Please enable JavaScript.
Coggle requires JavaScript to display documents.
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด และการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสารเพื่อการบำบัด -…
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด และการสร้างสัมพันธภาพและการสื่อสารเพื่อการบำบัด
การใช้ตนเองเพื่อการบำบัด (Therapeutic use of self)
ผู้ที่มีความเจ็บป่วยทางจิต มีเป้าหมายเพื่อให้การช่วยเหลือและแก้ไขให้ผู้ป่วยมีความคิดและการกระทำที่เหมาะสม
และสิ่งสำคัญที่สุดที่พยาบาลจิตเวชต้องใช้ในการให้การพยาบาลแก่ผู้ป่วยคือ “ ตนเอง (self)”
พยาบาลจิตเวชต้องใช้“ ตนเอง” เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้ป่วย ช่วยให้
ผู้ป่วยเกิดการตระหนักในตนเองยอมรับตนเอง
เป็นความสามารถในการใช้บุคลิกภาพและความเป็นตัวตนของบุคคล
อย่างมีสติมีความตระหนักในตนเอง (self awareness) เข้าใจตนเอง (Self understanding และพัฒนาตนเอง
พยาบาลต้องเข้าใจในมโนมติพื้นฐาน
อัตมโนทัศน์
เป็นความคิดการรับรู้และการประเมินผลที่บุคคลมีต่อตนเองซึ่งอาจจะตรงกับความเป็นจริงหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงบุคคลอาจจะไม่รับรู้ความเป็นจริงบางอย่างเกี่ยวกับตนเองก็ได้ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลายประการ ได้แก่ การอบรมเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม วุฒิภาวะ
แบ่งอัตมโนทัศน์หรือตัวตนออกเป็น 2 ด้าน
ตัวตนด้านร่างกาย
หมายถึงการรับรู้เกี่ยวกับร่างกายของตนเอง ได้แก่ การรู้จักตนเองทางสรีรภาพตามความเป็นจริงที่ตนเองเป็นอยู่
ตัวตนส่วนบุคคล
หมายถึงการรับรู้คุณค่าของตนเอง เป็นความรู้สึกที่บุคคลที่
เกี่ยวกับตนเองทั้งด้านความเชื่อ ความคาดหวัง ค่านิยม อุดมการณ์ ปณิธานในชีวิต เป็นต้น
ตัวตนด้านศีลธรรมจรรยา
เป็นการรับรู้เกี่ยวกับถูกผิดที่บุคคลประเมินตนเองจากการกระทำที่สอดคล้องหรือฝ่าฝืนค่านิยมทางศีลธรรมจรรยาที่ตนเอและยึดถืออยู่ในใจ
ตัวตนด้านความสม่ำเสมอแห่งตน
เป็นความรู้สึกหรือการรับรู้ในลักษณะประจำตัวบางอย่างของตัวเอง ซึ่งมีลักษณะคงที่
ตัวตนด้านปณิธานหรือความคาดหวัง
เป็นความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติเกี่ยวกับตนเอง ตามที่ตนเองปรารถนาจะเป็นบุคคลจะตั้งความคาดหวังไว้ว่าอยากจะเป็น
ตัวตนด้านการยอมรับนับถือตนเอง
เป็นความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับคุณค่าของตนเองในหลายๆด้านบุคคลจะประเมินตนเองโดยเปรียบเทียบคุณค่าที่ตนเองรับรู้ว่าตนเองมีอยู่หรือเป็นอยู่
ความตระหนัก รู้ในตนเอง
เป็นภาวะที่บุคคลรู้สึกตัว ของตนเอง และ
สิ่งแวดล้อมรอบตัว ณ ขณะนั้นรู้ว่าตนเองเป็นใครคิดและรู้สึกอย่างไรกำลังทำอะไรอยู่
การตระหนักรู้ในตนเองในฐานะบุคคล เพราะบุคคลมีความแตกต่างกัน มีลักษณะเฉพาะตนเอง
เจตคติ ความรู้สึก ความคิด ความต้องการที่แตกต่างกัน
ทั้งทางด้านจิตใจ ด้านร่างกาย ด้านสังคม
ด้านจิตวิญญาณ
การตระหนักรู้ในฐานะวิชาชีพ
สัมพันธภาพระหว่างเพื่อร่วมวิชาชีพ ระดับความจริงใจและ
ความทุ่มเทในวิชาชีพ ทัศนคติต่อวิชาชีพ ความรู้และทักษะทางการพยาบาลจิตเวช
อัตตาหรือความเป็นตัวตนของตนเอง
หมายถึงส่วนรวมทั้งหมดของบุคคลทั้งทางด้านร่างกายความคิดความรู้สึกความเชื่อค่านิยม
พฤติกรรมที่บุคคลนั้นเป็นอยู่หรือมีอยู่ตามความเป็นจริง
แนวทางในการเพิ่มการตระหนักรู้ตนเอง
รับฟังและเรียนรู้จากผู้อื่น
โดยการที่ตัวเราต้องเปิดใจกว้าง ที่จะยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นที่เขาวิเคราะห์ วิจารณ์ พฤติกรรมของเราในสถานการณ์ต่าง ๆ
การเปิดเผยตนเอง
โดยการบอกความรู้สึก ความต้องการของตนเองที่เกิดขึ้นอย่างธรรมชาติ
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในด้านความคิดเห็น ค่านิยม ความเชื่อ และข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ที่จะช่วยให้ผู้อื่นรู้จักตัวเรามากขึ้น
เพื่อพิจารณาตนเอง
โดยการให้เวลาตนเอง ในการพิจารณาความคิด อารมณ์และพฤติกรรมของตนเองที่อาจมีอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้อื่น
ประโยชน์ที่ได้จากการตระหนักรู้ตนเอง
ทำให้ติดต่อกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพยาบาลสามารถติดต่อกับผู้ป่วยด้วยความเข้าใจและเป็นไปในรูปแบบของการบำบัดได้
สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรู้ตัวอยู่ทุกขณะในการทำงาน
ทำให้ทราบถึงความคิดความรู้สึก อารมณ์ ทัศนคติและพฤติกรรมต่องานที่ทำขณะนั้น และ
สามารถควบคุมความเครียดได้ตลอดจนสามารถรักษาระดับความเครียดให้อยู่ในภาวะปกติ
ทำให้เป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน และดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม
สามารถปรับตัวให้เข้ากับงาน คน สิ่งแวดล้อมได้
ความสำคัญ
เป็นกระบวนการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่พยาบาลใช้ตนเองเพื่อเป็นสื่อในการบำบัดโดยใช้สัมพันธภาพทางวิชาชีพขณะติดต่อสื่อสารเพื่อบ าบัดทางจิต ทำให้ผู้ป่วยเกิดการเรียนรู้และสามารถติดต่อกับบุคคลอื่นได้ มีสุขภาพกายและจิตดีขึ้น
คุณสมบัติที่จำเป็นในการใช้ตนเองเพื่อการบำบัด การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบำบัด และการสื่อสารเพื่อการบำบัดสำหรับพยาบาลจิตเวช
บุคคลทุกคนมีคุณค่า (Positive regard)
ต้องปฏิบัติต่อผู้ป่วยโดยเชื่อว่าบุคคลทุกคนมีศักดิ์ศรีและศักยภาพที่จะจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ของตน
การที่พยาบาลให้เกียรติและเคารพในความเป็นบุคคลของผู้ป่วยจะเป็นแรงเสริมให้ผู้ป่วยเห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเอง
ไม่ตัดสินผู้อื่น (Nonjudgmental)
การไม่นำค่านิยมหรือมาตรฐานสังคมของพยาบาลไปตัดสินพฤติกรรมหรือการกระทำของผู้ป่วย
ไม่ตัดสินพฤติกรรมว่าถูกหรือผิด ดีหรือเลว ยกเว้นพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่างๆ
ให้การยอมรับ (Unconditioning positive regard)
คือการยอมรับในตัวบุคคลที่ผู้ป่วยเป็น
แต่ไม่ได้หมายถึงการยอมรับในพฤติกรรมของผู้ป่วย แต่เป็นการยอมรับที่ผู้ป่วยเป็นอย่างนั้น
ท่าทีอบอุ่น (Warmth)
การแสดงถึงความเป็นมิตร ความอบอุ่น หรือความห่วงใยในผู้ป่วย
เข้าใจความรู้สึก (Empathy)
คือการพยายามเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น หรือตระหนักรู้ว่าขณะที่ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมต่างๆ นั้นผู้ป่วยรู้สึกอย่างไร
ความจริงใจ (Genuine)
พยาบาลควรแสดงความจริงใจในการให้บริการ อย่างมีความเป็นตัวของตัวเอง โดยแสดงออก
อย่างเป็นธรรมชาติ และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของวิชาชีพ
ความสอดคล้อง (Congruency)
คือการสอดคล้องทั้งคำพูดและการกระทำโดยเฉพาะการสื่อความหมายกับผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งผู้ป่วยมักจะรับรู้ได้เร็วจากการกระทำของพยาบาล
ความอดทน (Endurance)
คือการอดทนที่จะให้เวลา และโอกาสสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการพัฒนาตนเอง
พยาบาลต้องอดทนที่จะศึกษาผู้ป่วยติดตามดูแลความก้าวหน้าของผู้ป่วย
ให้ความเคารพ (Respect)
ให้เกียรติกับผู้ป่วยโดยการยอมรับในการแก้ปัญหาของผู้ป่วย ไม่ใช้อำนาจกับผู้ป่วยโดยไม่เหมาะสม
เชื่อถือได้ (Trustworthiness)
การมีลักษณะของความน่าเชื่อถือ หรือความน่าไว้วางใจซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลเกิดความไว้วางใจ
การเปิดเผยตัวเอง (Self-disclosure)
มีทักษะในการเปิดเผยตัวเองในขอบเขตวิชาชีพพยาบาล
สามารถบอกความรู้สึกความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวเองให้ผู้ป่วยรับรู้ได้
การเปิดเผยตัวอย่างเหมาะสมจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการให้ผู้ป่วยเปิดเผยความรู้สึกของตัวเอง
กล้าที่จะสำรวจความรู้สึกของตัวเองมากขึ้น
มีความรู้ (Knowledge)
พยาบาลต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องทฤษฎีต่าง ๆ เพื่อเป็น
แนวทางในการทำความเข้าใจสาเหตุกลไกการเจ็บป่วยทางจิตและพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกมาของ
มีความสม่ำเสมอ (Consistency)
ทั้งด้านอารมณ์ และพฤติกรรม ทั้งต่อบุคคล ต่อการปฏิบัติงาน ทำให้ผู้ป่วยเกิดความไว้ วางใจและมีความเชื่อถือพยาบาล
การสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด และการสื่อสารเพื่อการบําบัด
สัมพันธภาพระหว่างพยาบาลและผู้ปุวย (Nurse – Patient Relationship)
บุคคลสองคนคือ พยาบาลและผู้ปุวยได้มีการติดต่อเกี่ยวข้องกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ซึ่งระยะเวลาของการติดต่อเกี่ยวข้องนี้พยาบาลมี บทบาทในการที่จะช่วยให้ผู้ป่วยหรือผู้ใช้รับบริการให้ได้รับการตอบสนองความต้องการ
ช่วยแก้ปัญหาและช่วยให้ฟื้นจากความเจ็บป่วยทางจิตด้วยความรู้ความสามารถของพยาบาล
เป้าหมายในการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด เพื่อให้ผู้ป่วย
ตระหนักในตนเอง ยอมรับตนเอง และเพิ่มความนับถือตนเองให้มากขึ้น
รู้จักตนเองดีขึ้น และปรับปรุงตัวเองด้านความคิดและการแสดงออก
มีความสามารถที่จะสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้อื่น พึ่งพาผู้อื่นพอควร มีสัมพันธภาพกับผู้อื่น โดยสามารถเป็นผู้ให้และผู้รับ
ปรับปรุงการกระทําหน้าที่ในการดํารงชีวิต และเพิ่มความสามารถที่จะทําตามความต้องการและความจําเป็นต่าง ๆ
ให้โอกาสผู้ป่วยได้ระบายความรู้สึกไม่สบายใจ ทําให้ผู้ป่วยเข้าใจปัญหาของตนเอง และเกิดการเรียนรู้ในการปฏิบัติตนที่เหมาะสมได้
ประวัติความเป็นมาของการสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
ปี 1947 Helena Willis Render เป็นคนแรกที่ได้เขียนหนังสือชื่อ Nurse Patient Relationship in Psychiatry
Render ได้กล่าวว่า สัมพันธภาพที่มีประสิทธิภาพระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย มีความสําคัญที่จะช่วยบําบัดผู้ป่วยได้
ปี 1952 Dr.Hilgard E.Peplau ได้เขียนหนังสือ ชื่อ Interpersonal Relations in Nursing
Peplau ได้เน้นการบําบัดโดยใช้สัมพันธภาพแบบหนึ่งต่อ หนึ่ง
ปัจจุบันการพยาบาลจิตเวชได้นําแนวความคิดของ Render และ Peplau มาใช้ในการบําบัดผู้ป่วย
ความแตกต่างระหว่างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัดกับสัมพันธภาพเพื่อสังคม
สัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
พยาบาลต้องวางแผนก่อนไปพบผู้ปุวยเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วย
เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถ
เข้าใจปัญหาและยอมรับปัญหาของตนเอง ตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาของตนเองได้
สร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นได้ รู้จักพึ่งตนเอง ในขณะเดียวกันก็สามารถพึ่งพาคนอื่นได้
ให้ความรักและรับความรักจากผู้อื่น
ระบายความรู้สึกไม่สบายใจ
เรียนรู้ในการปฏิบัติตนที่เหมาะสม
3.เน้นเรื่องของความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมของผู้ปุวย
4.มีการเริ่มต้นสัมพันธภาพและมีการสิ้นสุดสัมพันธภาพเมื่อผู้ป่วยจําหน่ายกลับบ้านหรือขึ้นอยู่กับความสําเร็จของเปูาหมายที่ได้วางไว้
สัมพันธภาพเพื่อสังคม
มีการวางแผนหรือไม่มีก็ได้
เพื่อให้เกิดความพอใจซึ่งกันและกัน
ตามความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
มีการเริ่มต้น จะมีการสิ้นสุดสัมพันธภาพหรือไม่มีก็แล้วแต่ความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย
ลักษณะของสัมพันธภาพ
การวางแผน
เป้าหมายในการสร้างสัมพันธภาพ
เนื้อหาในการสนทนา
ระยะเวลาในการสร้างสัมพันธภาพ
ระยะการสร้างสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
ระยะเริ่มสนทนา
การเตรียมสถานที่และบรรยากาศให้น่าไว้วางใจ
เมื่อพบหน้ากันควรกล่าวทักทายด้วยท่าทางเป็นมิตร พูดคุยเรื่องทั่วไปก่อน แนะนําตัว มาจากไหน บอกวัตถุประสงค์ บอกบทบาทหน้าที่
กําหนดของตกลงในการสร้างสัมพันธภาพ เช่นวัตถุประสงค์ ระยะเวลาที่สนทนา ระยะเวลาที่ดูแล
สร้างความไว้วางใจ โดยดารพแสดงถึงการยอมรับ ความเข้าใจ การเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ปุวย
การค้นหา หรือระบุปัญหาที่แท้จริง
ปัญหาที่พบในระยะนี้
ความวิตกกังวล
เกิดขึ้นได้ทั้งผู้ป่วยและพยาบาล ผู้ใช้บริการวิตกกังวลว่าพยาบาลเป็นคนแปลกหน้า ไม่เคยชินกับสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพยาบาล
การทดสอบ
อาจทดสอบว่าพยาบาลมีความต้องการ อะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ พยาบาลจะช่วยเหลือเขาได้จริงหรือไม่ เขาจะเชื่อถือไว้วางใจพยาบาลได้แค่ไหน
การต่อต้าน
ผู้ป่วยไม่รับรู้ และไม่มีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพยาบาล อาจเป็นเพราะประสบการณ์เรื่องมนุษยสัมพันธ์ในอดีตของผู้ป่วยในอดีต จึงมีพฤติกรรมการแสดงออก
ระยะแก้ไขปัญหา
รักษาสัมพันธภาพเพื่อการบําบัด
ค้นหาสาเหตุปัญหา หรือสิ่งที่มากระทบการดําเนินชีวิต โดยให้ผู้ป่วยระบายความรู้สึก และพยาบาลต้องรับฟัง ยอมรับ เข้าใจ และติดตามเรื่องราวต่างของผู้ป่วย
ประเมินการเจ็บป่วยว่ามีผลกระทบอย่างไรบ้างกับชีวิต
ร่วมกับผู้ป่วยในการวิเคราะห์หาสาเหตุ และกลไกของปัญหาต่าง ๆ วิธีแก้ไขปัญหา หรือปรับปรุงพฤติกรรมให้เหมาะสม
สนับสนุนด้านจิตใจ เช่น การให้เวลา ให้กําลังใจ ให้ข้อมูล
ข้อบ่งชี้ที่ทําให้พยาบาลทราบว่า สัมพันธภาพเข้าสู่ระยะแก้ไขปัญหาแล้วเช่น
ผู้ป่วยจะเลิกถามถึงวัตถุประสงค์ที่พยาบาลพบเขา
ผู้ป่วยจะมาตรงตามเวลานัดหรือ มาคอยพยาบาลในทีนัดหมาย
ผู้ป่วยจะรักษาเวลา จะพยายามรวบรัดเรืองราวห้จบภายในเวลาทีพยาบาลให้
ผู้ป่วยจะพูดถึงปัญหา และความยุ่งยากของเขา พูดออกนอกเรืองน้อยมาก
ปัญหาที่พบในระยะนี้
ความวิตกกังวลของพยาบาล
มีความรู้สึกร่วมกับผู้ปุวย(Sympathy)เป็นความรู้สึกที่พยาบาลเข้าไปร่วมกับความรู้สึกของผู้ปุวยโดยที่พยาบาลแยกความรู้สึกของตนเองไม่ได้
การถ่ายโยงความรู้สึกของผู้ป่วยไปสู่พยาบาล (Transference)ปฏิกิริยาและความรู้สึกทุกชนิดที่ผู้ป่วยมีต่อพยาบาล โดยแบ่งออกได้เป็นความรู้สึกทางบวก
การถ่ายโยงความรู้สึกของพยาบาลไปสู่ผู้ปุวย (Counter transference)ซึ่งก็คล้ายกับTransferenceที่อาจจะเป็นได้ทั้งด้านบวก
ระยะก่อนการสนทนา
เตรียมตัวให้ชัดเจนในด้านเปูาหมายของการสร้างสัมพันธภาพกับผู้ปุวย
วางแผนการสนทนาในแต่ละครั้งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์การสนทนา สถานที่ เวลา และให้ข้อมูลต่าง ๆ กับทีมผู้รักษาได้ร่วมรับรู้
ศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของผู้ปุวยเกี่ยวกับแผนการรักษาที่ผ่านมา ปัญหาที่เคยเกิดขึ้น และภูมิหลังบางประการ
พยาบาลควรตรวจสอบสภาพด้านร่างกายและจิตใจของตนเองให้มีความพร้อมในด้านแนวความคิด และความรู้สึกในการเข้าไปสร้างสัมพันธภาพกับผู้ปุวย
ระยะยุติสัมพันธภาพ
การเตรียมผู้ปุวย
กรณีที่ผู้ปุวยอยู่โรงพยาบาลแต่ต้องยุติสัมพันธภาพ เพราะนักศึกษาหมดระยะเวลาในการฝึกปฏิบัติงาน หรือพยาบาลย้ายไปอยู่ตึกอื่น
ควรบอกให้ผู้ป่วยทราบ ถึงระยะเวลาที่นักศึกษาจะยุติสัมพันธภาพกับผู้ป่วยล่วงหน้า
บอกให้ผู้ป่วยทราบว่าอาการอะไรที่ดีขึ้นของผู้ป่วยว่ามีอะไรบ้าง รวมทั้งอาการที่ยังต้องแก้ไข หรือปัญหาอะไรบ้างที่ได้แก้ไขไปแล้ว และปัญหาอะไรบ้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
บอกถึงประโยชน์ที่นักศึกษาได้รับจากการสนทนากับผู้ปุวย และประเมินถึงประโยชน์ที่ผู้ปุวยได้รับจากการสนทนากับนักศึกษาพยาบาล
ประเมินความรู้สึกของผู้ปุวยต่อการยุติสัมพันธภาพ
บอกแหล่งที่ผู้ปุวยสามารถขอความช่วยเหลือได้
กรณีที่ผู้ปุวยกลับบ้าน ควรมีการเตรียมตัวผู้ปุวยกลับบ้านดังนี้
บอกถึงอาการของผู้ปุวยที่ดีขึ้น และอาการของผู้ปุวยที่ต้องแก้ไข
แนะนําข้อปฏิบัติในการดูแลสุขภาพ
เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการสร้างสัมพันธภาพ เช่น ผู้ป่วยมีความคิดและความรู้สึกอย่างไร
สําหรับพยาบาลควรสรุปในส่วนที่ได้ร่วมแก้ปัญหากับผู้ป่วยโดยมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในตัวผู้ป่วย
ประเมินปฏิกิริยาของผู้ป่วยในระยะยุติสัมพันธภาพและให้เวลาผู้ป่วยได้บอกความรู้สึก
ยุติหรือสิ้นสุดสัมพันธภาพในรูปแบบของวิชาชีพ โดยบอกผู้ป่วยให้ชัดเจนและเตรียมผู้ป่วยให้สามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพ
ด้านพยาบาลจะเกิดความรู้สึกเศร้า เพราะเกิดความรู้สึกผูกพันกับผู้ป่วย เป็นห่วงผู้ป่วยกลัวไม่มีใครเข้าใจผู้ป่วย
ด้านผู้ป่วยจะมีปฏิกิริยาต่อการยุติสัมพันธภาพกับพยาบาล
ไม่ยอมรับการยุติสัมพันธภาพ
ไม่ยอมรับในตัวพยาบาล
โกรธและไม่เป็นมิตร
มีพฤติกรรมถดถอย
มีความรู้สึกเศร้า