก่อนกำหนด
ความพิการของหัวใจ หรือศรีษะ เช่น
anencephaly
มีภาวะ brain hypoxia
Periodic change มี 2 แบบ
acceleration การเพิ่มขึ้นของ FHR
อายุครรภ์ > 32 สัปดาห์ มากกว่าหรือเท่ากับ
15 bpm นานกว่า 15 วินาที
อายุครรภ์ < 32 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 10 bpm
นานกว่า 10 วินาที
deceleration ซึ่งแบ่งเป็น 4 แบบ คือ
Early deceleration
การลดลงของ FHR สัมพันธ์กับการหดรัดตัวของ
มดลูก พบได้ตอนท้ายของการเจ็บครรภ์คลอดเชื่อว่าเป็น reflex เกิดจากการที่ศรีษะทารกถูก
กด
Late deceleration
การลดลงของ FHR ไม่สัมพันธ์กับการหดรัดตัว
ของมดลูกการลดลง ถือเป็นความผิดปกติ เชื่อว่าเกิดจากทารก hypoxia
Variable deceleration
การลดลงของ FHR โดยอาจจะสัมพันธ์กับการหด
รัดตัวของมดลูกหรือไม่ก็ได้ ไม่นานเกิน 2 นาทีเกิดจากสายสะดือถูกกด พบใน prolapse cord
หรือ น้ำคร่ำน้อย
Prolonged deceleration
การลดลงของ FHR นานอย่างน้อย 2 นาที แต่ไม่
ถึง 10 นาที การแก้ไข : ตรวจสอบหาการพลัดต่ำของสายสะดือ
หลักการดูแลทารกที่มีการเต้นของ
หัวใจผิดปกติ
เพิ่ม uterine blood flow โดยการจัดท่ามารดา ให้
สารน้ำทางเส้นเลือดช่วยลดความกังวลใจให้กับ
มารดา
เพิ่ม umbilical circulationโดยการจัดท่ามารดา การ
ตรวจภายในดันส่วนนำของทารกเพื่อลดการกดสายสะดือถ้าเกิดภาวะสายสะดือย้อย
เพิ่ม oxygen saturation โดยการจัดท่ามารดา
ให้ออกซิเจนแก่มารดาและสอนวิธีการหายใจที่ถูก
ต้องในระหว่างเจ็บครรภ์คลอด
ลด uterine activity โดยปรับเปลี่ยนการให้ยาที่
เหมาะสม จัดท่ามารดาให้สารน้ำทางเส้นเลือดและ
สอนวิธีการการเบ่งคลอดที่ถูกต้อง
แนวทางการดูแลรักษา
ทารกมีปัญหาการเต้นหัวใจที่ผิดปกติในระหว่าง
เจ็บครรภ์
จัดท่ามารดา โดยทั่วไปนิยมให้มารดานอนใน
ท่าตะแคงซ้าย
แก้ไขเมื่อมีภาวะ uterine hyperstimulation
หยุดการให้ยา oxytocin
ให้ออกซิเจนแก่มารดาผ่านทางหน้ากากใน
อัตรา 8-10 ลิตร/นาที
ทำการประเมินการเต้นของหัวใจทารกตลอด
เวลา
Non-Stress Test (NST)
การแปลผล (NST)
Non-reactive
ผลที่ได้จากการทดสอบ
ไม่ครบตามข้อกำหนดของ reactive NST ในระยะเวลาของการทดสอบนาน 40 นาที
Suspicious หมายถึง
มีการเพิ่มของอัตราการเต้น
ของหัวใจน้อยกว่า 2 ครั้งหรืออัตราการเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 15 ครั้ง/นาที และอยู่สั้นกว่า 15 วินาทีเมื่อมีทารกดิ้น แต่กราฟที่ได้ต้องมีlong termvariability ที่ดี
Uninterpretable หมายถึง
คุณภาพของการ
ทดสอบไม่สามารถแปลผลได้ตามข้อกำหนดควรทำการทดสอบซ้ำภายใน 24-48 ชั่วโมง
Reactive หมายถึง
มี baseline FHS ระหว่าง 120-160 ครั้ง/นาที
มี long term variability ที่ปกติ (6-25 bpm.)
ไม่มี deceleration ของการเต้นของหัวใจทารก
มี acceleration (การเพิ่มขึ้นของอัตราการเต้นของหัวใจมากกว่า 15 ครั้ง/นาที และคงอยู่นานอย่างน้อย 15 วินาที เมื่อทารกเคลื่อนไหว โดยบันทึกการตอบสนองดังกล่าวได้อย่างน้อย 2 ครั้งภายใน 20 นาที)
การพยาบาลหลังการตรวจ
Non-Stress Test (NST)
รายงานผลการตรวจให้แพทย์และผู้รับบริการ
ทราบในกรณีที่ไม่แน่ใจผลการตรวจควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง
ผล reactive ควรนัดหญิงตั้งครรภ์มาตรวจซ้ำอีก
สัปดาห์ละ 1 ครั้ง แต่ถ้าผลเป็นnon- reactive ก็
ควรทำซ้ำ
ถ้าผลการตรวจเป็น suspicious ควรตรวจซ้ำ
ภายใน 24 ชั่วโมงหลังตรวจหรือแนะนำการตรวจ (contraction stress test : CST ) ติดตามสภาพ
ทารกในครรภ์
ทารกเติบโตช้าในครรภ์ (intra uterine growth
retardation)
ตั้งครรภ์เกินกำหนด( post term)
มารดาเป็นเบาหวาน
มารดามีประวัติความดันโลหิตสูง
มารดาเป็นโรคโลหิตจางหรือมีฮีโมโกลบินผิด
ปกติ
มารดามีอายุมากกว่า 35 ปี
ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง
Contraction Stress test ; CST
Uteroplacental insufficiency
ปกติทารกจะสามารถปรับตัวได้แสดงออกโดยมี
การเปลี่ยนแปลง FHR pattern ไม่เกิด latedeceleration
ถ้ามีภาวะ Uteroplacental insufficiency
ทารกอยู่ในภาวะไม่ปลอดภัย FHR pattern เกิดlate deceleration ขึ้น
การแปลผล
Negative : มี UC 3 ครั้งใน10 นาที โดยไม่มี late
deceleration
Positive : พบ late deceleration ทุกครั้งในระยะ
ช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูก
Suspicious : มี late deceleration แต่ไม่เกิดขึ้นทุก
ครั้งของการหดรัดตัวของมดลูก หรือมีการลดลงของFHS ในช่วงท้ายของการหดรัดตัวของมดลูกร่วมกับ
มดลูกหดรัดตัวถี่มากเกินไป
Unsatisfactory : เส้นกราฟไม่มีคุณภาพเพียงพอ
หรือ UC ไม่ดีพอ
การติดตามผล CST
Negative : ทารกอยู่ในสภาพปกติ แนะนำนับลูก
ดิ้นและตรวจซ้ำใน 1 สัปดาห์
Positive : ทารกอยู่ในสภาพพร่องออกซิเจน
ช่วยเหลือโดย Intrauterine resuscitation และหยุด Oxytocin ทันที หลังจากนั้น 15-30 นาทีให้
ทำ CST ซ้ำ ถ้าผล Positiveอีกครั้งควรสิ้นสุด
การตั้งครรภ์
การทดสอบดูการเปลี่ยนแปลงของอัตราการ
เต้นของหัวใจทารก ในครรภ์ขณะที่มดลูกหดรัดตัวเพื่อคัดกรองหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะเสี่ยงสูงว่ามี
เลือดไปเลี้ยงมดลูกและรกพอหรือไม่ ก่อนจะเจ็บครรภ์คลอด และถ้าให้ตั้งครรภ์ต่อไปทารกจะทน
ต่อการหดตัวของมดลูกเมื่อเจ็บครรภ์คลอดได้
หรือไม่
Biochemical Assessment
Amniocentesis
คือ การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดโดยเจาะน้ำคร่ำ
เพื่อตรวจโครโมโซม
ทารกในครรภ์ที่ผิดปกติ เช่น ตั้งครรภ์อายุตั้งแต่ 35 ปี
โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย
วิธีการเจาะ
ทำโดยวิธีการปราศจากเชื้อ เจาะโดยใช้เข็มขนาดเล็กเจาะผ่านหน้าท้อง
และผนังมดลูกเข้าสู่ถุงน้ำคร่ำ มาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ทำเมื่ออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์
ภาวะแทรกซ้อน
ปวดเกร็งเล็กน้อยบริเวณท้องน้อย มีเลือดหรือน้ำคร่ำออกทางช่องคลอด
โอกาสแท้ง ทารกตาย หรือเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดพบประมาณ 0.5%
การติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ การติดเชื้อในกระแสเลือดขั้นรุนแรงเกิดขึ้นน้อย
กว่า 1 รายจากการเจาะ 1,000 ราย
กลุ่มเลือด Rh negative มารดาสร้างภูมิต้านทานต่อเม็ดเลือดแดงของ
ทารกในครรภ์ ทำได้โดยการฉีด Anti-D immunoglobulin หลังการตรวจ
คำแนะนำหลังการเจาะ
ควรสังเกต และมาพบแพทย์หากมีอาการเหล่านี้
ปวดเกร็งหน้าท้องมาก
ไข้ภายใน 2 สัปดาห์
มีน้ำหรือเลือดออกทางช่องคลอด
พักหลังจากการเจาะ1 วัน ควรงดการออกแรง
มาก เช่น ยกของหนัก ออกกำลังกาย และงดการร่วมเพศ อีก 4-5 วัน ไม่ควรเดินทางไกลภายใน 7
วันหลังการเจาะน้ำคร่ำ
บทบาทของพยาบาล
ดูแลให้ปัสสาวะเพื่อให้กระเพาะปัสสาวะว่าง
ดูแลจัดท่า วัดความดันโลหิต และฟังเสียงหัวใจ
ของทารก
จัดเตรียมอุปกรณ์ให้สะอาดปราศจากเชื้อ
ภายหลังเจาะให้นอนหงาย กดแผลหลังจากเอา
เข็มออก ประมาณ 1 นาที และปิดแผลด้วยพลาสเตอร์
ฟังเสียงหัวใจทารกทุก 15 นาที จนครบ 1
ชั่วโมง
วัด Vital signs 2 ครั้ง ห่างกัน 15 นาที
Amniotic fluid analysis
ดูความสมบูรณ์ของปอด วิธีที่นิยมทำ 3 วิธี
จากการดูสีของน้ำคร่ำ มีเลือดปน ใสหรือขุ่น มีสีของขี้เทาปนหรือไม่
(Amniotic fluid clear, Thin meconium, Thik Meconium)
การตรวจหาค่า L/S ratio (Lecithin Sphingomyelin Ratio)
การตรวจหาค่า L/S ratio เพื่อดู lung maturity เนื่องจากสาร lecithin
เป็น Phospholipids ทำหน้าที่เป็น surfactant คลุมบริเวณ alveoliส่วน sphingomyelin เป็นไขมันในน้ำคร่ำ
สัดส่วนของ L/S จะเท่าๆกัน จนกระทั่ง 30 สัปดาห์ หลังจากนั้น
sphingomyelin จะเริ่มคงที่ ขณะที่ lecithin จะเพิ่มขึ้น surfactant ทำหน้าที่ป้องกันการเกิด collapse ของ alveoli ในขณะที่มีการหายใจออก
ถ้าขาดสาร surfactant นี้จะทำให้เกิด RDS (กลุ่มอาการหายใจลำบาก)ซึ่ง มักจะพบในทารกที่คลอดก่อนกำหนด
ค่าปกติของ L/S rotio
26 สัปดาห์ แรกของการตั้งครรภ์ ค่า S > L
อายุครรภ์ 26-34 สัปดาห์ ค่า L / S ratio = 1:1
อายุครรภ์ 34-36 สัปดาห์ ค่า L จะเพิ่มมากขึ้นอย่าง
รวดเร็ว แต่ S จะมีปริมาณลดลงเล็กน้อย ทำให้ ratio สูงขึ้นเปลี่ยนเป็น 2:1
L / S ratio > 2 แสดงว่าปอดทารกสมบูรณ์เต็มที่ โอกาสเกิด
RDS ต่ำ
Shake Test
เป็นการทดสอบความสมบูรณ์ของปอดทารกใน
ครรภ์ โดยใช้หลักการของความสามารถในการคงสภาพของฟองอากาศของสารลดแรงตึงผิวของ
ปอด (Surfactant)
วิธีการทำ
ใช้หลอด 5 หลอด ใส่น้ำคร่ำจำนวน 1 cc , 0.75 cc ,
0.5 cc , 0.25 cc และ 0.2 cc ตามลำดับแล้วเติม normalsaline Solution ในหลอดที่ 2 , 3 , 4 และ 5 ทำให้
ส่วนผสมเป็น 1 cc ทุกหลอดแล้วเติม Ethanol 95 %ทุกหลอดเขย่านาน 15 วินาที ทิ้งไว้นาน 15 นาที
การแปลผล
ถ้าพบว่ามีฟองอากาศเกิดขึ้น 3 หลอดแรกแสดง
ว่าได้ผลบวก ปอดของทารกเจริญเต็มที่
ถ้าพบฟองอากาศ 2 หลอด แรก ได้ผล
intermediate ปอดทารกยังไม่เจริญเต็มที่
ถ้าพบฟองอากาศเพียงหลอดเดียวหรือไม่พบเลย
แสดงว่า ได้ผลลบแสดงว่าการทดสอบปอด
ทารกยังเจริญไม่เต็มที่
*ถ้าได้ลบ ควรตรวจหาค่า L/S ratio ต่อไป เพราะ
อาจเป็นผลลบลวงfalse negative แต่ผลบวกลวง
พบได้น้อย
Fetoscopy
คือ การส่องกล้องดูทารกในครรภ์
หรือเรียกว่า laparo amnioscope สอดเข้าไปในถุงน้ำคร่ำโดยผ่านผนังหน้าท้องของหญิงตั้งครรภ์
เพื่อดูความผิดปกติของทารก
ขั้นตอนการทำ
งดน้ำงดอาหารก่อนทำ 6-8 ชั่วโมง
ตรวจสอบ FHS ก่อนและหลังทำ
ใช้ ultrasound เป็นตัวช่วยในการทำ
ต้องตรวจสอบปริมาณน้ำคร่ำหลังทำ
หลังทำงดการทำงานหนัก 1 – 2 สัปดาห์
เนื่องจากอาจมีอาการปวดท้อง
ภาวะแทรกซ้อน แท้งบุตร 12 % เลือดออกทาง
ช่องคลอด ติดเชื้อน้ำคร่ำรั่วอย่างรุนแรงเลือดแม่กับเลือดลูกปนกัน
Chorionic villous sampling
คือ การดูด
เอาตัวอย่างของรกเด็กมาตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซม Chromosome เช่นเดียวกันกับ
การตรวจน้ำคร่ำ สามารถบอกความผิดปกติของโครโมโซม เช่น Down's syndrome ความพิการ
แต่กำเนิด และ Anencephaly
ไม่สามารถตรวจพบภาวะเยื่อหุ้มไขสันหลังปิดไม่
สนิทที่เรียกว่า Spina Bifida ได้
ทำช่วง 10-13 wks. ไม่ควรทำ ก่อนอายุครรภ์ 10
สัปดาห์ เพราะเพิ่มอัตราการเกิดทารกพิการแบบlimb reduction defect โดยทั่วไปเกิดเมื่อทำ
ขณะอายุครรภ์ 7 สัปดาห์
cordocentesis
(Percutaneuos umbilical blood sampling or
cordocentesis)
หมายถึง การเจาะดูดเลือดจากหลอดเลือดสาย
สะดือ โดยทั่วไปเจาะจากหลอดเลือดดำเนื่องจากการเจาะหลอดเลือดแดงจะกระตุ้นให้
เกิดหลอดเลือดหดรัดตัว หัวใจทารกเต้นช้าลง
ทำ ช่วงขณะอายุครรภ์ 18 สัปดาห์
Alpha fetoprotein (AFP)
AFP เป็นการตรวจเลือดมารดา ดูค่าโปรตีนที่สร้างมา
จากรก ใช้ค่านี้ในการตรวจสอบความผิดปกติของรกและเนื้อเยื่อที่เกี่ยวข้องกับรก (ระยะเวลาในการตรวจ
16-18 wks.)
ค่าปกติ AFP 2.0 – 2.5 MOM (Multiple of median)
ค่า AFP สูงขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่ 15 ของการตั้งครรภ์ แสดงว่าทารกมีความผิดปกติของ open neural
tube เช่น anencephaly myelomeningocele , Spinabifida,congenital nephrosis, esophageal atresia, Turner’s
syndrome หรือทารกตายในครรภ์
ค่า AFP ต่ำ สัมพันธ์กับ Down’ syndrome
Turner Syndrome
หรือกลุ่มอาการเทอร์เนอร์ เป็นภาวะผิดปกติทาง
พันธุกรรมที่พบในเพศหญิง เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม X โดยผู้ป่วยภาวะนี้จะมี
โครโมโซม X เพียงตัวเดียว ทำให้ผู้ป่วยมีลักษณะเฉพาะ คือ มีรูปร่างเตี้ย คอมีพังผืด และ
ปลายแขนกางออก ทั้งยังส่งผลให้ผู้ป่วยมีรังไข่ที่ไม่เจริญ ไม่มีประจำเดือน และอาจเกิดภาวะมี
บุตรยาก
anencephaly (ภาวะกะโหลกศีรษะไม่ปิด)
Spinabifida
ความบกพร่องของกระดูกไขสันหลัง (spina bifida) ซึ่งมี
ถุงยื่นผ่านจากกระดูกไขสันหลังออกมาตามตำแหน่งที่บกพร่องนั้น
โรคมัยอีโลเมนิ่งโกซีล (Myelomeningocele)
ความผิดปกติใน 2 - 3 สัปดาห์ ของการตั้งครรภ์ ส่งผล
ต่อการเจริญเติบโตของตัวอ่อนทำให้ไม่สามารถเชื่อมตัวที่บริเวณหลังส่วนเอว ฉะนั้นไขสันหลังจึงเกิดได้ไม่
สมบูรณ์และเป็นแผ่นแบนอยู่ที่ผิวของร่างกายล้อมรอบด้วยผิวหนัง เนื่องจากไขสันหลังเกิดขึ้นไม่สมบูรณ์
ฉะนั้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อขาก็ไม่สมบูรณ์ด้วยทำให้เกิดอัมพาตของขาแต่กำเนิด